บทที่ 450 กลับสู่เทนเดอร์กรุ๊ป

รักหวานอมเปรี้ยว

“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” ลาเต้ถอนหายใจ

หลังจากนั้นพวกเขาก็เงียบไป

เพราะการปรากฏตัวของราเม็ง ทำให้พวกเขายังไม่กลับมาเป็นปกติ

เช้าวันต่อมา บัญชีเวยป๋อส่วนตัวของราเม็ง ก็ประกาศว่าลาออกจากวงการ

ทันใดนั้น ไม่ว่าจะเป็นวงการบันเทิงหรือวงการแฟชั่น ราวกับว่ากำลังสั่นคลอน เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ที่ดุเดือด วิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมจู่ๆราเม็งถึงลาออกจากวงการ และแม้แต่งานแถลงข่าวลาออกก็ไม่มี

แม้แต่แฟนคลับของราเม็งก็รับไม่ได้ พวกเขารวมตัวกันไปนั่งอยู่ที่หมู่บ้านของราเม็ง หวังว่าจะนั่งจนกว่าได้ยินกับหูว่าราเม็งลาออกจากวงการจริงๆ และสาเหตุคืออะไร

แต่ว่านั่งอยู่ทั้งวัน ก็ไม่เห็นเงาของราเม็ง มีแฟนคลับที่คลั่งไคล้เขามาก บุกเข้าไปในหมู่บ้าน บุกเข้าไปในบ้านของราเม็ง แต่กลับเห็นว่าบ้านของราเม็งว่างเปล่า

ราเม็งหายตัวไปแล้ว

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที ทำให้ชาวเน็ตคาดเดาว่าราเม็งไปไหน

แต่ไม่ว่าจะเดาอย่างไร พวกเขาก็ไม่รู้ว่าราเม็งไปไหน และทำไมจู่ๆจึงลาออกจากวงการเงียบๆแบบนี้

สรุปก็คือ การลาออกจากวงการและการหายตัวไปของราเม็ง กลายเป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดในวงการบันเทิงและวงการแฟชั่นในปีนี้

มายมิ้นท์นั่งอยู่ข้างเตียงเปปเปอร์ มองดูความวุ่นวายบนอินเทอร์เน็ต เธอก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปาก

เธอรู้ว่าทำไมราเม็งถึงลาออกจากวงการ

เพราะว่าเขาจะกลับเมืองปักษา กลับไปตระกูลอัครเดชโภคิน

นี่คือเรื่องที่ราเม็งคนนั้นบอกเธอเอง

ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยดีนัก แต่เธอก็อยากให้ราเม็งคนนั้นกลับไปตระกูลอัครเดชโภคิน กลับไปช่วยราเม็งจัดการเรื่องของตระกูลอัครเดชโภคินให้เรียบร้อย เมื่อราเม็งคนเดิมกลับมา เขาก็จะได้ไม่ต้องเจอกับคนและเรื่องราวชั่วร้ายแบบนั้นอีก

ใช่ ถึงแม้เธอจะรู้ว่าตัวจริงของราเม็งก็ไม่คนดี แต่เธอกลับไม่อยากให้เขาทำเรื่องอะไรที่เลวร้าย เธออยากให้มือของราเม็งสะอาดบริสุทธิ์

ดังนั้นเรื่องพวกนี้ ก็ให้ราเม็งคนนั้นไปจัดการเถอะ

และอีกเหตุผลหนึ่งที่เธออยากให้ราเม็งคนนี้กลับไป คือเธอไม่รู้ว่าจะเป็นเพื่อนกับราเม็งคนนี้อย่างไร

ขณะที่เธอกำลังคิด โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา

มายมิ้นท์ก้มหน้าลงมอง มันคือสายของชาหวาน

เห็นเบอร์ของชาหวาน เธอก็ถอนหายใจ เธอรู้ว่าชาหวานโทรมาทำไม

“ชาหวาน เธอกำลังจะไปใช่ไหม?” มายมิ้นท์รับโทรศัพท์ ไม่รอให้ชาหวานพูดอะไร เธอก็ถามคำถามของตัวเองทันที

ชาหวานตกใจจนอ้าปากค้าง “ประธานมายมิ้นท์ คุณรู้แล้วเหรอคะ?”

“ฉันเดา” มายมิ้นท์หัวเราะเบาๆ “เธอมาเมืองเดอะซี ก็เพราะว่ามาตามหาราเม็ง ตอนนี้ราเม็งจะกลับเมืองปักษาแล้ว ภารกิจของเธอก็เสร็จสิ้นแล้ว แน่นอนว่าเธอต้องกลับไปกับเขา”

ได้ยินมายมิ้นท์พูดแบบนี้ ชาหวานก็เงียบ “ที่แท้ประธานมายมิ้นท์รู้แล้วว่าราเม็งคือคุณชายน้อย”

“อืม รู้เมื่อไม่กี่วันก่อน” มายมิ้นท์พยักหน้า

ชาหวานไม่กล้าพูด “ใช่แล้วค่ะประธานมายมิ้นท์ ที่ฉันโทรมาหาคุณ ก็เพราะโทรมาลาออกค่ะ ฉันจะกลับเมืองปักษาแล้วค่ะ”

“ตกลง ฉันอนุญาต” มายมิ้นท์เม้มปาก “แต่…”

“แต่อะไรคะ?” ชาหวานถามด้วยความสงสัย

มายมิ้นท์ถอนหายใจ “ฉันมีเรื่องอยากจะให้เธอช่วย เรื่องที่ราเม็งป่วยทางจิต เธอรู้ใช่ไหม?”

“ฉันรู้ค่ะ” ชาหวานพูดเบาๆ

มายมิ้นท์พูด “สองวันก่อน เพราะเรื่องอะไรบางอย่าง กระทบกับจิตใจของราเม็ง ทำให้ด้านมือของเขาเกิดขึ้นมา… ไม่ ไม่ใช่เกิดขึ้นมา ด้านมืดของเขาเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่มันหลับใหลอยู่ตลอด แต่ว่าตอนนี้ด้านมืดนั้นตื่นแล้ว มันกำลังครอบครองร่างของราเม็งอยู่ และไม่เป็นมิตรกับราเม็งที่เป็นเจ้าของร่าง เขาจะหาจิตแพทย์เพื่อกำจัดราเม็งที่เป็นเจ้าของร่าง”

“อะไรนะ?” ได้ยินมายมิ้นท์พูดแบบนี้ ชาหวานก็พูดเสียงดังขึ้น “ประธานมายมิ้นท์ คุณหมายความว่าราเม็งในตอนนี้ ไม่ใช่ราเม็งคนก่อนเหรอคะ?”

“ใช่ เขาคือด้านมืดของราเม็ง ด้านมืดที่ชั่วร้าย เขาอยากจะกำจัดราเม็งที่เป็นเจ้าของร่าง และครอบครองร่างของเขา ดังนั้นฉันอยากให้คุณจะจับตาดูเขาหลังจากกลับไปที่เมืองปักษา อย่าปล่อยให้เขาไปหาจิตแพทย์เพื่อกำจัดราเม็ง ฉันขอร้องล่ะ” มายมิ้นท์กำโทรศัพท์แน่นและขอร้อง

ชาหวานก็ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ เธอพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ฉันรู้แล้วค่ะประธานมายมิ้นท์ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะจับตาดูเขาเองค่ะ”

ถึงแม้ว่าด้านมืดนี้จะเป็นราเม็ง แต่ว่าประธานมายมิ้นท์บอกแล้ว ว่าด้านมืดนี้เป็นคนชั่วร้าย เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและอันตราย

เพราะแบบนี้ เธอจึงต้องทำให้ราเม็งคนก่อนกลับมา

“ขอบคุณนะ” ได้ยินชาหวานตอบตกลง มายมิ้นท์ก็รีบขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง ในที่สุดเธอก็รู้สึกโล่งใจ

หลังจากพวกเธอสองคนก็พูดอะไรกันต่อ แล้ววางสายไป

มายมิ้นท์วางโทรศัพท์ลง แล้วก้มหน้าลงมองไปที่เปปเปอร์ที่นอนอยู่บนเตียง

ผ่านไปสองวันแล้ว เขาก็ยังไม่ฟื้น

มายมิ้นท์ยื่นมือออกไปลูบหน้าผากเปปเปอร์เบาๆ ไม่มีไข้แล้ว แต่ทำไมยังไม่ฟื้น?

“ที่รัก” ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา

มายมิ้นท์ดึงมือออกมาจากหน้าผากของเปปเปอร์ หันหน้ามองไปที่ประตู เห็นลาเต้ยืนอยู่นอกประตู เธอจึงถามว่า “ทำไมเหรอ?”

“คุณจะกลับไปเทนเดอร์กรุ๊ปไม่ใช่เหรอ ได้เวลาแล้ว” ลาเต้วางมือที่ประตูแล้วเตือนเธอ

มายมิ้นท์ตกใจ เธอรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ใช่ ฉันเกือบลืมไปแล้ว”

ตั้งแต่ถูกเจินเจินโจมตี จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะครึ่งเดือนแล้ว เธอยังไม่ได้กลับไปเทนเดอร์กรุ๊ป

ถึงแม้ว่าลาเต้จะไม่ได้รายงานเธอว่าเกิดอะไรขึ้นที่เทนเดอร์กรุ๊ป แต่เธอไม่ได้ไปทำความเข้าใจเอง เธอจึงยังไม่วางใจ

เพราะกลุ่มคนของเตชิต กำลังจับตาดูพวกเขาอยู่เสมอ

ตอนนี้ตาของเธอหายดีแล้ว ถึงเวลาต้องกลับไปควบคุมสถานการณ์โดยรวมของเทนเดอร์กรุ๊ป ข่มขู่เตชิตสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเตชิตคงจะคิดว่าเธอตายไปแล้ว

“ไปกันเถอะ” มายมิ้นท์ห่มผ้าให้เปปเปอร์ จากนั้นก็เดินออกไป

ลาเต้เห็นเธอเดินออกมา เขาก็มองดูคนบนเตียงที่อยู่ไม่ไกลข้างหลังเธอ เขาเบะปากแล้วพูดว่า “คุณจะดูแลเขาจริงๆเหรอ?”

“อืม” มายมิ้นท์พยักหน้าอย่างจริงจัง “เขาช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันต้องรับผิดชอบ ดูแลเขาจนกว่าเขาจะฟื้น มันคือเรื่องที่ฉันควรทำ”

“ผมรู้ แต่ผมกลัว” ลาเต้เดินออกมากับเธอ

มายมิ้นท์หันหน้าไปมอง “คุณกลัวอะไร?”

“ก็กลัวว่าคุณจะตกหลุมรักเขาอีกครั้งนะสิ คุณดูแลเขา ไม่ห่างจากเขา แล้วมันก็จะเริ่มมีความรู้สึก ดังนั้น…”

คำพูดหลังจากนั้น เขาไม่ได้พูดต่อ แต่มายมิ้นท์เข้าใจความหมายของเขา

เขากลัวว่าเธอจะดูแลเปปเปอร์ นานเข้า อยู่กับเปปเปอร์บ่อยๆ เธอก็จะเปิดใจให้เปปเปอร์อีกครั้ง

แต่เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้

มายมิ้นท์หลับตาลง “เอาล่ะ อย่าคิดมาก ฉันจะตกหลุมรักเขาง่ายขนาดนั้นได้ยังไง”

“ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน แต่กลัวเรื่องที่ไม่คาดคิด” ลาเต้แบมือออก

สายตาของมายมิ้นท์เป็นประกาย เธอไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องตัวเอง

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เธอมาภึงที่เทนเดอร์กรุ๊ป

ในไม่ช้า ข่าวที่เธอกลับมาทำงาน ก็แพร่กระจายไปทั่วตึกผ่านข้อความที่แผนกต้อนรับส่งเข้าไปในกลุ่ม

เตชิตที่กำลังดื่มชาอย่างสบายใจ ได้ยินคำพูดของเลขา เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “อะไรนะ? เธอกลับมาแล้ว?”

“ใช่ค่ะประธานเตชิต ประธานมายมิ้นท์กลับมาแล้วจริงๆ ตอนนี้อยู่ที่ห้องทำงานของเธอค่ะ” เลขาพยักหน้า

สีหน้าของเตชิตก็ซีดขาวและแย่ลงทันที “เฮงซวย ทำไมเธอกลับมาตอนนี้ หรือว่าเธอรู้ว่าฉันจะทำอะไร?”

ได้ยินแบบนี้ เลขาก็รีบถาม “ประธานเตชิต แล้วเรื่องนั้น เรายังจะทำต่อรึเปล่าคะ?”