เซียวอู๋ซังถึงกับตาถลนออกมา “จยา…จยาหมิงเซี่ยนจู่ ท่านมาได้อย่างไร”
เขาพูดพลางหน้าเปลี่ยนสีไปพลาง “เหตุใดท่านจึงมากับท่านอาเล็กได้ แม่ทัพหลัวทราบหรือไม่”
เซียวมั่วอวี่โมโหจนหน้าดำคล้ำไปหมด ในใจก็กล่าวว่าเจ้าตัวชั่วช้านี้พูดเรื่องใดกัน แต่เพราะเจินเมี่ยวอยู่ด้วย เขาจึงมิกล้าพูดอันใด
เจินเมี่ยวก็รู้สึกว่าวาจาของเซียวอู๋ซังแปลกประหลาดจึงเอ่ยว่า “เขาน่าจะไม่รู้กระมัง”
เรื่องที่นางติดตามขบวนขนเสบียงมาด้วยคงมิได้มีการส่งสารมาแจ้งก่อนกระมัง
อย่างข่าวการมาถึงเมืองเป่ยปิงของขบวนขนเสบียงนี้ พวกเขาก็เพียงแค่ส่งมาเร็วรุดหน้ามาแจ้งก่อนเพียงสองวันเท่านั้น
“จยาหมิงเซี่ยนจู่ ท่านช่างดีกับแม่ทัพหลัวจริงๆ ท่านมาครั้งนี้เป็นการแอบมาอย่างลับๆ ใช่หรือไม่ ท่านวางใจเถิด ท่านอาเล็กข้าเป็นคนดี เขาไม่มีทางพูดเรื่องของท่านแน่นอน”
ในที่สุดเซียวมั่วอวี่ก็ทนไม่ได้แล้วจึงฟาดเซียวอู๋ซังไปคราหนึ่ง “พูดเหลวไหลอันใดกัน จยาหมิงเซี่ยนจู่เป็นทูตผู้เป็นตัวแทนของหวงโฮ่วเพื่อมาปลอบขวัญเหล่าทหารต่างหากเล่า!”
เอ๊ะ?
เซียวอู๋ซังตกใจจนเบิกตาถลน แล้วมองเจินเมี่ยวด้วยสายตานับถือ ในใจก็กล่าวว่า ดูเอาเถิด หากจะแต่งภรรยาต้องแต่งให้ได้อย่างจยาหมิงเซี่ยนจู่ อยากจะพบสามีตนถึงขั้นเข้าหาหวงโฮ่วจนได้เป็นตัวแทนพระองค์มาเยี่ยมกองทัพอย่างเปิดเผย
บรรดาทหารที่มาต้อนรับได้ยินการสนทนานี้จึงรู้ฐานะของนาง แต่ละคนจึงมีท่าทีตื่นตัวขึ้นมา
ที่แท้ผู้ที่มาคือฮูหยินของแม่ทัพหลัวนี่เอง ดีเหลือเกิน เนื้อวัวแห้งมาแล้ว!
เจินเมี่ยวเขย่งเท้าขึ้นมองไปด้านหลังแต่มิเห็นแม้เงาของหลัวเทียนเฉิง ในใจรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ขณะที่เดินตามกลุ่มคนเข้าไปในเมือง จึงอดถามออกมามิได้ว่า “เซียวซื่อจื่อ จิ่นหมิงเล่า”
“หลายวันมานี้แม่ทัพหลัวอยู่ที่เมืองเฮยมู่ตลอด” เซียวอู๋ซังเอ่ย
เมืองเฮยมู่เป็นเมืองที่เพิ่งยึดคืนมาได้ เรื่องที่ต้องจัดการมีมากจนคนต้องตกใจ เขาเองก็รีบบึ่งม้าเร็วกลับมาหลังจากที่ทราบข่าวเรื่องขบวนขนเสบียงเช่นกัน
คล้ายรู้ว่าเจินเมี่ยวห่วงอันใด เซียวอู๋ซังจึงเอ่ยต่อว่า “เราเพิ่งยึดเมืองเฮยมู่คืนมาได้ บางคราจึงมีศัตรูเข้ามาก่อความวุ่นวาย เราให้ขบวนขนเสบียงพักอยู่ที่เมืองเป่ยปิงจะดีกว่า เดี๋ยวข้าจะให้คนส่งข่าวไปแจ้งแม่ทัพหลัวเอง”
เมืองเฮยมู่ห่างจากเมืองเป่ยปิงพอสมควร หากไปกลับด้วยมาเร็วต้องใช้เวลาหนึ่งวัน
เจินเมี่ยวเดินทางมาไกลจึงรู้สึกอ่อนเพลียอยู่มากจริงๆ นางจึงไปอาบน้ำอุ่นด้วยความสบายใจ เมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับไปทันที
เมื่อเห็นว่ามีทหารมาไม่น้อย บรรดาสตรีทั้งหลายต่างก็เข้ามารวมตัวพูดคุยกัน
“ได้ยินว่ามีสตรีสูงศักดิ์มาจากเมืองหลวงด้วย ทั้งยังเป็นทูตผู้เป็นตัวแทนหวงโฮ่วอีกด้วย จุ๊ๆ ที่แท้สตรีก็สามารถมีหน้ามีตาปานนี้ได้เช่นกัน”
“มีหน้ามีตาหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่พวกเจ้าดูท่าทีอ่อนแออ้อนแอ้นของนางเถิด ไหนเลยจะทนอากาศเหน็บหนาวของเมืองเราได้ อย่าได้เป็นดั่งภรรยาที่เถี่ยหนิวซื้อมาก็แล้วกัน คนนอกพื้นที่มาอยู่ได้ไม่ถึงปีก็สิ้นเสียแล้ว”
สตรีผู้หนึ่งจึงรีบผลักนางแล้วเอ่ยว่า “เลิกพูดเถิด ผู้อื่นมีฐานะสูงส่ง หากได้ยินเข้าคงแย่แน่”
สตรีผู้นั้นเบ้มุมปากตน แต่มิเอ่ยอันใด เพียงลุกขึ้นสาดน้ำออกไปที่พื้น จนกลายเป็นน้ำแข็งชั้นหนึ่ง
เดิมสามีของนางเป็นรองแม่ทัพของแม่ทัพไช่ผู้รักษาเมือง เมื่อลี่อ๋องก่อกบฏ เจาเฟิงตี้จึงตำหนิและปลดแม่ทัพไช่ผู้เป็นแม่ทัพรักษาเมืองออกจากตำแหน่ง และสามีของนางก็โดนปลดด้วย เพราะเหตุนี้นางจึงไม่ชอบทหารและสตรีสูงศักดิ์ที่มาจากเมืองหลวงไปโดยปริยาย
ชิงไต้เปิดประตูออกมาพอดี นางก้าวลงบนพื้นน้ำแข็งทำให้ลื่น
สตรีทั้งหลายต่างก้มหน้าปิดบังรอยยิ้มในดวงตาตน
ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสตรีสูงศักดิ์มาจากที่ใด เมื่อมาที่นี่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมให้ได้ หากก่อเรื่องขายหน้าก็มิอาจตำหนิผู้อื่นได้
ชิงไต้สังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติที่ใต้เท้า ร่างของนางจึงไถลไปข้างหน้าตามเท้า แล้วกระโดดลอยขึ้นพลิกตัวกลางอากาศดุจนกนางแอ่นแล้วค่อยๆ ปล่อยตัวลงบนพื้นอย่างแม่นยำ นางชำเลืองมองไปทางสตรีเหล่านั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วเดินผ่านไป
สตรีทั้งหลายต่างมองหน้ากัน
ผ่านไปนาน หนึ่งในนั้นจึงกัดฟันเอ่ยว่า “สาวใช้ผู้นั้นมีวรยุทธ์กระมัง”
อีกคนหนึ่งรีบพยักหน้า “ข้าว่าใช่ จากที่ดูข้าว่าวรยุทธ์สูงส่งกว่าคุณหนูเหยาเสียอีก”
เมื่อเอ่ยถึงคุณหนูเหยา สตรีทั้งหลายต่างก็พร้อมใจกันยิ้มออกมา
คนผู้หนึ่งกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “คุณหนูเหยายังอยู่ที่เมืองเฮยมู่ใช่หรือไม่ เฮ้อ นางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งแต่กลับกล้าออกสนามรบจริงๆ”
คนอีกผู้หนึ่งยิ้มเยาะทั้งเอ่ยว่า “เจ้ารู้อันใด ข้าว่าคุณหนูเหยาคงเป็นเศรษฐีขี้เมามิสนใจสุราเสียมากกว่า คนบ้านข้าบอกว่าคุณหนูเหยาออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับแม่ทัพหน้าหยกผู้นั้นนับครั้งไม่ถ้วนเชียวล่ะ”
“ไอหยา สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นมิใช่ฮูหยินของแม่ทัพหน้าหยกหรือ ครานี้คงมีเรื่องสนุกให้ได้ชมแล้ว”
คนทั้งหลายต่างมีความคิดที่จะได้เห็นเรื่องสนุกๆ ยามนี้เองจึงส่งสายตาให้กันอย่างรู้ความนัย
หากจะบอกว่าพวกนางมีความแค้นอันใหญ่หลวงใดกับเจินเมี่ยวนั้นคงไม่มี แต่ความคิดของสตรีก็ประหลาดเช่นนี้ พวกนางเป็นคนชิงเป่ยต่อให้ชาติตระกูลดีเพียงใด ผิวพรรณก็มิได้เนียนละเอียดและมีท่าทีงามสง่าเช่นคนในเมืองหลวง เมื่อมีสตรีที่งดงามดุจนางสวรรค์มาที่นี่ แม้แต่สาวใช้ข้างกายก็ยังงดงามกว่าพวกนางเสียอีก จึงมิใคร่ชอบใจนัก การอยากจะเห็นอีกฝ่ายขายหน้าย่อมมิใช่เรื่องแปลก
เมื่อเจินเมี่ยวรู้สึกตัวอีกทีฟ้าก็สางแล้ว
นางกินโจ๊กที่เคี่ยวกับพุทราแดงจนหอมกรุ่นหมดไปหนึ่งชาม แล้วใส่เสื้อคลุมกันหิมะไปหาเซียวอู๋ซัง
ระหว่างทางนั้นมีทหารยิ้มทักทายนางไม่น้อย ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่บาดเจ็บ มีบาดแผลใหญ่ตามร่างกายจึงถูกส่งมารักษาตัวที่เป่ยปิง
เจินเมี่ยวยิ้มจนรู้สึกว่าปากชาไปหมดแล้ว ในใจก็เอ่ยว่าทหารที่แดนเหนือช่างเป็นกันเองนัก นางเพิ่งมาถึงเมื่อวานเท่านั้น พวกเขากลับรู้ฐานะของนางกันหมดแล้วหรือ
นางรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกๆ อยู่ แต่ไม่ทราบว่าคือที่ใด
ในที่สุดเมื่อนางเดินใกล้จะถึงประตูใหญ่ ทหารที่ขามีบาดแผลเปื่อยเน่าอยู่สักหน่อยผู้หนึ่งจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้ามาหา แล้วเอ่ยถามอย่างเกร็งๆ เมื่อเห็นสีหน้าอันเงียบสงบแต่แววตาแฝงด้วยความระมัดระวังอยู่ในที “ท่านเป็นฮูหยินของแม่ทัพหลัวหรือขอรับ”
เจินเมี่ยวอึ้งไป แล้วพยักหน้า “ใช่”
แววตาของทหารผู้นั้นเปล่งประกายออกมาทันทีแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นฮูหยินที่เขียนบทกวีความว่า ‘เมื่อเกศาข้ายาวถึงเอว แม่ทัพกลับมาได้หรือไม่’ ใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวกระตุกมุมปากตนขึ้นเล็กน้อย แล้วพยักหน้าอีกครา “ข้าคิดว่าแม่ทัพหลัวคงมีฮูหยินเพียงคนเดียวเท่านั้น”
หากกล้ามีคนอื่นนางจะตัดขาท่อนที่สามของเขาเสีย!
หลังจากนั้นจึงคิดขึ้นมาได้ถึงกวีบทนั้น คนที่นี่คงรู้กันไปทั่วแล้วกระมัง
ใช่แล้ว หากมิเป็นเช่นนี้แล้วมันจะลือไปจนถึงเมืองหลวงได้อย่างไร
เจินเมี่ยวพลันรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที วันเวลาของการแสร้งเป็นสตรีผู้เชี่ยวชาญบทกวีเช่นนี้ นางควรทำตัวอย่างไร
ทหารผู้นั้นกลืนน้ำลายตนแล้วถูมือไปมาพลางเอ่ยว่า “ฮูหยิน ท่านมาครานี้นำเนื้อวัวแห้งมาด้วยหรือไม่”
ชิงไต้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยวถึงกับใบหน้ากระตุกอย่างน้อยนักจะพบเห็น
เจินเมี่ยวพลันโล่งอกขึ้นมา
ขอเพียงมิใช่การนัดรวมตัวเพื่อต่อบทกลอนอันใดเทือกนั้น เรื่องอื่นมิใช่ปัญหาเลย
“นำมาด้วยจำนวนหนึ่ง กลับไปจะให้สาวใช้แบ่งมาให้…”
วาจายังมิทันกล่าวจบ คนทั้งหลายที่แสร้งเป็นเดินผ่านไปมาก็เข้ามารุมล้อมเจินเมี่ยวทันที
“ออกไปให้หมด!” เซียวอู๋ซังที่ไม่ทราบมาตั้งแต่เมื่อใดเอ่ยไล่คนทั้งหลายออกไป
“จยาหมิงเซี่ยนจู่ ข้ากำลังจะไปหาท่านพอดี เจ้าพวกเหม็นโฉ่นั้นคงมิได้ทำให้ท่านตกใจกระมัง ความจริงพวกเขาไม่มีเจตนาร้ายอันใดหรอก แต่เพราะเนื้อวัวแห้งที่ท่านส่งมาอยู่หลายครานั้นอร่อยยิ่ง หลังจากที่พวกเขาได้กินก็เอาแต่เฝ้าคะนึงหา เพราะเหตุนี้ แม่ทัพหลัวถึงได้ชกต่อยเอาอยู่หลายที”
ชกต่อย?
เจินเมี่ยวมองข้ามประโยคสุดท้ายนั้นไปแล้วเอ่ยถามว่า “เซียวซื่อจื่อ ไม่ทราบจิ่นหมิงจะมาได้เมื่อใดหรือ”
เซียวอู๋ซังยกเชือกให้มือขึ้นให้นางดู “ข้ากำลังจะมาบอกท่านว่า เมืองเฮยมู่เกิดสงครามขึ้นอีกแล้ว แม่ทัพหลัวนำคนออกล่าศัตรูไป ข้าจึงต้องรีบกลับแล้ว เกรงว่าช่วงระยะหลายวันนี้คงกลับมามิได้ แต่จยาหมิงเซี่ยนจู่วางใจเถิด แม่ทัพหลัวเป็นเทพแห่งสงคราม ไม่มีทางเกิดเรื่องแน่ ท่านพักอยู่ที่นี่ทำใจให้สบาย หากเขาเสร็จภารกิจแล้วต้องรีบกลับมาหาท่านอย่างแน่นอน”
เจินเมี่ยวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ทราบดีว่ามีสงครามเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่มิอาจทำอันใดได้ จึงเพียงเอ่ยรับคำเบาๆ “เช่นนั้นเซียวซื่อจื่อระวังตัวด้วย ขอให้ปลอดภัยกลับมา”
เซียวอู๋ซังยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพต่อนาง “ขอให้เป็นดั่งคำอวยพรของเซี่ยนจู่ด้วยเถิด”
เขากระโดดขึ้นม้าแล้วควบออกไปทันที
วันเวลาแห่งการรอคอยของเจินเมี่ยวนั้นเชื่องช้าและยาวนานกว่าที่คิดไว้มาก พริบตาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว แม้ด้านนอกจะหนาวจนต้องยกเท้าขึ้นกระทืบ แต่น้ำแข็งและหิมะก็ค่อยๆ ละลายไปมากแล้ว ทว่ากลับยังมิเห็นหลัวเทียนเฉิงเลย ยามนี้เองก็มีทหารบาดเจ็บกลุ่มหนึ่งถูกส่งตัวมาที่เมืองเป่ยปิง
“ชิงไต้ออกไปสอบถามมาหน่อยเถิดว่าสงครามที่เมืองเฮยมู่เป็นเช่นใดบ้างแล้ว”
ชิงไต้พยักหน้ารับแล้วเดินออกไป ประมาณครึ่งชั่วยามก็กลับมา “บ่าวสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ ซื่อจื่อมิได้รับบาดเจ็บ ยังคงนำทัพออกไปรบอยู่เนืองๆ ภารกิจมากมายยิ่ง”
“ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว” เวลานี้เองเจินเมี่ยวก็พลันเกิดความคิดอยากจะไปเมืองเฮยมู่ แต่นางก็รู้ดีว่ายามนี้ที่นั่นสงครามกำลังระอุ หากนางไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเสียสมาธิได้ จึงได้แต่รออยู่เช่นนี้
“ต้าไหน่ไหน่ ในกลุ่มทหารที่ได้รับบาดเจ็บมีทหารหญิงด้วยเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “เตรียมพวกยาบำรุงโลหิตหน่อยเถิด แล้วตามข้าไปเยี่ยมพวกนางด้วย”
นางมาในฐานะตัวแทนของหวงโฮ่ว เมื่อมีทหารหญิงนางก็ควรต้องไปพูดคุย ปลอบโยนและทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่
“หา ที่เมืองเฮยมู่ยังมีทหารหญิงอยู่อีกหรือ” เจินเมี่ยวเดินไปพลางเอ่ยถาม
ชิงไต้เอ่ยว่า “บ่าวได้ยินมาว่ามีรองแม่ทัพสกุลเหยาผู้หนึ่ง บุตรสาวของเขามิชอบปักเย็บแต่ชอบฝึกยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย ฝีมือการต่อสู้สูงส่งยิ่ง ตอนที่ลี่อ๋องก่อกบฏ คุณหนูเหยาเป็นผู้นำทหารหญิงกลุ่มหนึ่งออกไปรบเจ้าค่ะ”
“คุณหนูเหยาผู้นี้ช่างเป็นสตรีที่น่าอัศจรรย์ผู้หนึ่งเลยทีเดียว” เจินเมี่ยวฟังแล้วก็รู้สึกนับถือยิ่ง
ระยะเวลาที่ผ่านมานี้นางเคยลองที่จะผูกสัมพันธ์กับสตรีที่อยู่ข้างเคียงตน แต่อาจเพราะการเป็นตัวแทนของหวงโฮ่วก็เป็นได้ที่ทำให้พวกนางยังคงมีท่าทีนบน้อมต่อตน ทั้งระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ก็ยังไม่นาน เมื่ออยู่ต่อหน้านางจึงสงบเสงี่ยมยิ่ง กระทั่งยามนี้ก็ยังพูดคุยกันเพียงไม่กี่คน เมื่อได้ยินว่ามีบุคคลเช่นนี้อยู่ก็อยากจะพบสักครั้งขึ้นมา
เมื่อไปถึงสถานที่รักษาตัวของทหารหญิง จึงพบว่ามีทั้งหมดเพียงสามคน ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีนักที่ผู้บาดเจ็บมีน้อยยิ่ง เจินเมี่ยวเอ่ยปลอบประโลมอยู่ครู่หนึ่งจึงวางยาบำรุงลง แล้วเอ่ยถามหนึ่งในนั้นด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเป็นองครักษ์คนสนิทของคุณหนูเหยา เช่นนั้นเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าคุณหนูเหยาเป็นคนเช่นไร แล้วมีเรื่องราวน่าอัศจรรย์ใดบ้าง”
ครั้นเอ่ยวาจานี้ออกไป บรรยากาศที่นับว่ากำลังดีนั้นพลันเปลี่ยนไปทันที ทหารหญิงทั้งสามกลับมีท่าทีระแวดระวังป้องกันตัวคล้ายเม่นที่พร้อมพุ่งเข้าใส่ศัตรูกระนั้น องครักษ์คนสนิทผู้นั้นทนไม่ได้อย่างที่สุดจึงเอ่ยว่า “แม่ทัพเหยาของพวกเรา ย่อมต้องร้ายกาจยิ่งอย่างแน่นอน และมีเพียงสตรีเช่นนางเท่านั้นที่เหมาะสมกับวีรบุรุษผู้กล้าในยามนี้!”
เจินเมี่ยวพลันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาในบัดดล
นางไม่รู้ว่าท่าทีอันเป็นปรปักษ์อยู่ในทีของทหารหญิงทั้งสามนี้มาจากที่ใดกัน