ตอนที่ 833 โดนชักจูง

Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย

เหอซางฟานฮงเหวียนและคนอื่นๆได้แต่มองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่รู้จักโมเซอ และไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญอย่างไร ทุกคนจึงมีสายตาแปลกส่งไปให้เสี่ยวเย่กัน
  ”นี้คือจุดนัดพบแต่ถ้าจะทำการติดต่อ จะต้องไม่มีคนอยู่ในบริเวณนี้ จากนั้นก็เอ่ยรหัสลับเพื่อส่งสัญญาณติดต่อและรอเวลาให้พวกเขาตรวจสอบบริเวณโดยรอบจนแน่ใจว่าไม่มีคนอื่น พวกเขาถึงจะปรากฏตัวขึ้น ซาวชุนฮุยเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก” เสี่ยวเย่ไม่ได้สังเกตสีหน้าของทุกคนเลยเพราะกำลังตกอยู่ในความกลัว เขารีบบอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้ออกมาจนหมดเพราะความตื่นตระหนกโดยที่ไม่รู้ว่าหัวตัวเองจะหลุดจากบ่าตอนไหน แถมตอนนี้มันเริ่มมีเลือดไหลซึมแล้วเพราะดาบบาดเข้าที่ผิวหนัง
  ”แสดงว่าคนที่ชื่อโมเซอรู้วิธีติดต่อกับซาวชุนฮุย?”เสี่ยวเคินจับใจความประเด็นสำคัญ
  ”ใช่”เสี่ยวเย่พยักหน้าตอบรับ และต่อมาก็เอ่ยถามอย่างกังวล “นายช่วยเอาดาบออกไปก่อนได้มั้ย? ปล่อยฉันเถอะ ฉันไม่อยากตาย”
  โชคร้ายที่คำขอร้องของเสี่ยวเย่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับทีมกุ้งเสือดำที่ทั้งหมดเป็นทีมสังหารฝีมือดีได้รับการฝึกมาจากชูฮันโดยตรง และเสี่ยวเคินก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดทันทีหลังจากเสี่ยวเย่เอ่ยขอร้องจบ “ฆ่า!”
  ”พัฟ!”
  แม้แต่จะให้เวลาเสี่ยวเย่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองสักนิดก็ยังไม่มีหวังหลิงชักดาบออกมาและตวัดเข้าตัดคอของเสี่ยวเย่ตามคำสั่งทันที
  เลือดสีแดงสดพุ่งออกมานองพื้นและซึมลงดิน
  ”จัดการร่างของเขาและรีบเร่งความเร็วมุ่งหน้ากลับค่ายเขี้ยวหมาป่า!”เสี่ยวเคินออกคำสั่งใหม่ ในตอนนี้พวกเขาไม่สามาถรถติดต่อกับชูฮันได้ เพราะออกมาปฏิบัติภารกิจ แต่เพราะใจความของข้อมูลที่ได้มามีความสำคัญ เพราะงั้นเขาจึงต้องรีบเร่งความเร็วในการเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปแจ้งข่าวให้กับหน่วยข่าวกรองใต้ดินให้เร็วที่สุด
  ——–
  เวลาหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปค่ายหนานตู้ได้รับความเสียหายอย่างมหาศาลจากสงครามที่ซอมบี้ล้อมค่ายเอาไว้ ซอมบี้มหาศาลที่ไหลทะลักบุกโจมตีเข้ามาไม่หยุดต่อเนื่องเป็นอาทิตย์ ถ้าไม่ใช่เพราะรูปแบบการรบที่ชูฮันวางไว้ให้ก่อนจะจากไปละก็ คาดว่าตอนนี้ค่ายหนานตู้คงกลายเป็นค่ายร้างไปแล้ว
  ในเวลาเดียวกันค่ายทั้งหลายก็ได้รับข่าวและรีบส่งความช่วยเหลือมาอย่างรวดเร็วที่สุด ท่ามกลางหนึ่งในนั้น ค่ายซางจิงเป็นค่ายที่ตกใจกับข่าวมากที่สุด หากพวกเขาก็ส่งความช่วยเหลือมามากที่สุดเช่นกัน เฮลิคอปเตอร์หลายลำบินต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน มีทั้งปืน ระเบิด กระสุนจำนวนมาก
  ค่ายที่เหลือเองก็ทำตามซางจิงแม้แต่ค่ายๆเล็กๆก็ยังส่งความช่วยเหลือมาทางเฮลิคอปเตอร์เช่นกัน ตัวค่ายตวนได้ส่งทหารมนุษย์สายพันธุ์ใหม่หลายร้อยคนมาในครั้งเดียว ซึ่งมันได้เปลี่ยนสถานการณ์ของประตูค่ายที่กำลังจะถล่มไปทันที แสดงให้เห็นถึงความเร็วของการพัฒนาของค่ายตวนที่ทำอย่างเงียบๆด้วยตัวเอง
  พูดได้เลยว่าพวกเขาไม่มีใครเคยเจอกระแสซอมบี้ที่มีปริมาณมากถึงขนาดนี้มาก่อนหากสภาพของค่ายหนานตู้เป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า มันเป็นสงครามครั้งที่ใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นตั้งแต่เกิดการปะทุ
  มีเพียงแค่ค่ายเดียวจากทั้งหมด…ค่ายจินหยางที่ได้มีเรื่องขัดแย้งกับค่ายหนานตู้อยู่แล้วตัดสินใจเลือกที่จะไม่ส่งความช่วยเหลือมาให้ ผู้นำค่ายจินหยาง…จงคุย ถึงกับสบถและสาาปแช่งค่ายหนานตู้อีก ความตื่นตระหนกเกิดขึ้นไปทั่วเมื่อชาวบ้านค่ายจินหยางได้รับข่าวว่าค่ายหนานตู้อาจจะหายไปอีกไม่นาน
  ไม่ใช่แค่ข่าวนี้ที่สร้างความแตกตื่นไปทั่วท้องถนนในค่ายจินหยางแต่มันมีอีกข่าวที่กระจายตัวไปเงียบๆตามท้องถนน
  มันคือข่าวการกระทำที่ไร้ยางอายของสองพ่อลูกจงไคและจงคุยที่เกิดขึ้นในค่ายหนานตู้!
  ทันทีที่ข่าวออกมามันก็แทบทำให้ทั้งสองพ่อลูกแทบจะกระอักเลือด โดยเฉพาะจงไคในสภาวะที่กลายเป็นคนพิการ สภาพจิตใจของเขาถูกทำลายลงอย่างย่อยยับหนักเข้าไปอีก
  ”การกระทำแบบนี้คืออะไร?พ่อคิดจะหาลูกชายคนอื่นมาแทนที่ผมเหรอไง?” นี่คือคำถามที่จงไคถามแทบทุกวัน เขาไม่สามารถยอมรับชีวิตหลังจากตื่นขึ้นมาได้ และพ่อของเขาไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะแก้แค้นให้ แต่ยังเพิกเฉยต่อจงไคอีก  แม้แต่คนทั้งค่ายจินหยางก็ยังหัวเราะเยาะเขากันหมด!
  นายทหารคนหนึ่งที่ต้องตกเป็นที่รองรับอารมณ์ของจงไคกำลังเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกลัว
  ”ปัง!” ไอลีนโนเวล
  จงไคยิ่งหงุดหงิดรำคาญมากขึ้นกว่าเดิมเขาเขวี้ยงกาน้ำชาลงพื้นและตะคอกเสียงดัง “กลิ้งซะ!”
  และในจังหวะนั้นเองก็มีนายทหารอีกนายลอดหน้าเข้ามาในห้อง ก้มตัวโค้งและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรงกลัว “ท่านครับ”
  ”พูดมาแกเห็นตาแก่นั้นพยายามหาโอกาสเอาคนอื่นมาแทนที่ฉันมั้ย?!” นี้คือฟางเส้นสุดท้ายของจงไค เดิมทีค่ายจินหยางต้องตกเป็นของเขาในที่สุด แต่ตอนนี้เป็นเพราะสภาพของเขาในตอนนี้ พ่อของเขาจึงเริ่มมองหาหนทางที่จะสืบสายเลือดของตระกูลคนใหม่  ”ครับท่านพลโท” นายทหารตอบด้วยความประหลาดใจ “ท่านผู้นำกำลังอยู่กับสาวงามในห้องนอนครับ”
  เมื่อได้ยินอย่างนั้นคนรอบตัวจงไคก็หวาดกลัวจนหน้าซีดกันหมด จงไคเองก็เดือดจัดและมองไปที่ทหารผ่านศึกคนหนึ่ง
  ”ชื่ออะไร?”จงไคเอ่ยถาม
  ”ผมชื่อเจียงเหว่ย”นายทหารก้มหน้าเอ่ยตอบ
  ”กล้าดียังไงมาขัดฉัน!”จงไคตะโกนดังลั่น ไม่สนใจเหตุผลที่อีกฝ่ายรีบเข้ามาในเวลานี้ เขาแค่โวยวายปลดปล่อยอารมณ์เพราะความสิ้นหวัง “มึงกล้า มึงกล้าลองดี อยากตายใช่มั้ย?!”
  คนที่เหลือในบ้านพักตัวสั่นด้วยความกลัวจนแทบจะเป็นลมกันหมด
  เหนือความคาดหมายจู่ๆเจียงเหว่ยก็เงยหน้าขึ้นมา มีแสงวาววับในนัยน์ตาทั้งสองข้าง “ถึงแม้มันอาจจะสร้างความไม่พอใจให้ท่านพลโท แต่ผมต้องทำแบบนี้เพื่อตัวท่านเองครับ!”
  ”อย่า!”ทหารคนอื่นๆในบ้านพักรีบเอ่ยห้าม เพราะสถานการณ์ดูเหมือนจะรุนแรงเกินควบคุมได้แล้ว
  และเจียงเหว่ยก็ตัดสินพูดกับจงไคที่มีสีหน้าแปลกใจอยู่”ท่านพลโทจงไค ที่จริงแล้วเรื่องที่เรากำลังจะพูดกันนั้นไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นสมควรรับรู้ แล้วถ้าเกิดมีใครเอาไปบอกท่านจงคุยละครับ?”
  จงไคที่ยืนนิ่งในใจมีความกังวลและสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ธรรมดา นัยน์ตาเขาแดงก่ำ จ้องไปที่เจียงเหว่ยเขม็ง “จะพูดอะไร?”
  เจียงเหว่ยยกยิ้มมุมปากพยายามพูดน้ำเสียงนุ่มหากกลับแฝงไปด้วยความเย็นชา “ฆ่าทิ้งซะ เปลี่ยนคนสนิท”
  ”ฆ่า!ฆ่า!” จงไคที่กำลังคลั่งอยู่แล้วแทบจะกลายเป็นคนบ้าเข้าไปทุกขณะ ตาโปดปูน จิตสังหารพวยพุ่ง  เจียงเหว่ยยิ้มจากนั้นก็ตามมาด้วย—–
  ”พัฟ!พัฟ!”
  เสียงเลือดกระเซ็นดังไปทั่วบ้านพักกลิ่นเลือดคาวคลุ้งไปทุกที่ หลังจากพักหนึ่งมันก็เหลือเพียงแค่สองคนในบ้านพัก…จงไคและเจียงเหว่ย ขณะที่พื้นบ้านมีร่างศพและเลือดนองเต็มไปหมด
  ”ท่านพลโทเชิญย้ายไปที่บ้านอื่นระหว่างรอผมทำความสะอาดครับ”เจียงเหว่ยที่ฆ่าทุกคนเรียบร้อยเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเคารพต่อจงไค
  จงไคพอใจมากกับท่าทางและการกระทำของเจียงเหว่ยหากไม่เห็นด้วยที่จะออกไปจากบ้านที่เขาอาศัยอยู่มาตลอดตั้งแต่กลับมาจากค่ายหนานตู้และตอนนี้จงไคก็ยิ่งเกิดความเชื่อใจต่อเจียงเหว่ยมากขึ้นไปอีก
  มันก็แค่เขาคิดว่าคนที่ชื่อเจียงเหว่ยน่าจะไม่ได้อยู่ในทีมลูกน้องของเขามาก่อน