หัวใจของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เต้นรัว เมื่อมือของจวินโม่เซี่ยลูบคางของนาง จึงมิอาจปกปิดความเขินอายได้อีกต่อไป นางหวนนึกบางสิ่งได้ และเอ่ย
” แม่ง … ข้าจักไปพบเจ้าในวันพรุ่งอย่างแน่นอน “
เสียงของนางยังคงเบาและก้มหัวเช่นก่อนหน้า กระนั้น เห็นได้ชัดว่านางไม่ตระหนักได้เลยว่าเขาจะได้ยินหรือไม่
” เป็นเลิศ … ข้าจะรอคอยการมาถึงของเจ้า “
คำพูดของนายน้อยจวินที่ชัดเจนและยินดีนั้นตรงเข้าสู่หูของหญิงสาว และอยู่เช่นนั้น จนนางมองขึ้นมา … แม้นว่าเงาของเขามิได้อยู่ที่นี่แล้วก็ตาม
ตู่กู้เซี่ยวอี้ ยืนขึ้นร้อนรน จากนั้นนางก้าวเท้าอย่างรวดเร็วขณะมุ่งหน้าไปยังทางเข้าโถง กระนั้น นางเงยหน้าขึ้นมองออกไป เห็นเพียงแต่ชายบนหลังม้าที่เพิ่งจะหายลับไปจากมุมถนน แววตามึนเมาปรากฏขึ้นในดวงตาของนางราวกับจินตนาการ ขณะเพ่งมองไปยังท้องถนนอันว่าเปล่า รอยยิ้มดั่งฝันปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันแดงก่ำของนาง นางมิอาจเอ่ยสิ่งใดหรือเคลื่อนไหวได้
” วายร้าย … ฮึ่ม ! เขากล้าหยิกแก้มข้าได้อย่างไรกัน ? ข้า … เขา … เขาสามารถ … ข้าจักต้องไปพบเขาในวันพรุ่ง ! และข้าจักชำระหนี้ด้วยการเตะก้นเขา ! “
ตู่กู้เซี่ยวอี้ ผู้น่าสงสารคำรามทางจมูกขณะนางพยายามแสดงความโกรธ แต่กระนั้น ในดวงตาของนาง ซึ่งมิอาจควบคุมได้ โค้งงองดั่งจันทร์เซี่ยว เผยถึงความเขินอาย มีความสุข และพึงพอใจในดวงจิต
จวินโม่เซี่ย เดินทางกลับบ้านเพียงลำพัง เขาคิดไม่ออกเลยว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก เนื่องจาก ดวงจิตของเขาไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งนี้มาก่อน นอกจากนี้ เขาเริ่มรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยและมีความสุข เขามิได้ดื่มสิ่งใด แต่ตอนนี้เขายังรู้สึกมึนเมา ชัดเจนว่าเขามิได้ฟังเรื่องตลก แต่มุมปากของเขายกขึ้นดั่งรอยยิ้มน้อยๆ …
เจ้าเด็กสาวน่ารังเกียจนั่น ! เจ้าเด็กสาวนั่นวางยาข้ารึ ?
อารมณ์เช่นนี้เป็นดั่งพิษเมื่อดื่มสุรา ซึ่งส่งผลไปตลอดชีวิต และไม่มียารักษา !
ความรู้สึกที่แปลกประหลาดนี้ทำให้เขาปวดหัว แม้นว่าเขาจักพักฟื้นร่างกายมาเนิ่นนาน … เขาก็ยังอยู่ในร่างของเด็กอายุสิบหก เขายังมิได้ไปถึงวัยผู้ใหญ่ดั่งเช่นโลกที่แล้ว หรือจะพูดง่ายๆ … เขายังอยู่ในระดับ มัธยมต้น บางทีเขาอาจจะถูกมองว่าเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กหนุ่ม ดีละ ! ดูเหมือนว่าเด็กสาวผู้นั้นจะรุ่นราวคราวเดียวกัน อาจจะเด็กกว่าเล็กน้อย !
นี่คือความรักแรกอันบริสุทธิ์ !
วู้ว ช่างน่ากลัว ! รักแรกที่รู้สึกผิด ! ข้าจักต้องหาใครสักคนที่มีประสบการณ์เพื่อเรียนรู้เรื่องนี้ …
นายน้อยจวินตกอยู่ในห้วงอันอัศจรรย์ตลอดเส้นทางกลับ
สำหรับคนทั่วไป เสียงฝีเท้าม้าของเขาดังเช่นเสียงกลองแห่งการหวนคืนของ ขุนพลผู้มีชัย สำหรับเขานั้น เสียงฝีเท้าม้านี้เป็นดั่งท่วงทำนองอันหวานชื่น ประส่วนบทกลอนโครงกวี …
จวินโม่เซี่ย ลงจากหลังม้าอย่างนุ่มนวลดั่งขนนก เขายิ้มแจ่มใสขณะเดินก้าวเขาสู่ประตูบ้าน ทันใดนนั้น มีเสียงดังก้องขัดจังหวะความคิดอันเป็นภัยของเขา ภัยนี้เป็นดั่งการนำพาเขาเข้าใกล้คำคืนแห่งกางแต่งงาน
ทุกผู้รังเกียจคนผู้นี้ ความจริง คนส่วนใหญ่แนะนำว่าให้นำเขาไปโบยจนกว่าผิวหนังอันไร้ยางอายของเขาจะหลุดร่อน จากนั้น บดขยี่ร่างของเขาจนไม่หลงเหลือสิ่งใด
น่าแปลกใจ ที่คนเช่นเขาคิดว่า รักแรกนี้เป็นสิ่งอันตราย ในขณะที่ผู้อื่นนั้นเฝ้าฝันถึงการแต่งงาน ….
” เจ้า ! เด็กน้อย ! ในที่สุดเจ้าก็กลับมา อาวุโสผู้นี้เข้าใจเรื่องหนึ่งได้วันนี้ มาดูเร็วเข้า …. “
เสียงของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความจริง มันเป็นดั่งการที่เขาพยายามโอ้อวดสมบัติแก่ผู้อื่น เขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้ามาหลายวัน และในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบ แรกเริ่มเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หัวใจของนายน้อยจวิน ทำให้เขาเห็นเพียงแต่ภาพหมู่มวน บุปผา แต่กระนั้น ปรากฎชายผมยาวและโบกสะบัดขึ้นตรงหน้าของเขาในทันที ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าของชายผู้นี้ดูดุรายและเยือกเย็น ซึ่งมันทำให้เกิดการแตกต่างกันอย่างยิ่ง ! แตกต่างอย่างหาที่สุดมิได้ !
นายน้อยจวิน ขมวดคิ้ว เขาหงุดหงิดอย่างมาก เมื่อได้เห็นคนผู้นี้เนื่องจากมันทำลายฝันกลางวันของเขา ทำให้เขาเกิดอยากจะเตะ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวให้ล่องลอยไป แม้ว่าเขาจะมีแรงกระตุ้นให้ทำตามความคิดนั้นมากมาย เขาก็ยังคงต้องอดกลั่นเนื่องจากเขายังมิอาจยั่วโมโหชายผู้นี้ ในช่วงเวลานี้ได้
” ข้าไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้ ! ไปเสีย เสียงดังรบกวนข้า ! “
นายน้อยจวิน ถลึงตาและใบหน้าของเขาเริ่มดุร้าย เขาเข้าห้องไป และปิดประตูด้วยเสียง ปุ้ง ยอดปรมาจารย์ ผู้ที่ตามหลับเขามาอย่างใกล้ชิด เกือบจะถูกประตูหนีบจมูก
” เรื่องอะไรกัน ?! เห็นได้ชัดว่าข้าเพิ่งจะเห็นเจ้าเด็กนี่ยิ้มอยู่เมื่อครู่ เขากลับมาด้วยสีหน้ามีความสุขและมึนเมา … แล้วเหตุใดโลกจึงให้เขาทำเช่นนี้กับข้า … ดังเช่นยายผู้ โกรธแค้นเมื่อได้เห็นหลานชายที่นางรังเกียจ ? “
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เก้าหัวด้วยความสับสน เขาสับสนอย่างที่สุด
เริ่มต้นวันดั่งเช่นวันธรรมดาวันหนึ่ง อย่างไรก็ตาม จดหมายเชิญมากมายทำให้มันกลายเป็นวันที่แปลก !
ทั่วทั้ง นครเทียนเชียง ลุกเป็นไฟ โชติช่วง !
ชายทุกผู้ ซึ่งสกุลของพวกเขามีอิทธิพล แม้นเพียงน้อยนิดก็ถกกันในเรื่องนี้
โถงชนชั้นสูงคืออะไรกัน ? นี่มิใช่ความยโสอันน่าประหลาดใจ ?
บัตรเชิญเงินนี้ประดับด้วยดอกพลัมสีทอง ดอกไม้นี้ถูกวาดด้วยสีทองอย่างแม่นยำ แต่ละกลีบนั้นงดงามจัดจ้าน ความจริงแล้ว แม้แต่เกษรก็ยังสามารถเห็นได้ชัดเจน !
หีบห่อของบัตรเชิญยังถือได้ว่าเป็นงานศิลปะที่มีค่า !
ข้างในมันมีสิ่งใด ?
เมื่อเปิดใบปลิวออกมา สิ่งที่เปล่งประกายต่อสายตานั้นมิใช่อื่นใด นอกจากตัวอักษรสองแถวขนาดใหญ่ ที่เป็นสีทอง บรรทัดแรก
ขอแสดงความเสียใจ คนจน และ ผู้เป็นโรคหัวใจ ให้อยู่ห่างเส้นทางนี้
ในขณะที่บรรทัดด้านล่าง
สกุลใดมั่งคั่งน้อยกว่าหนึ่งล้าน ไม่สามารถผ่านประตูนี้ได้ !
ในขณะที่เปิดใบปลิวอีกแผ่น สามารถเห็นตัวอักษรสีทองจำนวนมากมาย
สิ่งที่ควรเอ่ยถึงมิควรเป็นของฟรี !
ความต้องการพื้นฐานของขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคือ ของชั้นดี พวกเขาจักสามัญได้เช่นไร ? พวกเขาสวมใส่ไหมชั้นดี อ่านข้อความสีทอง ฟังบทเพลงอันเป็นอมตะ เพราะรสนิยมที่ดีของพวกเขา ชาที่ดี และ สุราหนึ่งล้านจะไม่สูญเปล่ากับผู้ใด
ใบใบปลิวสุดท้าย มีตัวหนังสีขนาดใหญ่ที่หรูหรา
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดชีวิตจึงกลับกลายเป็นโลกีย์ ?
ผู้คนต่างตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าพวกเขาต้องมีฐานะสูงกว่าหนึ่งล้าน หากต้องการจะเข้าไปยังสถานที่นั้น ! สถานที่นี้เป็นที่ ส่งเสริมคนรวยและดูถูกคนจน … แม้แต่ชื่อของมัน โถงชนชั้นสูง ! ซึ่งเป็นการเลือดปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม บัตรเชิญนี้กลายเป็นเหตุแห่งความอลหม่านในทันที … แม้แต่ในสกุลที่ไม่สง่างามอย่างที่สุด นั่นเป็นเพราะ มีตราประทับสามสกุล !
ตราประทับส่วนตัวของ นายท่านสามสกุลจวิน จวินวูอี้ !
ตราประทับสกุลถัง !
และอีกผู้ที่น่าประหลาดใจและคาดไม่ถึงอย่างแท้จริงคือ ตราประทับส่วนตัวของ องค์รัชทายาทเพียงหนึ่งแห่งอาณาจักรเทียนเชียง !
เมื่อตราประทับทั้งสามรวมกัน มันทรงพลังมากพอจะทำให้ทุกผู้หายใจได้ไม่สะดวกนัก ! ในการปฏิเสธคำเชิญของพกวเขา … เป็นดั่งการสร้างศัตรูที่มิอาจต่อกรได้ … แม้แต่สกุลมูล่ง และสกุลตู่กู้ ก็มิอาจรุกรานพันธมิตรที่น่าเกรงกลัวนี้ได้ !
ชั่วพริบตา สกุลชั้นสูงแห่ง นครเทียนเชียง ได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ !
เพียงแค่หนึ่งวัน เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่มีการพูดคุยกันอย่างแพร่หลาย ในตอนแรก สกุลผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายคิดว่า การกระทำของ โถงชนชั้นสูง นั้นมิต่างอะไรจากเรื่องน่ารำคาญ หลายผู้คิดว่ามันเป็นการยกย่องคนร่ำรวยและละทิ้งคนจนอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งบางคนมิอาจรับได้ อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น ความคิดเห็นของทุกคนกลับตาลปัตรไป
หลายผู้ที่ได้รับคำเชิญนี้ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย พวกเขายังคงมีสีหน้าที่พึงพอใจ แม้นจะไม่เห็นด้วย ในขณะที่ อีกหลายคนไม่พึงพอใจ
เหตุใดข้าจึงไม่ได้รับบัตรเชิญ แม้นว่าสกุลของข้านั้นจะร่ำรวยกว่าหนึ่งล้าน ? เห็นได้ชัดว่าคำเชิญนี้เป็นดั่งการรวบรวม สกุลชั้นสูงที่ร่ำรวยใน นครเทียนเชียง ดังนั้นเหตุใดจึงไม่มีชื่อของข้าอยู่ในนั้น ? อย่าบอกข้านะ ว่าสถานะของข้านั้นต่อกว่าผู้อื่น ? ในความจริงแล้ว พวกเขาดูต่ำต้อยกว่าข้า ? เหตุผลมันควรเป็นเช่นไร ?
ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถประนีประนอมในการถกเถียงเป็นการส่วนตัวได้ และเริ่มวิพากษ์กันอย่างเปิดเผยเนื่องจากพวกเขาต้องเก็บดกดความขุ่นเคืองและอัปยศ … ในทางกลับกัน ผู้ที่เริ่มกังวงเมื่อได้รับบัตรเชิญนี้ก็เริ่มรู้สึกภูมิใจ …
ดูสิ ท่านปู่คือชนชั้นสูง ! ข้าเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ! เจ้าเข้าใจไหม ? จุ๊ จุ๊ องค์รัชทายาท สกุลจวิน และสกุลถังเป็นสามผู้ที่ทรงอำนาจที่สุดใน นครเทียนเชียง พวกเขาตัดสินใจเชิญข้า ! เจ้ายังคลางแคลงใจอีกรึ ? เจ้าคิดว่าข้าร่ำรวยกว่าข้า ? เจ้าคิดว่าเจ้ามีเงิน ? เจ้าได้รับคำเชิญหรือไม่ ?
ฐานะ ! ฐานะ !
การพิสูจน์ฐานะนั้นง่ายดาย คนผู้นั้นได้รับคำเชิญหรือไม่
หากพวกเขามิได้รับคำเชิญ … นั่นก็หมายเพียงแค่หนึ่งในสอง สกุลพวกเขามิได้ร่ำรวยเกินกว่าหนึ่งล้าน หรือพวกเขาเป็นเพียงปุถุชน
บัตรเชิญนี้จึงกลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งชนชั้นสูง เพียงเวลาแค่ไม่นาน ! ผู้คนต่างแต่งตัวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ และห้อยบัตรเชิญเหล่านี้ไว้ที่ปกเสื้อ พวกเขาเดินไปโดนไม่สนใจว่าพวกเขาจะดูเช่นไร อกผาย และหน้าเชิด สิ่งนี้กลายมาเป็น สมัยนิยมของนคร สัญลักษณ์ที่แท้จริงของความงดงามและชนชั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึง สถานะชนชั้นสูง !
และผู้ที่มิได้รับคำเชิญ … ก็มิต้องการจะออกไปเผยตัวอยู่ภายนอก ความจริง พวกเขาทำให้ความคิดว่างเว้นด้วยแผนการนับร้อย คนเหล่านั้นเพ่งมองอย่างยอมรับไปยังผู้ที่พวกเขาไม่ถือว่าเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะหันไปทางอื่น เมื่อคนเช่นนั้นโบบัตรเชิญตรงใบหน้า มิเช่นนั้นพวกเขาจะมิอาจเลี่ยงความปรารถนาและไล่พวกนั้นไปด้วยโทสะ …
ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่จะมิกล้าย่างออกจากบ้าน แต่กระนั้น พวกเขาเริ่มออกไปพบเพื่อนและครอบครัวหลังจากได้รับบัตรเชิญ ความจริง ช่างไร้เหตุผลที่ที่พวกเขาไปเคาะประตูบ้านผู้อื่นนับสิบ คนเช่นนี้เป็นดั่งสุนัขที่เห่าหอนไม่เคยเบื่อหน่าย …
แต่กระนั้น ไม่มีผู้ใดที่ถือได้ว่ามากเกินไป เพราะพวกเขาบางคนไร้เหตุผลกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนั้นเกินกว่าคนเหล่านี้ … มากยิ่ง …
คำเชิญเพียงหนึ่ง เป็นเหตุให้ก่อเกิดปัญหาวุ่นวายทั่ว นครเทียนเชียง ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ผู้ที่สร้างมัน นายน้อยแห่งสกุลจวินยังมิได้คาดถึงผลลัพธ์เช่นนี้ เรื่องราวยิ่งใหญ่ขึ้นจนบางผู้คนรวบรวมความกล้าเพื่อไปหาจวินวูอี้ ความจริง มีบางผู้คนที่เสนอเงินจำนวนมากเพื่อแลกเปลี่ยนกับคำเชิญเพียงหนึ่ง
เมื่อเห็นถึงเรื่องนี้ จวินวูอี้ไม่แน่ชัดว่าสิ่งดีคือการร้องได้หรือหัวเราะ ที่แย่ยิ่งกว่า บางผู้ร้องขอให้เขาช่วย เรื่องนี้เกินจะรับมืออย่าแท้จริง …
มิอาจโต้เถียงได้ว่า โลกนั้นมักจะแบ่งชนชั้นเสมอ อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดที่จะกระทำมันอย่างโจ่งแจ้งเช่น โถงชนชั้นสูง
.ผู้คนต่างมีเพียงหนึ่งชีวิต ผู้ใดเล่ามิต้องการชื่อเสียงเพื่อตัวเอง ?
ตอนนี้ ผู้คนต่างได้รับโอกาสที่จะอยู่เหนือผู้อื่น … พวกเขาจึงต่างไล่ล่าห่านป่านี้อย่างบ้าคลั่ง เช่นเดียวกับ สังคมสมัยนิยม ที่สองหญิงสาวแต่งงานแล้วจะมีแหวนทองคำเช่นเดียวกัน … แต่กระนั้นยังคงมีความแตกต่างกันที่ขนาดของแหวนที่ผู้หนึ่งใหญ่กว่า ดังนั้น ผู้คนสามารถกล่าวโทษสังคมชั้นสูงแห่งนครสำหรับเรื่องวุ่นวายนี้ …
ยิ่งไปกว่านั้น หอชนชั้นสูงเปิดอยู่ตรงข้ามกับ หอมณีวิจิตร จึงทำให้เป็นที่สนใจของเหล่าผู้สูงศักดิ์ในนครอย่างรวดเร็ว !
กิจการนี้ ยังมิได้ประมูลสินค้าแม้แต่สิ่งเดียว แต่ได้กระตุ้นความกังวลและกระหายใคร่รู้ในหัวใจของพวกเขาเสียแล้ว ชัดเจนว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกในนครเทียนเชียง !
แสงแรกทอทอดลงตะวันออก ยามรุ่งสาง
และประตู หอชนชั้นสูง เปิดออกอย่างเงียบเฉียบ
ตรงทางผ่าน สองกลุ่มกองยามเฝ้าประตูพุ่งตัวออกมา และแบ่งแยกเป็นสองแถวเพื่อทักทายผู้คน ทุกผู้ที่ได้เข้าไปต่างประหลาดใจกับ ลานที่เขียวขจี ! ยิ่งไปกว่านั้น หมู่บุปผาภายในต่างส่งกลิ่นหอมที่รุนแรง จนสามารถทำให้พวกเขาเมามายได้ !
ไม่มีผู้ใดสามารถปกป้องหัวใจมิให้ผ่อนคลายได้ และ ใจเย็นลงหลังจากเข้ามาภายในลาน ความจริง แม้นแต่ผู้ที่เจ้ากี้เจ้าการก็มิอาจหักห้ามตัวเองมิให้ตกตะลึงได้ !
หมู่มวลบุปผาภายในหอมหวนแม้นจะอยู่ในช่วงปลายสาทรฤดู ความจริง เหล่าบุปผกาเหล่านี้ต่างชูช่อละม้ายคล้ายดั่งวสันตฤดู ความหลากหลายของดอกไม้ภายในลานขนาดใหญ่นี้ทำให้ทุกผู้ประทับใจ เส้นทางดูเหมือนจะอยู่เพียงภายใต้เงามืดของร่มไม้ตั้งตระหง่าอยู่สองข้างทาง กลิ่นของต้นไม้เพิ่มรสชาติให้กับอากาศ เส้นทางคดเชี้ยวเลี้ยวไปมาขณะที่มันค่อยๆแคบลง ความจริง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเส้นทางนั้นทอดยาวต่อไปเพียงใด จนดูราวกับไม่มีที่สิ้นสุด !
สิ่งนี้ได้แบ่งแยกสถานที่นี้ออกมา และทำให้มันอยู่เหนือกว่าสถานที่อื่นใด !
เหมาะควรจะขนานนามว่า หอชนชั้นสูง อาห์ !
อีกสิ่งที่ทุกคนต่างเอ่ย …
เจ้าจะสามารถหาสถานที่ซึ่งมีหมู่มวลบุปผกามากมายในช่างปลาย สาทรฤดู ซึ่งพวกมันเบ่งบานราวกับ วสันตฤดู ได้ที่ไหนอีก ! ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสัมผัสพวกเขาไม่รู้สึกเลยว่ามันถูกประดิษฐ์ขึ้นมา ! ผู้ทรงอำนาจ และ ทรงเงินตรามากมายเช่นไรกัน จึงสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ?