ตอนที่ 410 น้ำตาร่วง

วาสนาบันดาลรัก

ภายใต้แสงสว่างดุจยามทิวาในลานกลางเรือนนั้น คนทั้งหลายต่างมองไปที่ตาข่ายใหญ่ จึงเห็นหนึ่งในนั้นถีบคนผู้หนึ่งไปอีกทางทันที

 

 

คนที่ถูกถีบเซถลา หน้าไปชนเข้ากับตาข่ายจนใบหน้าเป็นรอยตารางสี่เหลี่ยม เมื่อใบหน้าเปลี่ยนรูปไปเช่นนั้นจึงดูขบขันยิ่ง

 

 

เฮ้อ ยังมิทันถูกจับตัวไปด้วยซ้ำก็โจมตีกันเองแล้วหรือ เจ้าคนโชคร้ายนี่เป็นใคร เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นตาไม่น้อย

 

 

หลัวเทียนเฉิงลูบคางตนคราหนึ่ง

 

 

คนผู้นั้นร้องออกมาด้วยเสียงโหยหวน “แม่ทัพหลัว ข้าน้อยคือรองหัวหน้าที่ติดตามหัวหน้าเซียวอย่างไรเล่าขอรับ!”

 

 

“หัวหน้าเซียว?”

 

 

“ขอรับ หัวหน้าเซียวที่เป็นผู้นำขบวนขนเสบียงอาหารมาเมื่อไม่นานนี้อย่างไรขอรับ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงนึกออก เขาเคยพบคนผู้นี้มาก่อน

 

 

“แล้วเจ้า…” สายตาเขาเบนไปด้านข้าง คนอีกสองคนต่างคอยคุ้มกันผู้ที่อยู่ตรงกลางอย่างแน่นหนา แม้เห็นหน้าไม่ชัด แต่เขามองแค่ปราดเดียวใจก็หายวาบขึ้นมาทันที

 

 

เขาเดินก้าวใหญ่เข้าไปหา

 

 

คนสนิทของหลัวเทียนเฉิงเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ…”

 

 

ต่อให้หนึ่งในนั้นจะเป็นคนของหัวหน้าเซียว แต่พวกเขาทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่แน่อาจมีอันใดก็ได้ จะให้ท่านแม่ทัพเข้าไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร

 

 

แต่หูหลัวเทียนเฉิงกลับไม่ได้ยินคำเตือนของใครเสียแล้ว แม้หัวใจเขายังอยู่ในอก แต่กลับเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งไม่ยอมหยุด

 

 

เขาคิดว่าหากเขาไม่รีบเดินไปให้ถึงที่หมาย ใจของเขาคงโบยบินออกไปก่อนเป็นแน่

 

 

เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงผลักไป๋เสาและชิงไต้ที่แต่งกายเยี่ยงบุรุษให้หลบไป สายตาของเขามองนิ่งไปยังใบหน้าอันคุ้นเคยนั้น แล้วยื่นมือใหญ่อุ้มนางเดินเข้าห้องตนไปภายใต้สายตาตกตะลึงของคนทั้งหลาย

 

 

คนทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับสูดปากแล้วสบตากัน บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมา แม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาแต่กลับส่งสายตาให้กัน ใจอันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั้นได้ตามติดแม่ทัพหลัวของพวกเขาเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว

 

 

ที่แท้แม่ทัพของพวกเขาชมชอบบุรุษ!

 

 

อยากจะพุ่งออกไปประกาศเสียเหลือเกิน ทำอย่างไรดี

 

 

“แค็กๆ รองแม่ทัพจาง ตอนนี้คงไม่มีอันใดแล้วกระมัง”

 

 

เมื่อเห็นไฟในห้องสว่างขึ้นเผยให้เห็นแสงสีส้มอันอ่อนโยน พร้อมกับเงาร่างของคนที่แนบชิดกันอยู่ข้างหน้าต่าง รองแม่ทัพจางก็ไอออกมาคราหนึ่ง “ไม่มีอันใดแล้วๆ ทุกคนไปอาบน้ำนอนเถิด”

 

 

ชายผู้หนึ่งจึงวางมือบนไหล่คนข้างกาย “เฮ้ย คอยเฝ้าอยู่จนดึกดื่นเช่นนี้ทั้งหิวทั้งหนาว ไปดื่มสุรากันสักหน่อยเถิด”

 

 

“ไปๆๆ” คนจำนวนหนึ่งจึงกรูเข้ามา

 

 

“ใช่แล้ว เอ้อร์เหมาและคนอื่นๆ มิใช่กลับไปนอนแล้วหรือ รีบไปเรียกพวกเขามาด้วยเร็วเข้า!”

 

 

“พอแล้ว!” รองแม่ทัพจางกัดฟันตนพลางคิดในใจว่า เจ้าคนพวกนี้จะต้องพูดนินทาแม่ทัพหลัวลับหลังเป็นแน่

 

 

เมื่อเขาคำรามออกมาเช่นนี้ คนทั้งหลายถึงกับตะลึงไปทั้งรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง

 

 

แปลกยิ่ง ปกติรองแม่ทัพจางเป็นคนพูดง่ายมาก วันนี้เป็นอันใดไปหรือ

 

 

รองแม่ทัพจางจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “พวกเจ้าทุกคน เกินไปแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้ใดเอ่ยชวนข้าเลยสักคน!”

 

 

ครั้นเห็นคนทั้งหลายกอดคอโอบบ่ากันเดินออกไป รองหัวหน้าฉือจึงลอบนวดคลึงก้นตนเบาๆ เพื่อคลายความเจ็บปวด

 

 

แม่นางไป๋เสาแรงไม่เบาจริงๆ แม้เขาจะเซถลาไปบ้างแต่ยังคงควบคุมตนเองได้ ไหนเลยจะกล้าเข้าใกล้เซี่ยนจู่เล่า การถูกถีบเช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่ยุติธรรมนัก

 

 

ยังมีคนพวกนั้นอีก การทิ้งให้เขาตากลมหนาวอยู่เช่นนี้ช่างเกินไปจริงๆ ฮึ เขาจะไม่บอกพวกเขาเด็ดขาดว่าคนที่แม่ทัพหลัวอุ้มไปเมื่อครู่คือจยาหมิงเซี่ยนจู่ พรุ่งนี้ให้พวกเขาโดนต่อยเสียให้เข็ด!

 

 

เมื่อรองหัวหน้าฉือคิดได้เช่นนั้นจึงกระตุกมุมปากขึ้นแล้วเดินจากไป

 

 

ภายในลานกลางเรือนว่างเปล่าไร้ผู้คน มีเพียงลมในยามค่ำคืนที่พัดโชยดังหวีดหวิวขึ้นตรงลายฉลุหน้าต่าง โคมไฟใต้ชายคานั้นมืดดับแต่กลับถูกแสงจากภายในห้องสาดส่องเกิดเป็นแสงนวลลออ

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ามาได้อย่างไร” หลัวเทียนเฉิงกระชับกอดเจินเมี่ยวไว้ในอ้อมอกแน่นราวเด็กทารก ดวงตาแดงก่ำเพราะอดนอนนั้นกลับรื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนคางก็คอยถูไถไปกับแก้มของเจินเมี่ยวไม่หยุด

 

 

คางของเขามีไรหนวดเคราแข็งขึ้นมาชั้นหนึ่ง เมื่อถูไถไปเช่นนี้ทำให้แก้มของเจินเมี่ยวแดงขึ้นมาทันใด

 

 

แต่นางกลับไม่พูด เอาแต่เม้มริมฝีปากจ้องมองเขานิ่ง

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยวๆ เจ้าเหนื่อยมากใช่หรือไม่ เจ้าเดินทางมาอย่างไรหรือ” หลัวเทียนเฉิงจุมพิตนางแผ่วเบาครั้งแล้วครั้งเล่า จากหน้าผากถึงข้างแก้ม ระเรื่อยมาจนถึงริมฝีปากอวบอิ่มดุจกลีบบุปผานั้น

 

 

ร่างของเจินเมี่ยวมีแต่ความเย็นเยียบ ภายในห้องอันอบอุ่นเช่นนี้ ลมหายใจกลับไม่มีความอุ่นร้อนแม้เพียงนิดเดียว คล้ายว่าเขากำลังกอดตุ๊กตาหิมะอยู่กระนั้น

 

 

“น่าตายนัก เจ้าขี่ม้ามาใช่หรือไม่” หลัวเทียนเฉิงเจ็บปวดใจขึ้นมา เขายื่นมือไปถลกกางเกงนางขึ้น “ข้าดูหน่อย ขี่ม้ามานานเช่นนี้ต้องเสียดสีจนเนื้อถลอกแล้วเป็นแน่ รอให้ถึงวันพรุ่งข้าจะสั่งสอนรองหัวหน้าฉือ…”

 

 

มือของเจินเมี่ยวพลันวางลงไปบนมือของเขาแล้วกดไว้มิให้ขยับ

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองจ้องเจินเมี่ยว

 

 

นางดูซูบผอมไป ใบหน้ารูปไข่ห่านที่มีความโค้งมนอันงดงามนั้นดูแหลมเล็กลง ทำให้คอของนางยิ่งดูระหงขึ้น ความอ่อนเยาว์อย่างเด็กสาวได้ลดลงไป แต่เพิ่มความงดงามมากขึ้นอีกหลายส่วน

 

 

ทว่าความงดงามเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกทรมานใจขึ้นมา

 

 

เป็นเขาเองที่ทำได้ไม่ดีพอจึงทำให้นางต้องทนทุกข์เช่นนี้ กระทั่งว่านางมาถึงแล้วก็ยังไม่มีแม้เวลาจะกลับไปหานางเลย

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว หากเจ้าอยากจะต่อว่าข้า ก็อย่าได้เก็บไว้ในใจ ตีข้าระบายโทสะได้เลย” เขาจับมือนางขึ้นมาตบหน้าตน มือเรียวขาวเนียนนั้นเย็นเยียบประหนึ่งสลักจากหิมะก็มิปาน

 

 

เจินเมี่ยวสะบัดออก นางมองหลัวเทียนเฉิงแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา

 

 

หลัวเทียนเฉิงลนลานขึ้นมาทันที

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเป็นอันใดกันแน่”

 

 

เจินเมี่ยวจึงเอ่ยว่า “หลัวเทียนเฉิง เจ้าคนชั่วช้า! ข้าเดินทางนับพันลี้มาเพื่อหาท่าน แต่ระยะทางเพียงแค่ร้อยลี้ ท่านกลับไม่ยอมไปหาข้า”

 

 

นางย่อมรู้สึกน้อยใจอยู่แล้ว ต่อให้เป็นคนมีเหตุผลเช่นใด แต่ก็เป็นเพียงสตรีที่หอบความคิดถึงมาเต็มหัวใจตลอดทางนับพันลี้เพื่อจะได้พบกับคนที่อยู่ในใจสักคราหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่ใกล้กันเพียงนี้แล้ว ทว่าเวลาที่นางต้องรอกลับนานเสียยิ่งกว่าการเดินทางพันลี้ของนางเสียอีก จึงยิ่งรู้สึกทรมานใจ

 

 

นางร้องไห้ออกมา น้ำตาร่วงรินเป็นสาย นางอดคิดไม่ได้ว่าแม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวอันใดกับคุณหนูเหยา แต่หากเทียบกับแผ่นดินของเขาแล้วนางก็คงต้องหลบอยู่ในมุมเล็กๆ ใช่หรือไม่

 

 

บุรุษเช่นนี้ต้องเป็นผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน แต่นาง…เจินเมี่ยวมิเคยต้องการวีรบุรุษกล้าหาญอันใด ที่นางต้องการคือสามีที่อยู่กับตนไปจนกว่าจะตายจากกัน

 

 

สามีที่อยู่ใกล้กันในระยะหนึ่งจั้งจึงจะเรียกว่าสามี

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว!” หลัวเทียนเฉิงได้ยินแล้วก็ยิ่งโทษตัวเอง เขาพลันวางนางลงให้นางยืนบนพื้น

 

 

เจินเมี่ยวคว้าชายเสื้อเขาไว้ด้วยสัญชาตญาณ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา

 

 

ท่าทีเช่นนี้แทบจะทำให้หัวใจของหลัวเทียนเฉิงละลายไปเสียเดี๋ยวนั้น เขาพลันนึกถึงแมวสีขาวนัยน์ตาสองสีตัวนั้นขึ้นมา มันเองก็มีท่าทีอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความดื้อรั้นเช่นนี้เหมือนกัน

 

 

“ท่านจะไปที่ใด ข้ายังร้องไห้มิพอ…”

 

 

ชั่วขณะนั้นหลัวเทียนเฉิงก็อดยิ้มออกมามิได้ เขาก้มหน้าลงจุมพิตที่กลางกระหม่อมของนางแล้วเอ่ยพึมพำว่า “รอข้า”

 

 

เจินเมี่ยวเห็นเขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า จึงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาด้วยความรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง

 

 

ความจริงนางไม่คิดว่าจะร้องไห้ แต่เหตุใดเห็นหน้าเขาแล้วกลับอดมิได้เล่า

 

 

ต้องเป็นเพราะเขาน่าโมโหเกินไป ทั้งมิรู้จักวิธีเอาใจให้นางเบิกบานนั่นแล

 

 

หลัวเทียนเฉิงเดินย้อนกลับมา แต่ในมือกลับมีของบางอย่างเพิ่มมาด้วย