บทที่ 969 ชนะกัวเสี่ยวเทียน

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ในขณะที่กัวเสี่ยวเทียนกำลังต่อสู้อยู่กับหลิงหยุนบนยอดเขาหลงเหมินอยู่นั้นสูงจากพื้นดินขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิดราวห้าร้อยเมตร พอลกับเจสเตอร์ – สองแวมไพร์ก็กำลังกระพือปีกใหญ่ยักษ์อยู่กลางอากาศ และจ้องมองดูการต่อสู้ของสองยอดฝีมือด้านล่างอย่างใจจดใจจ่อ..
  ระหว่างที่ได้ชมการต่อสู้ที่น่าหวาดเสียวและสะพรึงกลัวด้านล่างนั้น ทั้งคู่ก็ถึงกับต้องหันไปมองหน้ากัน..
  “โอ้ท่านเทพซาตาน!สิ่งที่เจสเตอร์เห็นอยู่มันคืออะไรกันแน่! หรือนี่คือตำนานกระบี่เหินฟ้าของประเทศจีนที่เล่าขานในหมู่แวมไพร์มานมนานงั้นรึ?!”
  ดวงตาสีม่วงของเจสเตอร์จ้องมองดาบใหญ่สีดำนับสิบเล่มที่พุ่งเข้าล้อมร่างของหลิงหยุนไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง พร้อมกับร้องอุทานออกมาอย่างตระหนกตกใจ..
  พอลเองก็ไม่ต่างไปจากเจสเตอร์นัก..เขาขมวดคิ้วพร้อมกับร้องอุทานออกมา
  “โอ้ว!หมายความว่าตำนานของเหล่าแวมไพร์ซึ่งพูดต่อๆกันมาหลายพันปี ที่ห้ามไม่ให้เหล่าแวมไพร์มาประเทศจีน.. ก็เป็นความจริงสินะ! ฉันเองก็เคยสงสัยว่ามันจริงมั๊ย แต่ตอนนี้ฉันได้เห็นกับตาตัวเองแล้วเจสเตอร์ ประเทศนี้ช่างลึกลับ แล้วก็น่าหวาดกลัวมากจริงๆ!”
  เจสเตอร์ตอบกลับไปทันที“นั่นสิ.. แล้วผู้ชายที่อยู่ด้านล่างนั่น ก็ไม่รู้ว่าจะใช่เซียนกระบี่ในตำนานด้วยหรือเปล่า!”
  พอลรีบส่ายหน้าไม่เห็นด้วยทันทีพร้อมกับแย้งขึ้นว่า “ไม่ใช่แน่นอน! ในตำนานของเหล่าแวมไพร์บันทึกไว้ว่า.. เซียนกระบี่ในตำนานนั้นต้องสามารถบินเหินไปมาด้วยกระบี่ได้ และความเร็วในการเหาะเหินของเขานั้น ก็รวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่แวมไพร์อย่างเรากลายร่างเป็นค้างคาวเสียอีก คนข้างล่างนี้ยังไม่สามารถเหาะเหินด้วยกระบี่ได้..”
  หลังจากหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง..พอลจึงพูดขึ้นว่า “นั่นสินะ! เขายังไม่น่าจะใช่เซียนกระบี่ในตำนาน แต่น่าจะเป็นผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ และสามารถใช้มันควบคุมดาบของตนเองให้จู่โจมเจ้านายได้เท่านั้น..”
  เจสเตอร์มีสีหน้ากังวลใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า“พอล.. ฉันว่ามันแปลกไปนะ! เมื่อสองคืนก่อนที่เจ้านายต่อสู้กับยอดฝีมือแข็งแกร่งมากมาย เจ้านายก็ใช้กระบี่วิเศษเล่มนั้นมาตลอด.. แต่ทำไมคืนนี้เจ้านายถึงเลือกที่จะต่อสู้ด้วยมือเปล่า.. ”
  พอลตอบกลับเสียงเบา“ฉันว่านะ.. ที่เจ้านายทำแบบนั้น ก็น่าจะเป็นเพราะน้าหญิงคนสวยของเจ้านายแน่ๆ!”
  เจสเตอร์ลองเสนอความเห็นดู“ถ้าอย่างนั้น.. พวกเราบินลงไปสังเกตการณ์ใกล้กว่านี้ดีมั๊ย เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้ช่วยเจ้านายได้ทัน!”
  พอลส่ายหน้าไปมาพร้อมกับค้านขึ้นทันที“อย่าเลย.. ทำตามที่เจ้านายสั่งอย่างเคร่งครัดจะดีกว่า!”
  “นี่พอล..ดูนั่นสิ!”
  เจสเตอร์ยกมือขึ้นชี้ลงไปที่ป่าทึบในหุบเขาด้านล่างของเขาหลงเหมินดวงตาของมันเบิกกว้างในขณะที่พูดขึ้นว่า..
  “ดูเหมือนจะมีเงาของคนอยู่ในป่านั่น!”
  พอลรีบมองตามนิ้วของเจสเตอร์ไปทันทีแต่เพราะที่พื้นด้านล่างนั้นค่อนข้างมืดจนเกินไป เขาจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ จึงได้แต่ร้องบอกเจสเตอร์ไปว่า
  “เจ้านายน่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นถึงได้สั่งพวกเราไว้ว่า.. ให้รออยู่ด้านบนนี้ และห้ามทำอะไรตามอำเภอใจ..”
  แต่ถึงแม้พอลจะพูดออกไปเช่นนั้นภายในใจของมันกลับรู้สึกกังวล และกระวนกระวายใจยิ่งนัก!
  ………
  ตูม!
  หลิงหยุนเอียงกายหลบพร้อมกับชกเข้าที่ปลายดาบใหญ่ซึ่งกำลังพุ่งตรงเข้าใส่หน้าอกของตนเอง แต่หลังจากที่ถูกชกจนดาบใหญ่ไถลออกไปแล้วนั้น ดาบเล่มเดิมก็หมุนกลับกลางอากาศ และพุ่งเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนอีกครั้ง!
  หนึ่งในพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดดูเหมือนจะเป็นการบังคับควบคุมอาวุธโดยต้องใช้มือ และอาวุธที่ปราศจากข้อมือ ข้อศอก และแขน ก็สามารถเปลี่ยนทิศทางการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และยากที่จะหยุดยั้งได้
  กัวเสี่ยวเทียนถูกบีบคั้นให้ใช้กระบวนท่าสู่สรวงสวรรค์ซึ่งเกิดจากการใช้พลังเหนือธรรมชาติบังคับดาบ แต่หลังจากผ่านไปเพียงแค่สองสามนาที หลิงหยุนก็สามารถชกกำปั้นเข้าใส่ดาบใหญ่นั้นได้นับร้อยครั้ง!
  ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนี้ระดับความรุนแรง และความตื่นเต้นจึงไม่อาจจินตนาการได้!
  แต่เพราะนี่คือหลิงหยุน!หากครั้งนี้เปลี่ยนจากหลิงหยุนเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8 แทน ภายใต้การจู่โจมของดาบสีดำเล่มนี้ คนผู้นั้นคงจะสามารถรับมือได้เพียงแค่สองสามครั้ง จากนั้นก็คงจะต้องถูกสังหารตายในพริบตาอย่างแน่นอน!
  และการที่หลิงหยุนเลือกที่จะรับมือด้วยหมัดนั้นเป็นเพราะเขามีความมั่นใจมากพอ! และความมั่นอกมั่นใจของหลิงหยุนนั้นก็เกิดจากสามสิ่งนี้..
  หนึ่ง..หลิงหยุนมีวิชาที่แข็งแกร่งสำหรับใช้ป้องกันตัวอย่างดาราคุ้มกาย อีกทั้งยังมีชุดผ้าแพรไหมดำ แม้ว่าจะพลาดพลั้งไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสนัก
  สอง..หลิงหยุนมีวิชาตัวเบาที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วราวกับสามารถหายตัวไปมาได้ ทำให้สามารถหลบหลีกการโจมตีที่รวดเร็ว และดุดันของดาบเล่มใหญ่ได้ทันท่วงที
  สาม..สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกหนึ่งอย่างก็คือ หลิงหยุนมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลังมาก!
  ภายใต้จิตหยั่งรู้ที่ทรงอานุภาพของหลิงหยุนนั้นทำให้หลิงหยุนสามารถจับทิศทางของดาบเหินเล่มนี้ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถตอบโต้ได้ทันท่วงที
  และนี่นับว่าเป็นการทำลายข้อได้เปรียบของดาบเหินที่กัวเสี่ยวเทียนใช้ได้เป็นอย่างมาก..
  ในเมื่อข้อได้เปรียบของคู่ต่อสู้ถูกลดทอนลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ข้อได้เปรียบของหลิงหยุนจึงปรากฏขึ้นเรื่อยๆ
  อีกทั้งในคืนนี้นับว่าสภาพร่างกายของหลิงหยุนนั้นอยู่ในระดับสมบูรณ์สูงสุดและผ่านการเตรียมตัวมาอย่างดี จึงนับว่าเป็นความโชคร้ายของกัวเสี่ยวเทียนที่มาพบกับหลิงหยุนในคืนนี้!
  หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างที่รวดเร็วทิ้งเงาไว้ในสนามต่อสู้ ส่วนร่างจริงของเขานั้นกระโดดถอยหลังหลบออกไป ก่อนที่จะกระโดดกลับมาชกหมัดเข้าไปที่ดาบเหินเล่มนั้นอย่างรุนแรง!
  “ตูม!”
  ทันทีที่หมัดของหลิงหยุนกระแทบเข้ากับดาบสีดำดาบนั้นก็กระเด็นออกไปไกลถึงสองเมตร ในขณะที่ร่างของกัวเสี่ยวเทียนก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขาแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างที่สุด และเลือดสีแดงก็ไหลออกมาทางปาก และจมูก!
  ดวงตาของกัวเสี่ยวเทียนแดงก่ำเขาไม่เคยนึกฝันว่าเพลงดาบที่เลื่องชื่อของตนเองนั้น จะไม่สามารถเอาชนะเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงแค่สิบแปดปี อีกทั้งในมือยังไม่มีอาวุธได้!
  ร่างกายที่แข็งแกร่งพละกำลังมหาศาล รวมทั้งลมปราณที่แข็งแกร่งนั้น ทำให้หลิงหยุนกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวยิ่งนัก กัวเสี่ยวเทียนได้แต่นึกอิจฉาอยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง!
  ‘ต่ำกว่าขั้นเซียงเทียน-8ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!’
  คำพูดของหลิงหยุนยังคงดังก้องอยู่ในหูของกัวเสี่ยวเทียนก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าหลิงหยุนนั้นหยิ่งผยองจนเกินไป แต่เวลานี้.. ความจริงได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเขาแล้ว
  ทั้งฮู๋วฉีเฟิงและหลิวซุ่ยเฟิงเอง ก็ได้แต่ยืนตกตะลึง..
  ในบรรดาศิษย์สำนักดาบสวรรค์ต่างก็คิดว่าเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ของตนเองใช้กระบวนท่าเลื่องชื่อนี้แล้ว หลิงหยุนจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
  ดาบเหินของกัวเสี่ยวเทียนนั้นล้วนควบคุมด้วยพลังจิต ดังนั้นทุกกำปั้นของหลิงหยุนที่ชกลงไปบนดาบใหญ่นั้น ก็ไม่ต่างจากการชกลงกลางใจของกัวเสี่ยวเทียน หากกัวเสี่ยวเทียนไม่สามารถสังหารหลิงหยุนได้ในระยะเวลาสั้นๆ พลังจิตของเขาย่อมต้องอ่อนแอลง และหลิงหยุนก็จะกลับกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ส่วนดาบเหินของกัวเสี่ยวเทียนก็จะค่อยๆ หมดพลังลง..
  และเวลานี้กัวเสี่ยวเทียนก็ได้เดินทางมาถึงจุดจบของการต่อสู้แล้ว..
  เวลานี้ดาบเหินที่ไร้พลังของกัวเสี่ยวเทียนไม่ต่างจากของเด็กเล่นสำหรับหลิงหยุน เขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่โลหิตแดนใต้..
  กัวเสี่ยวเทียนนั่งคุกเข่าลงกับพื้นค่อยๆ รวบรวมกำลังบังคับดาบใหญ่ของตนเองที่อยู่บนพื้นให้พุ่งเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนอีกครั้ง!
  และครั้งนี้ความเร็วของดาบนั้นก็เร็วกว่าครั้งก่อนๆถึงสองเท่า เพียงแค่พริบตาเดียวก็พุ่งถึงร่างของหลิงหยุนแล้ว
  “ฮึ่ม!!”
  หลิงหยุนคาดว่านี่น่าจะเป็นพลังเฮือกสุดท้ายของกัวเสี่ยวเทียนแล้วจริงๆเขาใช้มังกรพรางร่างทิ้งเงาไว้ในตำแหน่งเดิมอีกครั้ง แม้กระทั่งฉินตงเฉี่วยยังถึงกับกรีดร้องออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นปิดตา เมื่อดาบของกัวเสี่ยวเทียนกำลังพุ่งเข้าใส่ร่างซึ่งเป็นเงาของหลิงหยุน!
  “ตาเฒ่าหัวดื้อ..นี่เจ้าคิดจะฆ่าข้าจริงๆงั้นรึ”
  แต่เมื่อได้ยินเสียงพูดของหลิงหยุนดังขึ้นฉินตงเฉี่วยก็รีบยกมือที่เปิดตานั้นออก แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้นางตระหนกตกใจสุดขีด..!
  ฉินตงเฉี่วยเห็นหลิงหยุนยืนอยู่ข้างกายกัวเสี่ยวเทียนและฝ่ามือของหลิงหยุนก็กดอยู่บนศรีษะของกัวเสี่ยวเทียนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “เจ้าคงคิดว่าข้าไม่กล้าที่จะเด็ดหัวของเจ้าลงมาเตะเป็นลูกฟุตบอลสินะ!”
  เวลานี้..กัวเสี่ยวเทียนพ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนอย่างหมดท่า!
  “ศิษย์พี่ใหญ่!”ศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งสี่คนได้แต่ร้องอุทานออกมาพร้อมกัน..
  จี้เสี่ยวฉิงยกดาบในมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนว่า“หลิงหยุนเจ้ากล้ารึ”
  หลิงหยุนกดฝ่ามือใหญ่ของตนเองลงบนศรีษะของกัวเสี่ยวเทียนเล็กน้อยพร้อมกับหันไปมองจี้เสี่ยวฉิง แล้วตอบไปว่า
  “ข้ากล้าหรือไม่กล้าก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า!”
  “ถึงเวลาที่จะนั่งเจรจากันดีๆได้หรือยัง”