“เซี่ยนจู่คิดว่าข้าพูดถูกหรือไม่” องครักษ์คนสนิทของคุณหนูเหยาเอ่ยด้วยแววตาท้าทายอยู่ในที
เจินเมี่ยวได้แต่เงียบ
นางนับว่าดูออกแล้ว แม่นางผู้นี้เป็นคนที่หลงใหลชมชอบคุณหนูเหยาอย่างยิ่งกระมัง
แต่คนผู้นี้ยอมที่จะชมชอบคุณหนูเหยาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แล้วเหตุใดนางต้องคล้อยตามด้วยเล่า
ตั้งแต่นางติดตามสามีผู้มักเกิดวิปริตขึ้นมาอยู่ร่ำไปทำให้ฝีปากของนางแก่กล้าขึ้น แต่เมื่อคิดครู่หนึ่งจึงเลือกที่จะอดกลั้นไว้ดีกว่า
มิใช่อันใด แค่เพราะองครักษ์ผู้นี้ยอมเข้าสู่สนามรบเพื่อปกป้องบ้านเมือง นางก็มิควรใจแคบเกินไป
เจินเมี่ยวจึงเอ่ยคล้อยตามองครักษ์หญิงว่า “เจ้าพูดมีเหตุผลยิ่ง โดยมากแล้วสตรีกล้าหาญมักตามบุรุษหาญกล้าด้วยกันทั้งสิ้น”
หากเลือกบุรุษที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่ ยามทะเลาะกันขึ้นมาแล้วเผลอทำร้ายจนฝ่ายชายพิการจะทำฉันใดเล่า
องครักษ์หญิงไม่คิดว่าเจินเมี่ยวจะพูดง่ายเพียงนี้จึงได้แต่อึ้ง แล้วเผยรอยยิ้มเบิกบานออกมา “คิดไม่ถึงว่า เซี่ยนจู่จะเป็นคนเข้าใจหลักเหตุผลเช่นนี้”
เจินเมี่ยวลอบกระตุกมุมปากตน
แม่นางผู้นี้อารมณ์จะไปอารมณ์จะมารวดเร็วยิ่ง นางมึนงงไปหมดแล้ว
“พวกเจ้าพักผ่อนให้มากๆ อีกสองสามวันข้าจะมาเยี่ยมใหม่” เจินเมี่ยวลุกขึ้นบอกลา
ครั้งนี้ทหารหญิงทั้งสามจึงนับว่ามีมารยาทอยู่บ้าง พวกนางจึงพร้อมใจกันเอ่ยลาเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวพาชิงไต้ออกไป แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าลืมถามเรื่องของซื่อจื่อเพราะกำลังโมโหองครักษ์หญิงผู้นั้น แต่ด้วยฐานะของนาง การจะไปถามเรื่องเหล่านี้กับทหารทั่วไปนั้นมิใคร่ดีเท่าใด มิสู้ถามทหารหญิง ด้วยเหตุนี้นางจึงเดินย้อนกลับมา ขณะกำลังจะเดินข้ามประตูไปก็ได้ยินเสียงสนทนากันดังขึ้น
“ข้าคิดว่าสตรีสูงศักดิ์ที่มาจากเมืองหลวงจะเอาแต่ใจ คิดไม่ถึงว่าเซี่ยนจู่ผู้นี้จะใจดียิ่ง”
“ผู้อื่นเป็นถึงตัวแทนของหวงโฮ่ว ย่อมมิอาจแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับเราได้กระมัง”
“แต่พี่หยวนหยวน ท่านช่างใจกล้านัก ถึงกับกล้าพูดเช่นนั้นกับเซี่ยนจู่”
เสียงขององครักษ์หญิงผู้นั้นลอยมา “ข้าได้ยินนางเอ่ยถามถึงแม่ทัพของเราข้าก็ทนไม่ได้แล้ว ข้าจะบอกไว้เลยว่าสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้เจ้าเล่ห์นัก เซี่ยนจู่ผู้นั้นต้องได้ยินเรื่องของแม่ทัพเรากับแม่ทัพหลัวมาเป็นแน่ จึงเจตนาถามเช่นนี้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ฮึ ข้าไหนเลยจะยอมให้นางสมหวัง!”
เจินเมี่ยวที่ยืนอยู่หน้าประตูพลันหุบยิ้มทันที
เรื่องของแม่ทัพนางกับแม่ทัพหลัวงั้นหรือ
คุณหนูเหยากับซื่อจื่อของนางจะมีเรื่องอันใดกันได้
หึ บังเอิญได้ยินคนพูดคุยกันถึงข่าวที่น่าโมโหเช่นนี้ จะให้นางสงบใจฟังต่อไปได้อย่างไร!
เจินเมี่ยวดึงผ้าเช็ดหน้าในมือตนไปมา ส่วนหูก็ยังคงฟังต่อไป
องครักษ์หญิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “แต่เซี่ยนจู่ผู้นั้นก็นับว่าเป็นผู้เข้าใจเหตุผล ถึงได้รู้ว่าแม่ทัพของเราเหมาะสมกับแม่ทัพหลัวมากที่สุด…”
เจินเมี่ยวยกมือขึ้นทาบหน้าอกอย่างเริ่มอดรนทนไม่ไหว
ซื่อจื่อของนางเป็นวีรบุรุษผู้เก่งกาจ นางมีหรือจะไม่ทราบ
สมควรตาย ปกติแล้วหากเป็นวีรบุรุษผู้เก่งกาจก็ควรจะขี่ม้าขาวทะยานขึ้นฟ้า สวมเสื้อผ้างดงามกลับเรือนตนเพื่ออวดโอ่ต่อภรรยามิใช่หรือ เมื่อใดกันที่นิยมแต่งสหายร่วมรบกลับเรือน
“พี่หยวนหยวน ท่านอย่าพูดจะดีกว่า แม่ทัพเราเคยเตือนแล้วว่าไม่อนุญาตให้เราก้าวก่ายเรื่องของนาง”
องครักษ์หญิงจึงเอ่ยเสียงอ่อนลงว่า “ข้า ข้าเป็นห่วงแม่ทัพของเรามิได้หรือ”
เจินเมี่ยวหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที นางหมุนจากไป เมื่อถึงห้องตนก็ฉีกทึ้งผ้าเช็ดหน้าจนขาดเปื่อย
ไป๋เสาลอบถามชิงไต้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจึงหันมาปลอบเจินเมี่ยวว่า “ต้าไหน่ไหน่ ทำใจให้สบายเถิด ซื่อจื่อมิใช่คนเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
“ไป๋เสา ชิงไต้ พวกเจ้าออกไปสอบถามเรื่องของคุณหนูเหยามาที ข้าอยากจะถามให้แน่ชัดว่านางกับซื่อจื่อจะมีเรื่องอันใดกันได้”
ไป๋เสากับชิงไต้มองหน้ากันแล้วออกจากห้องไป
เจินเมี่ยวถอดรองเท้าแล้วนั่งลงบนเตียงคั่ง นางล้วงเอาเนื้อวัวแห้งจากถุงเก็บของขึ้นมากัดกินโดยแรง
เนื้อวันแห้งที่อร่อยเช่นนี้ เจ้าคนหน้าเหม็นโฉ่ยังกล้าล่อภมรเรียกผีเสื้อ นางจะเอาไปให้ผู้อื่นให้หมดแล้วเหลือไว้เพียงชิ้นเดียวเพื่อเอาไว้กินต่อหน้าเขา!
ไม่นานไป๋เสาก็กลับมา
เจินเมี่ยวลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวไปถามสตรีสองคนมา หนึ่งไม่นั้นบอกว่าไม่ทราบ อีกคนหนึ่งหลังบ่าวให้กำไลทองแก่นาง นางก็บอกว่า…”
“มีอันใดก็พูดมา”
“นางบอกว่าคุณหนูเหยาทั้งฉลาดและกล้าหาญทำให้เหล่าทหารรักเคารพยิ่ง หลังจากที่ซื่อจื่อมาถึงทั้งสองได้เคยร่วมมือกันขับไล่ศัตรูไป เมื่อเวลาผ่านไปคนก็ต่างลือว่านางกับซื่อจื่อเป็นคู่ที่สวรรค์สรรค์สร้างเจ้าค่ะ”
เอ่ยถึงตรงนี้ไป๋เสาก็รีบพูดขึ้นว่า “แต่หลังจากที่บทกวีนั้นของท่านได้แพร่ออกไป ก็มีคนไม่น้อยคิดว่าท่านเหมาะสมกับซื่อจื่อที่สุดเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวหน้าดำคล้ำอย่างที่สุด นางกัดฟันเอ่ยว่า “นี่มิใช่เรื่องสำคัญเลย!”
เมื่อนางสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงเอ่ยว่า “ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่าเมื่อคราแรกเริ่มซื่อจื่อมิได้บอกหรอกหรือว่า ตนยังมีภรรยาที่งดงามดุจหยกดั่งบุปผาอยู่ผู้หนึ่ง!”
ไป๋เสามีสีหน้าปั้นยากขึ้นมา “ความจริงสตรีผู้นั้นก็มิเคยเห็นด้วยตาตน ล้วนเกิดจากความคิดของทหารพวกนั้นทั้งสิ้น มันจึงเล่าลือกันมา บ่าวคิดว่าท่านมิจำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”
เวลานี้ชิงไต้ก็กลับมาพอดี เมื่อเจินเมี่ยวถาม เรื่องที่นางสอบถามมาได้ก็ไม่แตกต่างจากไป๋เสานัก
นางเม้มริมฝีปากแล้วยืนขึ้น “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปเมืองเฮยมู่!”
ไป๋เสาผุดลุกขึ้นมา “ต้าไหน่ไหน่ เมืองเฮยมู่ยังไม่สงบ ท่านมิอาจเสี่ยงอันตรายไปตอนนี้นะเจ้าคะ!”
ชิงไต้กลับคุกเข่าลงเสียงดัง “ต้าไหน่ไหน่ ขอท่านโปรดคิดให้รอบคอบอีกครั้งด้วยเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวหันไปมองคนทั้งสองแล้วแค่นยิ้ม “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเตือนแล้ว เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว”
“ต้าไหน่ไหน่…”
เจินเมี่ยวโบกมือไปมา “เมืองเฮยมู่ถูกยึดคืนมาแล้ว ที่บอกว่ายังมิค่อยสงบนั้นความจริงๆ ก็แค่เขตที่ติดกับชิงเป่ยเท่านั้น ส่วนในตัวเมืองจะมีอันตรายสักเท่าใดกันเชียว ซื่อจื่อเป็นวีรบุรุษผู้กล้า(อิงสยง)มิใช่หรือ หากแม้แต่ภรรยาตนเขายังคุ้มครองไม่ได้ เช่นนั้นไปเป็นหมีหมา(โก่วสยง)มิดีกว่าหรือ”
ไป๋เสาไม่กล้าพูดแล้ว
ต้าไหน่ไหน่ถึงกับพูดว่าซื่อจื่อเป็นหมีหมาต่อหน้าพวกนางแล้ว เห็นชัดว่าโมโหไม่น้อย
ชิงไต้กลับยังคงคุกเข่าเช่นนั้นต่อไป
เจินเมี่ยวมองนางแล้วหยักยกมุมปากขึ้น “ชิงไต้ เจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องหนึ่งก่อน เจ้ามาเพื่อปกป้องข้า หากจะปกป้องข้าด้วยการขังไว้ในกรงทองมิให้โดนลมฝน เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องใช้เจ้าแล้ว ที่จวนมีแค่จิ่นเหยียนก็เพียงพอแล้ว”
ชิงไต้สั่นสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง ผ่านไปนานจึงโขกศีรษะลงบนพื้นแล้วยืนขึ้น “ต้าไหน่ไหน่สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว เป็นบ่าวเองที่คิดผิดไป”
“คล้ายว่ารองหัวหน้าฉือจะกลับมาแล้วเมื่อวานนี้ ไป๋เสาเจ้าไปเชิญเขามาที่นี่ที”
“เจ้าค่ะ”
ไม่นานรองหัวหน้าฉือก็เข้ามา เขาเหลือบมองไปที่โต๊ะอาหารตามสัญชาตญาณทันที
เวลานี้ควรกินข้าวแล้วกระมัง เฮ้อ ไม่รู้ว่าเซี่ยนจู่เตรียมของกินอร่อยอันใดไว้ หลังจากมาถึงที่นี่ก็มิได้กินฝีมือนางอีก เขาเริ่มเฝ้ารอถึงการไปส่งเซี่ยนจู่กลับเมืองหลวงเสียแล้ว ทำอย่างไรดี
“รองหัวหน้าฉือ มีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนท่าน”
“เชิญเซี่ยนจู่สั่งมาได้เลยขอรับ”
เจินเมี่ยวขมวดคิ้วมุ่น หน้าตาดูอมทุกข์ยิ่ง “ข้ากลัวว่าพูดไปแล้วจะทำให้รองหัวหน้าฉือลำบากใจ เพราะมันออกจะรบกวนท่านมากอยู่เช่นกัน…”
“เซี่ยนจู่เชิญพูดมาเถิด หากข้าสามารถทำได้ แม้บุกน้ำลุยไฟก็จะไม่เกี่ยงเลยขอรับ!” รองหัวหน้าฉือตกที่หน้าอกตนพลางเอ่ย
เจินเมี่ยวลอบพยักหน้า
รองหัวหน้าฉือช่างเป็นคนดีจริงๆ ไม่เสียทีที่นางทำอาหารให้เขากินอยู่เป็นนาน
“รองหัวหน้าฉือได้โปรดพาพวกเราไปที่เมืองเฮ่ยมู่ที”
“หา?” รองหัวหน้าฉือคล้ายมิอาจยืนให้มั่นได้กระนั้น
เจินเมี่ยเหลือบมองไป๋เสาคราหนึ่ง
“รองหัวหน้าฉือ เซี่ยนจู่ของเราอยากขอให้ท่านนำทางพวกเราไปที่เมืองเฮยมู่สักหน่อยเท่านั้น”
“อ้อ ได้…” รองหัวหน้าฉือต้องรีบกัดลิ้นตนเองไว้แล้วเปลี่ยนคำว่า “ไม่ได้!”
เขามองเจินเมี่ยวอย่างไม่รู้จะทำฉันใด พลางเอ่ยในใจว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่ช่างเจ้าเล่ห์นัก ถึงกับใช้แผนหญิงงามกับเขา เคราะห์ดีที่เขามีปณิธานอันแข็งแกร่งดุจเหล็ก…
“ไม่ได้จริงๆ งั้นหรือ” เจินเมี่ยวเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
รองหัวหน้าฉือเห็นเจินเมี่ยวมีท่าทีแน่วแน่ก็แทบจะร้องไห้ออกมา “เซี่ยนจู่ ไม่ได้จริงๆ ขอรับ เมืองเฮยมู่ยังมิสงบ เกรงว่าระหว่างทางจะพบอันตราย หากข้าพาท่านไป แม่ทัพเซียวคงได้ถลกหนังข้าแน่”
“ต้องขออภัยด้วย ทำให้รองหัวหน้าฉือต้องลำบากใจแล้ว” เมื่อเจินเมี่ยวหลุบตาต่ำลง ขนตางอนยาวจึงกระเพื่อมไหวคล้ายจะเอาความทุกข์ตรมเก็บซ่อนไว้ในเบื้องลึกนัยน์ตานั้น
รองหัวหน้าฉือพลันใจสั่นขึ้นมา
เขาย่อมไม่กล้าคิดอันใดกับเซี่ยนจู่แน่ แต่ยามนี้เขากลับอยากจะรับปากเหลือเกิน ทำอย่างไรดี
เจินเมี่ยวเหลือบสายตาขึ้นคล้ายความอ่อนแอเมื่อครู่ไม่เคยมีมาก่อน นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ไป๋เสา ชิงไต้ไปเก็บของ พวกเราควรไปได้แล้ว”
“เซี่ยนจู่ ท่านจะไปที่ใดขอรับ”
“แน่นอนว่าต้องไปเมืองเฮยมู่ ในเมื่อรองหัวหน้าฉือมิยอมนำทาง เราคิดว่าถามทางไปก็น่าจะถึงเช่นกัน”
“เซี่ยนจู่ ไม่ได้จริงๆ ขอรับ หากท่านเป็นอันใดไปแม้แต่เพียงน้อยนิด ข้าน้อยตายนับพันครั้งก็ไม่สาสม!”
“ดังนั้นจึงไม่รบกวนรองหัวหน้าฉือแล้ว เช่นนี้หากเกิดเรื่องใดขึ้นจะได้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรองหัวหน้าฉือแม้เพียงน้อยนิด”
“มิใช่เช่นนั้น ข้ามิได้กลัวตาย…” รองหัวหน้าฉือไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร เหตุใดบทสนทนาถึงได้วนไปวนมาเช่นนี้ได้
“รองหัวหน้าฉือ” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเรียบ “อย่างไรข้าก็ต้องไปเมืองเฮยมู่ให้ได้”
รองหัวหน้าเฉิงมองสีหน้าอันสงบนิ่งของเจินเมี่ยวแล้ว สุดท้ายจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ได้ ข้าจะไปส่งท่านเอง!”
หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริง เขาจะยอมเอาชีวิตเข้าปกป้องเพื่อเป็นการชดใช้ความผิดแล้วกัน
หลัวจากที่ตัดสินใจแล้วเขากลับมีท่าทีสงบนิ่งยิ่ง “เช่นนั้นข้าน้อยไปเตรียมรถม้าก่อนขอรับ”
“ไม่จำเป็นเลย ขี่ม้าไปก็ได้”
เมื่อเห็นรองหัวหน้าฉือมีท่าทีลังเล เจินเมี่ยวจึงยิ้มออกมาในที่สุด “วางใจเถิด ฝีมือการขี่ม้าของข้ามิได้ย่ำแย่ปานนั้น”
เพื่อหลบเลี่ยงความสนใจของผู้คน เจินเมี่ยวและสาวใช้ทั้งสองจึงแต่กายเป็นชาย คนทั้งสี่เดินทางออกไปจากเมืองเป่ยปิงอย่างเงียบๆ
ตลอดเส้นทางม้ามิเคยได้หยุดวิ่งเลย กระทั่งไปถึงเมืองเฮยมู่ก็เข้าสู่ราตรีอันดึกสงัดแล้ว ประตูเมืองปิดแน่นสนิท มีเพียงแสงไฟริบหรี่
รองหัวหน้าเฉิงมองเจินเมี่ยวและสาวใช้ทั้งสองด้วยสายตานับถือ เขาควบม้าเข้าไปเคาะประตู
“ผู้ใด” เสียงเอ่ยถามอย่างระแวดระวังภัยดังออกมาจากด้านใน
อันดับแรกต้องเอ่ยตอบรับด้วยรหัสลับ และตามด้วยยื่นป้ายคำสั่ง ประตูเมืองจึงเปิดออกให้พวกเขาเข้าไปทีละคน
“เซี่ยนจู่ ที่นี่คือสถานที่พักของแม่ทัพหลัว สองวันก่อนเขาเดินทางออกจากเมืองไปแล้ว ไม่ทราบว่ากลับมาแล้วหรือไม่”
ยามออกรบ สถานที่พำนักย่อมไม่ต้องมีสาวใช้บ่าวไพร่คอยปรนนิบัติ ทหารคนสนิททั้งหลายก็มักจะติดตามหลัวเทียนเฉิงไปเสมอ ทุกคราที่ออกไปจะทิ้งไว้เพียงทหารชราผู้หนึ่งคอยเฝ้าประตู
“เคาะประตูดูเถิด”
ชิงไต้เดินเข้าไปเคาะประตู
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด เจินเมี่ยวมองรองหัวหน้าฉือ “ปกติยามพวกเจ้ามีเรื่องด่วนจะเข้าไปพบแม่ทัพหลัวด้วยวิธีใดหรือ”
รองหัวหน้าฉือลูบจมูกไปมา “อืม พวกเราล้วนกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปเลย เพราะทหารชราผู้นั้นได้รับบาดเจ็บที่หู หูจึงค่อนข้างตึง”
เจินเมี่ยว “…”
คนทั้งสี่จึงปีนกำแพงเข้าไปทีละคน ลานกลางเรือนมืดสนิท
เจินเมี่ยวเดินไปข้างหน้าสองก้าว พลันรู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางอย่าง ตามด้วยตาข่ายใหญ่ที่ร่วงตกลงมา
ภายในเรือนพลันสว่างขึ้นมาทันใด
หลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ที่ลานกลางเรือนพลางเอ่ยในใจว่า ก่อนหน้านี้ได้รับรายงานลับว่าลี่อ๋องส่งคนมาลอบสังหารเขา เมื่อเขาทำทีคลายการป้องกันลง คนก็เข้ามาติดกับอย่างที่คิดเสียด้วย
เขาจึงหันไปมองด้วยสีหน้าเฉยชา