สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว

“นี่คงเป็นเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว เพราะอยู่ใกล้ภูเขา จึงมีบรรยากาศที่เหมือนกับฤดูใบไม้ผลิตลอดปี เป็นเมืองที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรได้มากที่สุดภายในรัศมีหลายแสนลี้จากบริเวณนี้ อาหารส่วนใหญ่ที่ถูกส่งไปยังปูชนียสถานนักปราชญ์ก็มาจากที่นี่”

จางเซวียนใช้เวลาไม่นานก็ระบุตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ได้

เมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ ได้อ่านหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์ ดังนั้น ด้วยการกะทิศทางและระยะทางอย่างคร่าวๆจากปูชนียสถานนักปราชญ์ ก็พอจะระบุตำแหน่งได้

จางเซวียนเหลียวมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่ายหน้า คงไม่เข้าท่าแน่ถ้าค้นหาสะเปะสะปะแบบนี้เราต้องลองใช้หอสมุดเทียบฟ้าเพื่อระบุตำแหน่งที่อยู่

เมื่อคิดขึ้นได้ เขาก็สะบัดข้อมือและนำสมุดเปล่าออกมาเล่มหนึ่ง เขาวาดแผนผังของถนนที่อยู่รอบตัวและเขียนลงไปว่า ‘รูปปั้นของนักปราชญ์ขุยอยู่ในทิศทางนี้’

เขาแตะสมุดอย่างแผ่วเบา แล้วหอสมุดเทียบฟ้าก็กระตุก

แต่ไม่มีหนังสือเล่มไหนถูกประมวลขึ้นมา

“ใช้การไม่ได้อีกแล้วหรือ? เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนสีหน้าไม่สู้ดี

เกิดอะไรขึ้นกับหอสมุดเทียบฟ้ากันนี่?

ที่ผ่านมา มันไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง แต่ทุกวันนี้กลับทำงานผิดพลาดบ่อยครั้งกว่าเดิม เหมือนเครื่องยนต์เก่าที่สำลักและใกล้จะหมดแรง หรือว่ามันจำเป็นต้องได้รับการยกระดับอย่างเร่งด่วน?

แต่นั่นแหละ เขาก็ใช้งานมันมากว่า 1 ปีแล้ว บางทีมันอาจจะเริ่มสูญเสียพละกำลังของมัน โดยเฉพาะเมื่อเขามีระดับวรยุทธแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไม่น่ะไม่น่าใช่แบบนั้นในสภาวะปกติ**หอสมุดเทียบฟ้าคงไม่ทำงานผิดพลาดหรอก จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เว้นเสียแต่ว่า*…รูปปั้นนักปราชญ์ขุยอยู่ในพื้นที่ที่ถูกปิดกั้นแม้แต่จากสายตาของสวรรค์…*

สองสามครั้งก่อนที่หอสมุดเทียบฟ้าไม่ทำงานก็เป็นเพราะผู้ที่เขาพยายามตรวจสอบมีสภาวะการปฏิเสธคำทำนายโดยสิ้นเชิง อย่างตัวเขากับหลัวลั่วชิง

แต่ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่จะปิดกั้นสายตาของหอสมุดเทียบฟ้า อย่างเจ้าพวกตัวการที่ภูเขาห้วยขาวก็ใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง ซึ่งไม่เพียงแต่จะปกปิดร่องรอยของพวกมันจากดวงตาหยั่งรู้ แต่ยังปกปิดสายตาของเหล่าผู้หยั่งรู้ได้ด้วย

สถานการณ์ที่จางเซวียนเผชิญอยู่ตอนนี้เหมือนกับครั้งก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่ากรรมวิธีพิเศษบางอย่างถูกนำมาใช้กับรูปปั้นของนักปราชญ์ขุยเพื่อปิดกั้นตำแหน่งที่อยู่ของมันจากคำทำนาย?

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็มีความเป็นไปได้ข้อเดียว…”

นัยน์ตาของจางเซวียนเป็นประกายคมปลาบขณะเหลียวมองโดยรอบอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปหานักรบคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆและประสานมือ “สหาย ไม่ทราบว่าสมาคมผู้หยั่งรู้ของเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวตั้งอยู่ที่ไหน?”

“สมาคมผู้หยั่งรู้? อยู่ทางโน้นน่ะ ห่างออกไปราวสี่ลี้ มันเป็นตึกที่มีรูปร่างเหมือนเต่า คุณไม่ต้องกลัวว่าจะไปผิดที่!”

นักรบผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุราว 40 กลางๆ เขาตอบคำถามของจางเซวียนอย่างสุภาพ

“ขอบคุณมาก” จางเซวียนประสานมืออีกครั้ง เขาโบกมือเรียกหลัวลั่วชิงก่อนจะบินไปยังทิศทางที่ชายวัยกลางคนชี้นิ้วไป

“คุณสงสัยว่าสมาคมผู้หยั่งรู้ของเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวร่วมมือกับพวกตัวการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หยั่งรู้คนอื่นๆทำนายที่อยู่ของรูปปั้นนักปราชญ์ขุยได้อย่างนั้นหรือ?” หลัวลั่วชิงเข้าใจความคิดของจางเซวียนทันที

“ปราการปิดกั้นแบบธรรมดาสามารถป้องกันไม่ให้นักรบทั่วไปสะกดรอยตามได้ แต่ไม่อาจยับยั้งการทำนายของผู้หยั่งรู้ เพื่อให้ปลอดภัยสูงสุด พวกตัวการน่าจะขอความช่วยเหลือจากผู้หยั่งรู้เพื่อให้ปกปิดตำแหน่งของรูปปั้นนักปราชญ์ขุยจากสายตาของสวรรค์” จางเซวียนพูดพร้อมกับพยักหน้า

“ก็จริง ฉันว่าคุณมาถูกทางแล้วล่ะ” หลัวลั่วชิงพยักหน้า

ถึงปูชนียสถานนักปราชญ์ในเวลานี้จะไม่มีผู้เชี่ยวชาญมากนัก แต่ก็ยังมีผู้หยั่งรู้ระดับ 9 ดาวปฏิบัติหน้าที่อยู่ คือปรมาจารย์เฟิง ถ้าเขารู้ตำแหน่งที่ตั้งของรูปปั้น ก็คงมีโอกาสที่จะระบุที่อยู่ของมันได้หลังจากได้ทดลองสัก 2-3 ครั้ง

ดังนั้น ถ้าพวกตัวการต้องการป้องกันทุกวิถีทาง พวกมันก็จะต้องใช้เทคนิคบางอย่างเพื่อปกปิดสายตาของสวรรค์จากรูปปั้นนักปราชญ์ขุย

ในเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวทั่วทั้งเมือง ก็มีคนเพียงกลุ่มเดียวที่ทำเรื่องแบบนั้นได้…บรรดาผู้หยั่งรู้จากสมาคมผู้หยั่งรู้!

ทั้งสองมุ่งหน้าไป ไม่ช้าก็มาถึงอาคารที่มีรูปร่างเหมือนเต่า มีอักษรจารึกหน้าตาประหลาดอยู่บนผิวหน้าของอาคารนั้น พวกมันดูเหมือนจะมีอำนาจลึกลับบางอย่างที่ป้องกันไม่ให้การรับรู้จิตวิญญาณของนักรบคนไหนแทรกซึมเข้าไปได้

เราจะรู้ว่าเรามาถูกที่หรือไม่ก็ต้องเข้าไปข้างใน! จางเซวียนคิดขณะเดินตรงไปยังทางเข้าอาคารที่มีรูปร่างเหมือนเต่า

ในตอนนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ก้าวออกมาขวางทาง “ช้าก่อน สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวของพวกเราไม่ต้อนรับผู้มาเยือน!”

“ผมคือจางเซวียน หัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ เราเพิ่งสูญเสียของล้ำค่าชิ้นหนึ่งไป และผมก็ตั้งใจเดินทางมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากประธานสมาคมของคุณให้ช่วยทำนายว่ามันอยู่ที่ไหน!” จางเซวียนพูดขณะสะบัดข้อมือให้อีกฝ่ายเห็นตราสัญลักษณ์หัวหน้าปูชนียสถาน

“คุณคือหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์?” ชายหนุ่มชะงักกับสถานภาพสูงส่งของแขกที่อยู่ตรงหน้า เขารีบประสานมืออย่างสุภาพและพูดว่า “ผู้อาวุโส ได้โปรดรอสักครู่ ผมจะไปรายงานประธานสมาคมว่าคุณมา เชิญทางนี้”

หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็รีบกลับเข้าไปในอาคารที่มีรูปร่างเหมือนเต่า

ราว 3 นาทีต่อมา ผู้อาวุโสที่มีผมสีดำก็เดินกลับมาพร้อมกับชายหนุ่ม

“ขออภัยด้วยที่ไม่ได้ต้อนรับ ผมไม่ทราบว่าคุณมา หัวหน้าปูชนียสถานจาง เชิญข้างในเลย!”

ผู้อาวุโสมีอายุราว 60 ปี มีวรยุทธระดับเซียน 8 สูงสุด เขาสวมเสื้อคลุมตัวยาวของสมาคมผู้หยั่งรู้ มีรูปลักษณ์และท่าทางที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงภูมิปัญญา

“ผมจะพูดตามตรงกับคุณเลยก็แล้วกัน ผมมาที่นี่เพราะมีคำขอที่จะต้องรบกวนคุณ” จางเซวียนประสานมืออย่างสุภาพ

“หัวหน้าปูชนียสถานจาง คุณก็เกรงอกเกรงใจเกินไป คุณคงไม่รู้สินะว่าทุกวันนี้ชื่อเสียงของคุณโด่งดังแค่ไหน ผมไม่คิดเลยว่าสมาคมของเราจะมีเกียรติถึงขนาดได้ต้อนรับคุณ เชิญทางนี้เลย!” ผู้อาวุโสพูดขณะนำทางไป

ไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงห้องหนึ่ง

ทันทีที่เดินเข้าไป หลัวลั่วชิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรีบส่งโทรจิตหาจางเซวียน “จางเซวียน ระวังตัวด้วย”

“มีอะไร?” จางเซวียนส่งโทรจิตตอบ “คุณรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างหรือ?”

นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวลั่วชิงส่งโทรจิตเดือนเขาให้ระวังตัว ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ธรรมดาในสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้

หลัวลั่วชิงทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในท้ายที่สุดเธอก็เปลี่ยนใจ “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่คิดว่าระมัดระวังเอาไว้น่าจะดีที่สุด”

“อือ ผมเข้าใจ!” จางเซวียนส่งโทรจิตตอบ

คงเป็นเรื่องโง่เง่าเต็มทีหากจะไม่ใส่ใจคำเตือนของหลัวลั่วชิง จางเซวียนจึงวางมือไว้ที่เอว เตรียมพร้อมจะเปิดการโจมตีทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น

แต่ดูเหมือนเขาจะกังวลเกินกว่าเหตุ เพราะเมื่อเดินเข้าไปถึงใจกลางห้อง ก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ

หลังจากที่ทุกคนได้ที่นั่งแล้ว ผู้อาวุโสก็เงยหน้ามองจางเซวียนและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าคุณมาเยือนที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร หัวหน้าปูชนียสถานจาง?”

“ไม่นานมานี้ นักย่องเบากลุ่มหนึ่งลอบเข้าไปในปูชนียสถานของเราและขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุย ผมแกะรอยตามพวกนั้นมา และพบว่าร่องรอยของคนกลุ่มนั้นสิ้นสุดที่นี่ ในเมื่อพวกเราต่างก็ขึ้นตรงกับสภาปรมาจารย์ ผมจึงอยากขอรบกวนให้คุณทำนายตัวตนและตำแหน่งที่อยู่ของนักย่องเบากลุ่มนั้นด้วย!” จางเซวียนประสานมือ

คำพูดของจางเซวียนออกจะดูอ้อมค้อมสักหน่อย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในข้อความของเขานั้นชัดเจน เขากำลังพูดว่า ทรัพย์สมบัติของผมหายไปในอาณาเขตของคุณถ้าพวกคุณไม่สามารถทำนายตัวตนตำแหน่งที่อยู่ของเจ้าพวกตัวการกลุ่มนั้นผมก็เกรงว่าผมจะต้องสงสัยพวกคุณด้วย*!*

“รอยของนักย่องเบากลุ่มนั้นสิ้นสุดที่นี่?” ผู้อาวุโสขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “หัวหน้าปูชนียสถานจางกำลังสงสัยว่าสมาคมผู้หยั่งรู้ของเราซ่อนตัวหัวขโมยกลุ่มนั้นไว้และฉกฉวยเอาทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์มา?”

“พวกที่ขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุยมานั้นเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่พวกมันสามารถปกปิดตัวเองได้อย่างดี จนกระทั่งแม้ดวงตาหยั่งรู้ของผมก็ยังทำอะไรกรรมวิธีของมันไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สมาคมผู้หยั่งรู้ของเราที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ไม่สามารถทำนายตำแหน่งที่อยู่ของพวกมันหรือทรัพย์สมบัติที่หายไปได้ด้วย ผมไม่อยากกล่าวหาพวกคุณ แต่เกรงว่าไม่อาจทำตัวหูหนวกตาบอดกับหลักฐานที่ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า” จางเซวียนตอบอย่างสุขุม

“การที่ทรัพย์สมบัติของเราสูญหายไปถือเป็นเรื่องเล็ก แต่การที่หัวขโมยกลุ่มนั้นเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเป็นเรื่องที่ต้องกังวล เรื่องนี้คงจะดูไม่สวยนักหากผมรายงานต่อสภาปรมาจารย์ เพราะฉะนั้นผมขอให้พวกคุณให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วย นี่เป็นวิธีเดียวที่จะชำระมลทินของสมาคมผู้หยั่งรู้ของพวกคุณ!”

“หัวหน้าปูชนียสถานจาง ผมเคารพคุณในฐานะหัวหน้าปูชนียสถานและหัวหน้าตระกูลจาง และผมก็ต้อนรับคุณเข้าสู่สมาคมผู้หยั่งรู้ของเราด้วยเจตนาดี แต่คุณกล่าวหาว่าสมาคมของเราร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น…” ผู้อาวุโสลุกพรวดและคำราม “คุณได้อะไรจากการทำลายชื่อเสียงของสมาคมผู้หยั่งรู้ของเรา?”

“ใจเย็นก่อนเถอะ อารมณ์เสียไปก็ไม่มีประโยชน์” จางเซวียนชำเลืองมองผู้อาวุโสที่กำลังร้อนรน “ผมไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับคำพูดพวกนั้น ทั้งหมดที่ผมต้องการก็คือนำทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์ที่ถูกขโมยไปกลับคืนมา ถ้าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างที่คุณพูดออกมาจริงๆ คุณก็คงไม่รังเกียจที่จะให้ผมค้นให้ทั่วสมาคมของคุณ จริงไหม? หากผมไม่พบอะไร คุณก็วางใจได้เลยว่าผมจะจ่ายค่าชดใช้ให้กับสมาคมผู้หยั่งรู้ของคุณอย่างสมน้ำสมเนื้อกับความผิดพลาดของผม!”

 

“คุณจะค้นสมาคมผู้หยั่งรู้ของเรา? บังอาจ! สมาคมผู้หยั่งรู้แบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบอันหนักหน่วงในการทำนายอนาคตเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติ แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังต้องเคารพพวกเรา แต่ลำพังแค่หัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์อย่างคุณ…กล้าคิดที่จะค้นสมาคมของเรา?” ผู้อาวุโสตวาดก้อง