หลังจากที่กระประลองอันน่าระทึกระหว่างหลิงหยุนกับกัวเสี่ยวเทียนผ่านพ้นไปและจบลงด้วยการที่หลิงหยุนเป็นฝ่ายชนะ และกัวเสี่ยวเทียนพ่ายแพ้อย่างหมดท่า..
เวลานี้กัวเสี่ยวเทียนที่พ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนกำลังนั่งคุกเข่านิ่งไม่ต่างจากซากไม้ตาย เลือดสีแดงค่อยๆ ไหลออกจากลูกตา รูหู ปาก และจมูกของกัวเสี่ยวเทียน นับเป็นภาพที่น่าหวาดกลัว และสยดสยองยิ่งนัก!
เวลานี้พลังปราณของกัวเสี่ยวเทียนไม่เพียงสูญสิ้นจนหมดแต่พลังจิตทั้งหมดยังถูกหลิงหยุนทำลายด้วยหมัดอันทรงพลัง หากเขาไม่รวบรวมพลังจิตกลับคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุดแล้วล่ะก็ ในวันข้างหน้าอย่าว่าแต่จะไม่สามารถฝึกเพลงดาบได้อีกเลย แม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันด้วยตัวเองก็คงยากที่จะทำได้..
เรียกได้ว่า..กัวเสี่ยวเทียนอาจต้องกลายเป็นคนที่นอนแน่นิ่งเป็นผักนั่นเอง!
ความจริงแล้ว..ด้วยขั้นของกัวเสี่ยวเทียนนั้น หากเขาใช้เพลงดาบต่อสู้กับหลิงหยุนแบบปกติ แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้ แต่ก็คงจะไม่พ่ายแพ้อย่างน่าเศร้าเช่นนี้
อีกทั้งกัวเสี่ยวเทียนเองก็มีอุปนิสัยที่ค่อนข้างดื้อรั้นหัวแข็งมากในระดับหนึ่งเมื่อพบว่าหลิงหยุนมีวิชาดูดลมปราณ เขาก็เลือกที่จะใช้พลังเหนือธรรมชาติในการจัดการกับหลิงหยุนทันที..
แต่เป็นเพราะว่ากัวเสี่ยวเทียนประเมินตนเองสูงจนเกินไปและประเมินหลิงหยุนต่ำจนเกินไป..
การประลองของคนทั้งคู่นั้นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ กัวเสี่ยวเทียนประเมินหลิงหยุนต่ำเกินไปมาก ส่วนหลิงหยุนนั้นแม้จะแสดงท่าทีหยิ่งผยองถึงขั้นไม่ยอมใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ แต่เขาก็ไม่เคยประมาทคู่ต่อสู้..
แม้เพลงดาบที่ต้องใช้พลังเหนือธรรมชาติอย่างดาบลมปราณและดาบเหินของกัวเสี่ยวเทียน จะสามารถสร้างความตระหนกตกใจ และตื่นตาตื่นใจได้อย่างมากมาย แต่สำหรับหลิงหยุนแล้ว.. มันไม่มีอะไรเลย!
หลิงหยุนเคยทลายภูเขาด้วยหมัดและแยกแม่น้ำด้วยฝ่ามือมาแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะดาบลมปราณ หรือว่าดาบเหินของกัวเสี่ยวเทียน จึงไม่ต่างจากเพลงดาบธรรมดาๆสำหรับเขา
หลิงหยุนเคยเป็นถึงปรมาจารย์ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่และฝึกถึงขั้นที่ต้องผ่านบททดสอบจากสวรรค์มาแล้ว ประสบการณ์ในการต่อสู้จึงไม่อาจนำมาเทียบกับเหล่าจอมยุทธในยุทธภพนี้ได้
กัวเสี่ยวเทียนเอาแต่ใช้พลังปราณที่คิดว่าเหนือกว่าอย่างคนตาบอดหลิงหยุนก็เพียงแค่รอให้กัวเสี่ยวเทียนหมดกำลัง และถึงเวลานั้นโศกนาฏกรรมของกัวเสี่ยวเทียนก็จะมาถึงเอง..
ดังนั้นถึงแม้ว่ากัวเสี่ยวเทียนจะแข็งแกร่งกว่าโทคุงาวะมุโตะครึ่งระดับ แต่หลิงหยุนก็สามารถเอาชนะกัวเสี่ยวเทียนได้ง่ายกว่าการเอาชนะโทคุงาวะ มุโตะ!
ในเมื่อกัวเสี่ยวเทียนพ่ายแพ้ให้แก่หลิงหยุนแล้วศิษย์สำนักดาบสวรรค์ที่เหลือก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุนอีกต่อไป!
เมื่อฮู๋วฉีเฟิงได้เห็นศิษย์พี่ใหญ่ของตนเองใช้เพลงดาบขั้นสุดยอดของสำนักนั้นก็ได้แต่มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง แต่เวลานี้แววตาของเขาสิ้นหวังอย่างแท้จริง เมื่อเห็นฝ่ามือของหลิงหยุนกดอยู่บนศรีษะของกัวเสี่ยวเทียนเช่นนั้น
ส่วนหลิวซุ่ยเฟิงที่อยู่ในอาการหวาดผวานั้นก็ไม่ลังเลที่จะค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ เพื่อรอโอกาสที่จะหนีออกไปจากที่นี่
ส่วนจงชวนเยี่ยนที่มีฝีมือด้อยสุดนั้นเชื่อมั่นว่ากัวเสี่ยวเทียนจะสามารถเด็ดศรีษะของหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อผลกลับกลายเป็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่กรีดร้องในใจอย่างเสียดาย.. แต่ในขณะเดียวกันก็ตกใจกลัวจนไม่กล้าที่จะตอบโต้หลิงหยุน
มีเพียงจี้เสี่ยวฉิงที่แม้จะรู้ว่าตนเองจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุนแต่ก็กระโดดออกไปปกป้องศิษย์พี่ใหญ่กัวเสี่ยวเทียน..
จี้เสี่ยวฉิงเห็นว่าหลิงหยุนไม่มีท่าทางที่ต้องการจะสังหารกัวเสี่ยวเทียนจึงร้องถามด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด..
“หลิงหยุน..เจ้าต้องการอะไรกันแน่”….novel-lucky
สภาพของกัวเสี่ยวเทียนเวลานี้เป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งของหลิงหยุนได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยในเวลานี้.. หลิงหยุนก็สามารถสังหารศิษย์สำนักดาบสวรรค์ที่เหลือได้อย่างไม่มีปัญหา..
ดังนั้น..เวลานี้สิ่งที่จี้เสี่ยวฉิงทำได้จึงมีเพียงแค่ต้องอดทน ไม่มีวิธีอื่นใดอีก!
หลิงหยุนยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย..เขาไม่สนใจจี้เสี่ยวฉิง แต่จู่ๆ กลับหันไปมองหลิวซุ่ยเฟิงที่กำลังคิดจะหนี แล้วร้องตะโกนขึ้นว่า
“คนแซ่หลิว..หากเจ้าก้าวขาออกไปอีกแม้เพียงก้าวเดียว ข้าจะหักขาของเจ้าทิ้งซะ และจะทำลายวรยุทธของเจ้าด้วย!”
ร่างของหลิวซุ่ยเฟิงหยุดชะงักทันทีและสองเท้าราวกับถูกตรึงไว้ด้วยตะปู ไม่กล้าที่จะขยับอีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว
หลิวซุ่ยเฟิงได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจและเหงื่อเย็นก็ไหลหยดลงมาช้าๆ เวลานี้แผ่นหลังและหน้าอกของเขาต่างก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ และใบหน้าซีดเผือด
เมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถที่จะแอบหนีออกไปอย่างเงียบๆได้ หลิวซุ่ยเฟิงจึงยิ้มออกมาพร้อมกับพูดจาตะกุกตะกัก..
“นะน้อง.. หลิงหยุน พวก.. เราล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้.. ”
“หลิวซุ่ยเฟิง..นี่เจ้า..”
ยังไม่ทันที่หลิวซุ่ยเฟิงจะพูดจบเสียงของจี้เสี่ยวฉิงก็ดังขึ้นด้วยความโกรธ ร่างของนางสั่นเทิ้ม และจ้องมองหลิวซุ่ยเฟิงด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
จงชวนเยี่ยนเองก็ถึงกับอ้าปากหวอนางหันกลับไปมองหลิวซุ่ยเฟิงที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ แววตาของนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน และแทบไม่เชื่อว่าหลิวซุ่ยเฟิงที่นางหลงรักนั้น จะกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้!
จงชวนเยี่ยนมองหลิวซุ่ยเฟิงราวกับคนแปลกหน้าในใจรู้สึกผิดหวังอย่างมาก..
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเขาจ้องมองหลิวซุ่ยเฟิงด้วยแววตาเหยียดหยันพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เจ้าเพิ่งเรียกข้าว่ามารน้อยไม่ใช่รึดูเหมือนก่อนหน้านี้เจ้าก็ต้องการจะสังหารข้าด้วย!”
เพื่อรักษาชีวิตของตนเองหลิวซุ่ยเฟิงถึงกับไม่แยแสอาการโกรธเกรี้ยวของศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ และแสร้งทำเป็นพูดไปหัวเราะไป
“หลิงหยุน..ข้าเป็นศิษย์พี่ของน้องฉินนะ! เหตุใดต้องมองข้าด้วยสายตาแบบนั้นเล่า”
เพียะ!เพียะ! เพียะ!
หลิงหยุนกระโดดเข้าไปหาหลิวซุ่ยเฟิงพร้อมกับตบหน้าของเขาสามฉาดติดกัน แล้วจึงกระโดดกลับมายืนวางฝ่ามือไว้บนศรีษะของกัวเสี่ยวเทียเช่นเดิม และตะคอกใส่หลิวซุ่ยเฟิงว่า
“เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกรึเมื่อครู่เจ้าเองก็พูดจาไม่ดีกับน้าหญิงของข้า และยังตะคอกใส่นางด้วย!”
ทันทีที่ถูกหลิงหยุนตบหน้าถึงสามฉาดหลิวซุ่ยเฟิงก็ถึงกับเห็นดาว และเลือดไหลกลบปากทันที หลิวซุ่ยเฟิงจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาหวาดกลัว และไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย..
จี้เสี่ยวฉิงและจงชวนเยี่ยนได้แต่ตกตะลึงและอับอายกับความหน้าด้านชั่วช้าของหลิวซุ่ยเฟิง จนไม่สามารถทนดูหน้าของเขาได้อีกต่อไป..
จี้เสี่ยวฉิงรู้ว่าพูดกับหลิงหยุนไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรจึงได้หันไปทางฉินตงเฉี่วยที่ยืนนิ่งแทน
“ศิษย์น้องฉิน..ในเมื่อวันนี้สำนักดาบสวรรค์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พวกเราก็น้อมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้!”
“หากเจ้ายังนึกถึงบุญคุณของสำนักดาบสวรรค์ที่เคยมีต่อเจ้าก็บอกให้หลิงหยุนเอามือออกจากศรีษะของศิษย์พี่ใหญ่ซะ!”
แม้หลิงหยุนจะเป็นฝ่ายชนะแต่ฉินตงเฉี่วยก็ดูเหมือนจะไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย!
แต่ถึงกระนั้น..ฉินตงเฉี่วยก็รู้ดีว่าการที่สำนักดาบสวรรค์มาถึงจุดนี้ได้นั้น ก็เป็นเพราะความดื้อรั้นของศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ยอมเลิกรา จนต่างฝ่ายต่างก็โกรธเป็นไฟ และต้องพบจุดจบเช่นนี้..
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดฉินตงเฉี่วยก็ไม่สามารถทนเห็นหลิงหยุนทำเช่นนี้กับศิษย์พี่ใหญ่ของนางได้ แต่ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากบอกให้หลิงหยุนปล่อยกัวเสี่ยวเทียนนั้น ก็มีเสียงร้องคำรามดังขึ้น..
และเสียงคำรามนั้นก็ดังออกมาจากลำคอของกัวเสี่ยวเทียนลำคอที่สั่นระริกของกัวเสี่ยวเทียนนั้นเกิดจากการพยายามรวบรวมกำลังร้องตะโกนประกาศกร้าวว่า..
“ข้าขอประกาศว่า.. จากนี้ไปสำนักดาบสวรรค์ไม่มีศิษย์อกตัญญูเช่นฉินตงเฉี่วย ในเมื่อนางเลือกเส้นทางมารเช่นนี้ ข้าก็ขอขับนางออกจากสำนักดาบสวรรค์!”
“นับจากนี้เป็นต้นไปสำนักดาบสวรรค์และฉินตงเฉี่วยไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก หากศิษย์สำนักดาบสวรรค์ผู้ใดพบเจอนาง ก็สามารถสังหารนางได้ทันที!”
ใบหน้าของฉินตงเฉี่วยซีดเผือดริมฝีปากสั่นระริก และใบหน้าซีดขาวจนไร้สีเลือด!
หลิงหยุนได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกเดือดดาลอย่างมากเขาแสยะยิ้มพร้อมกับกดฝ่ามือลงบนศรีษะของกัวเสี่ยวเทียน แล้วพูดขึ้นว่า
“ตาเฒ่าหัวดื้อ..นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะดื้อรั้นเช่นนี้!”
หลิงหยุนกวาดสายตามองไปทางศิษย์สำนักดาบสวรรค์พร้อมกับพูดขึ้นว่า“พวกเจ้าฟังให้ดี.. หากไม่เพราะเห็นแก่น้าหญิงของข้า ด้วยอารมณ์ของข้าเวลานี้ พวกเจ้าอย่าได้หวังจะลงจากเขาหลงเหมินในสภาพที่มีลมหายใจได้เลย!”
“ไม่เพียงพวกเจ้าไม่สำนึกบุญคุณแต่ยังกล้าขับน้าหญิงของข้าออกจากสำนัก!”
แต่กัวเสี่ยวเทียนกลับตอบมาอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่าฝ่ามือของหลิงหยุนที่วางอยู่บนศรีษะของเขานั้น จะสามารถปลิดชีพของตนเองได้ตลอดเวลา
“มารน้อย..ข้า – กัวเสี่ยวเทียนพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าแล้ว! หากจะฆ่าก็ลงมือได้เลย!”
“หลิงหยุน..แต่ใหนแต่ไรมาฝ่ายอธรรมก็ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ในยุทธภพได้ ต่อให้วันนี้ข้าไม่สามารถจัดการกับเจ้าได้ ก็ยังมียอดฝีมือคนอื่นที่จะจัดการกับเจ้าได้อย่างแน่นอน!”
จากนั้น..กัวเสี่ยวเทียนก็ค่อยๆ หลับตาลง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย..
“จี้เสี่ยวฉิง..เจ้ารีบส่งสัญญาณให้ยอดฝีมือที่ซุ่มอยู่ออกมาจัดการกับมารน้อยตนนี้ได้เลย!”
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังถึงกับตกใจอย่างที่สุดในขณะที่ใบหน้าของหลิงหยุนปรากฏรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกขึ้นพร้อมกับแววตาเป็นประกายสังหารขึ้นมาวูบหนึ่ง..
และแทบจะคาดไม่ถึงว่า..ได้มีการวางกำลังอยู่บนเขาหลงเหมินแห่งนี้ เพื่อสังหารหลิงหยุนอยู่ก่อนแล้ว!
จากนั้นหลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า“ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการมีชีวิต ก็อย่าอยู่เลย!” และฝ่ามือของหลิงหยุนก็ฟาดลงบนศรีษะของกัวเสี่ยวเทียนทันที..
“อย่านะ!”
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
ฉินตงเฉี่วยกรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจในขณะเดียวกันนั้นจี้เสี่ยวฉิงก็กระโดดถอยหลังพร้อมกับยกพลุในมือขึ้นส่งสัญญาณ
พลุในมือของจี้เสี่ยวฉิงระเบิดออกเป็นประกายไฟงดงามยิ่งนัก!