“ยังจะทำต่ออะไรอีกล่ะ?” เตชิตยกมือขึ้นขยี้ผมด้วยความหงุดหงิด แล้วกล่าวอย่างอารมณ์เสียว่า “ประกาศออกไป ทุกอย่างให้หยุดลงก่อน อย่าให้เธอจับได้”
“ครับ” ผู้ช่วยพยักหน้าจากนั้นเดินออกไปอย่างนอบน้อม
เตชิตอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง เขาโมโหจนกวาดสิ่งของบนโต๊ะทิ้งระเนระนาด ใบหน้าแดงเรื่อลงมาถึงคอ
เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะฉวยโอกาสตอนที่มายมิ้นท์ไม่อยู่ในเทนเดอร์กรุ๊ป เขาจะวางแผนจัดการลาเต้สักหน่อย ทำให้ลาเต้กระโดดลงไปในหลุมพรางแล้วสร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่ขึ้นมา
เพียงเท่านี้เขาก็มีข้ออ้างที่จะรายงานต่อมายมิ้นท์ ให้มายมิ้นท์มอบอำนาจในการจัดการม้าให้เขา
เพราะถึงอย่างไรเจ้าลาเต้ก็เป็นเพียงแค่ผู้บริหารในนามของเทนเดอร์กรุ๊ป หรือพูดตามตรงก็คือเป็นกำลังเสริมจากภายนอกของเทนเดอร์กรุ๊ปนั่นเอง
การที่มายมิ้นท์มอบอำนาจในการจัดการบริหารให้แก่บุคคลภายนอก คนในบริษัทโดยส่วนมากก็คงจะไม่พอใจและไม่วางใจนัก
เพียงแค่ลาเต้ทำเรื่องผิดพลาดใดๆ ขึ้น เดิมทีคนในบริษัทที่มีข้อคิดเห็นส่วนตัวกับลาเต้ก็จะพุ่งลูกศรไปที่มายมิ้นท์ทันที
เท่านี้ แค่เขาเอ่ยปากขออำนาจในการบริหารกลับคืนมาสักครึ่งก็คงจะง่ายกว่าเดิมมาก
แต่บัดนี้แผนการที่เขาเพิ่งจะชี้แจงออกไปยังไม่ทันได้ปฏิบัติจริง มายมิ้นท์ก็กลับมาเสียแล้ว
เมื่อมายมิ้นท์กลับมาถึง ลาเต้ก็คงจะต้องจากไป แล้วเขาจะจัดการกับลาเต้ได้อย่างไรเล่า!
สรุปก็คือคงต้องหาโอกาสอื่น ค่อยคิดวิธีกันเอาอำนาจในการจัดการกลับคืนมาภายหลังก็แล้วกัน
อีกด้านหนึ่ง เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานของตน มายมิ้นท์ไม่รู้ว่าเตชิตกำลังคิดทำอะไรอยู่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเดินทางกลับมาของเธอจะขัดขวางแผนการของเตชิต
เธอดึงเก้าอี้สำนักงานออกมานั่งลงแล้ววางกระเป๋าบนโต๊ะ
ฝั่งตรงข้าม เลขาซินดี้นำแฟ้มเอกสารมาถือไว้ในมือแล้วยืนอยู่ข้างๆ “ประธานมายมิ้นท์คะ ยินดีต้อนรับกลับมานะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” มายมิ้นท์เปิดคอมพิวเตอร์แล้วยิ้มตอบ
“อ้อจริงสิคะประธานมายมิ้นท์ เมื่อเช้าฝ่ายการเงินได้แจ้งว่าหัวหน้าแผนกยื่นใบลาออกมาแล้ว” เลขาซินดี้พูดพลางยื่นเอกสารลาออกในมือมาให้แก่มายมิ้นท์
มายมิ้นท์ยื่นมือมารับไปกล่าวว่า “เรื่องที่ชาหวานลาออกนั้นฉันรู้แล้ว เมื่อเช้าหล่อนโทรมาบอกกับฉันเอง ดังนั้นช่วงนี้คงจะต้องรบกวนคุณช่วยไปดูแลจัดการที่แผนกการเงินเป็นการชั่วคราวก่อน”
“เข้าใจแล้วค่ะประธานมายมิ้นท์” เลขาซินดี้ปิดแฟ้มเอกสารลงแล้วตอบรับ
มายมิ้นท์เซ็นชื่อบนหนังสือลาออกของชาหวานแล้วยื่นส่งกลับไปให้ “อีกประเดี๋ยวรบกวนไปที่ฝ่ายบุคคลหน่อยนะคะ ให้พวกเขาดูว่ามีใครเหมาะสมจะขึ้นมาแทนตำแหน่งนี้บ้าง ถ้ามีละก็ให้ฝ่ายบุคคลนำเอกสารมาให้ฉันดูก่อน”
หัวหน้าฝ่ายการเงิน ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก เธอไม่กล้าจะใช้คนใหม่ และไม่กล้าเลื่อนตำแหน่งคนในบริษัทขึ้นมาซี้ซั้ว
เนื่องจากในบริษัทมีคนของเตชิตอยู่มาก เธอไม่อาจรับประกันได้ว่าพนักงานที่เธอเลื่อนขั้นหรือเลือกมานั้นเป็นคนของเตชิตหรือไม่
ดังนั้นหัวหน้าฝ่ายการเงิน ตำแหน่งนี้เธอจึงทำได้เพียงคัดเลือกมาจากภายใน ทางที่ดีควรหาคนที่ไปขุดมาจากอีกฝ่าย หากว่าหาไม่ได้ เธอก็จะฝึกฝนขึ้นมาเอง แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานก็ตาม
สรุปก็คือเธอจะไม่ให้ตำแหน่งอันสำคัญยิ่งนี้ตกอยู่ในมือของเตชิตเด็ดขาด
“ได้ค่ะประธานมายมิ้นท์” เลขาซินดี้พยักหน้าตอบรับ
มายมิ้นท์หยิบเอกสารออกมาฉบับหนึ่งแล้วกางออก พูดขึ้นว่า “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว คุณก็ไปจัดการธุระต่อเถอะค่ะ”
“ค่ะ” เลขาซินดี้หันหลังเดินจากไป
มายมิ้นท์จึงได้เริ่มจัดการกับเอกสารเหล่านั้น
เมื่อถึงตอนบ่าย เธอได้เสร็จงานก่อนเวลาที่คาดหมายเอาไว้ จากนั้นก็ได้ให้คนขับรถไปส่งที่โรงพยาบาลนิวเวอร์
ขณะเดียวกันนี้ ภายในโรงพยาบาลนิวเวอร์ ณ ห้องผู้ป่วยวีไอพี เปปเปอร์ไอออกมาสองสามทีก่อนที่จะลืมตาขึ้นในที่สุด
อาจเป็นเพราะสายตาที่ไม่ได้พบกับแสงแดดมาเป็นเวลานาน เมื่อเขาลืมตาขึ้นจึงถูกแสงสว่างของดวงอาทิตย์ส่องเข้าไปทำให้แสบตา ผ่านไปสักครู่เขาจึงค่อยๆ ปรับตัวได้
ผู้ช่วยเหมันตร์ยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอกห้องผู้ป่วย เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากข้างใน ปฏิกิริยาแรกของเขาคือชะงักลง ก่อนจะรีบทิ้งบุหรี่ในมือที่เหลืออยู่ครึ่งตัวลงสู่พื้นแล้วใช้ขาขยี้จนดับมอด จากนั้นรีบวิ่งเข้าไปในห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
“ประธานเปปเปอร์!” เมื่อเห็นชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้น ผู้ช่วยเหมันตร์ก็ได้ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
เปปเปอร์เอนศีรษะมองดูเขา “เหมันตร์”
“ครับประธานเปปเปอร์ ผมเอง” ผู้ช่วยเหมันตร์เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วพูดออกมาด้วยความดีอกดีใจอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้ว่า “ดีเหลือเกินครับประธานเปปเปอร์ สามคืนสี่วันแล้ว ในที่สุดท่านก็ฟื้นขึ้นมาสักที!”
“สามคืนสี่วันเหรอ?” เปปเปอร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อถึงเรื่องที่ตนสลบไสลไปนานเช่นนี้
เขารู้เพียงแค่ว่านับจากกลางดึกของวันที่อยู่ในหุบเขา ศีรษะของเขาก็เริ่มร้อนขึ้น และดูเหมือนหนักอึ้งเรื่อยๆ จากนั้นก็สลบไป
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขาสลบไปครั้งนั้นจะกินเวลาถึงสามคืนสี่วัน!
เขาอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เปปเปอร์เม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น เขารู้สึกไม่พอใจกับสภาพร่างกายของตนเองเอาเสียเลย
มือทั้งสองข้างของเขาจับไปที่เตียงพยายามจะลุกขึ้น
เมื่อผู้ช่วยเหมันตร์เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปห้ามว่า “ประธานเปปเปอร์อย่าเพิ่งขยับเขยื้อนครับ บาดแผลด้านหลังอาจจะฉีกเอาได้ อีกอย่างอวัยวะภายในยังไม่ฟื้นฟูดี จะต้องนอนพักผ่อนนิ่งๆ”
“อวัยวะภายในเหรอ?” สีหน้าของเปปเปอร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย “อวัยวะภายในของผมเป็นอะไร?”
“เรื่องนี้ให้ผมอธิบายเองดีกว่า เพราะถึงยังไงในฐานะแพทย์ ผมน่าจะอธิบายได้ดีกว่า” ทันใดนั้นเองเสียงของการันต์ก็ดังขึ้นที่ตรงประตู
เปปเปอร์และผู้ช่วยเหมันตร์หันไปมองพร้อมกัน
การันต์ยืนพิงไปที่ขอบประตู ในมือของเขาถือมีดผ่าตัดเล่มหนึ่งเอาไว้ ไม่รู้ว่าเขามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเงียบเสียจนไม่ได้ยินเสียงใดเลย
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนส่งสายตามาจับจ้องตน การันต์จึงได้เอื้อมมือไปขยับกรอบแว่นตา เขาไม่ได้สนใจกับภาพลักษณ์ของตนเท่าไรนัก ก่อนจะเก็บมีดผ่าตัดลงแล้วเดินตรงเข้าไปข้างใน สายตามองไปยังบริเวณหน้าอกของเปปเปอร์แล้วพูดว่า “ร่างกายของคุณได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก อันดับแรกเราจะยังไม่กล่าวถึงบาดแผลที่หลัง ปอดของคุณมีอาการฉีกขาดเล็กน้อย แน่นอนว่าหัวใจของคุณค่อนข้างที่จะอาการหนัก”
“หัวใจ?” เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของเปปเปอร์ก็หรี่ลง เขายกมือขึ้นไปกุมบริเวณหน้าอกของตนเอง “หัวใจผมเป็นอะไรไป?”
“หัวใจของคุณ……”
ขณะที่การันต์กำลังจะตอบคำถามของเขา ผู้ช่วยเหมันตร์ก็กำหมัดแน่นและรีบพูดขึ้นขัดจังหวะว่า “คุณหมอการันต์ครับ อย่าบอก”
“ทำไมถึงบอกไม่ได้?” สีหน้าของเปปเปอร์ดูเคร่งขรึมลงทันใด แล้วมองไปที่ผู้ช่วยเหมันตร์อย่างไม่พอใจนัก
ผู้ช่วยเหมันตร์หลบสายตาของเขา พูดว่า “ขอโทษนะครับประธานเปปเปอร์ แต่เรื่องนี้ทางที่ดีคุณอย่าได้รู้เลย ผมเกรงว่าคุณจะไม่อาจรับได้……”
“รับไม่ได้งั้นเหรอ?” เปปเปอร์หรี่ตาลงมอง น้ำเสียงของเขาเย็นชา “คุณคิดว่าผมเป็นอย่างไร? ผมเป็นคนที่อ่อนแอเหรอ? ผมไม่อาจ ทำใจรับแรงกดดันได้เหรอ? อีกอย่าง นี่คือหัวใจของผม ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะรับรู้หรือยังไง?”
“ประธานเปปเปอร์ครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมเพียงแต่ว่า……”
“พอได้แล้ว หุบปาก!” เปปเปอร์ตะโกนตำหนิเขา ก่อนจะหันไปทางการันต์แล้วถามว่า “บอกมาสิครับว่าหัวใจผมเป็นไรกันแน่?”
“ในเมื่อคุณบอกให้ผมพูด ถ้าอย่างนั้นผมก็จะพูดแล้วกัน” การันต์ยักไหล่จากนั้นทำสีหน้าเคร่งขรึม “หัวใจของคุณเคยได้รับการผ่าตัดมาก่อน เดิมทีก็ค่อนข้างอ่อนแอกว่าคนทั่วไป และการกระทบกระเทือนในครั้งนี้ ทำให้หัวใจของคุณเกิดอาการฉีกขาดเล็กน้อย ดังนั้นจึงทำให้หัวใจดวงนี้มีอายุขัยที่สั้นลงอย่างมาก”
เมื่อพูดจบเขาก็หันไปมองทางเปปเปอร์
ที่น่าประหลาดใจก็คือ เปปเปอร์ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ ออกมาเลย วินาทีที่เขารู้ว่าหัวใจของตนจะมีอายุการใช้งานที่สั้นลง แต่ก็ไม่ได้แม้แต่จะตกใจสักเล็กน้อย
ทำให้แม้แต่การันต์เองก็รู้สึกประหลาดใจ
เขานิ่งเกินไปหรือเปล่า?
ดูเงียบสงบเสียจนผิดปกติ
ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะว่าเปปเปอร์ไม่มีปฏิกิริยาใดออกมา แต่เป็นเพราะว่าเขาเดาออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงได้ทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
เมื่อสักครู่ที่การันต์พูดถึงหัวใจของเขาแล้วถูกเหมันตร์ห้ามเอาไว้ เขาก็พอจะเดาได้ว่าหัวใจของตนนั้นคงจะเกิดปัญหาที่ใหญ่พอควร
และเนื่องด้วยเหตุนี้เอง เมื่อได้ยินสิ่งที่หมอการันต์พูดเมื่อสักครู่เขาจึงไม่ได้มีปฏิกิริยาใดนัก
ในทางกลับกัน เขารู้สึกวางใจที่การคาดเดาเป็นจริง
“ประธานเปปเปอร์ครับ……” เมื่อเห็นว่าแววตาของเปปเปอร์นิ่งเงียบอย่างไม่อาจคาดเดาได้ ผู้ช่วยเหมันตร์คิดว่าข่าวเมื่อครู่ทำร้ายจิตใจเขาเสียจนทำอะไรไม่ถูก จึงได้รีบเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
เปปเปอร์กะพริบตาเล็กน้อย “ผมไม่เป็นอะไร หัวใจดวงนี้ยังมีอายุการใช้งานได้อีกประมาณเท่าไหร่?”
เขาใช้มือกุมไปที่หน้าอกของตนเองแล้วเอ่ยถามการันต์