บทที่ 577 รับศิษย์สาวสวยสามคน

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

บทที่ 577 รับศิษย์สาวสวยสามคน

 

“อืม… ในเมื่อพวกเราเป็นเพียงคนสามคนที่ได้ผ่านการทดสอบทั้งสาม นั่นย่อมทําให้พวกเราเป็นศิษย์ของท่านโดยทันทีใช่หรือไม่” ไป่ลี่ฮัวถามเขาในเวลาต่อมา

 

ซูหยางพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว นอกจากว่าเจ้ามิต้องการที่จะเป็นศิษย์ของข้า”

 

“นั่นมิได้หมายความว่าข้ามต้องการที่จะเป็นศิษย์ของท่านผู้อาวุโส แต่ข้าเองนั้นเป็นเจ้าสํานักของสํานักระดับสูง ข้ามสามารถที่จะผลักภาระของข้าในฐานะของเจ้าสํานักทิ้งไปเพียงเพื่อจะเรียนการปรุงยา และด้วยความจริงใจอย่างถึงที่สุด ข้ามิคาดคิดว่าจะสามารถอยู่ได้จนถึงที่สุด อย่าว่าแต่จะกลายเป็นศิษย์ของท่านผู้อาวุโส ข้านั้นเองก็ยังมิรู้อะไรเกี่ยวกับการปรุงยาเลย”

 

“เจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับการผลักภาระความรับผิดชอบ เพราะว่าข้ามิได้แย่งเวลาของเจ้ามามากนัก ถ้าเจ้ายินดีที่จะเป็นศิษย์ของข้า ข้าก็จักให้วิชาบางอย่างแก่เจ้าไปศึกษาตามลําพัง และ ถ้าเจ้ายังคงต้องการคําแนะนํา ข้าก็จักไปที่นั่นเพื่อเจ้า” ซูหยางกล่าวกับเธอ

 

“ส่วนสําหรับการมิรู้อะไรเกี่ยวกับการปรุงยานั้น… นั่นก็มิเป็นเช่นเดียวกับทุกคนเมื่อตอนพวกเขาพยายามที่จะเดินไปในเส้นทางใหม่ๆหรอก”

 

“อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้านั้นเอาจริงในการพยายามที่จะเป็นนักปรุงยาที่ดีที่สุดในโลกนี้ เช่นนั้น ข้าก็จักฝึกฝนเจ้าให้จริงจังมากยิ่งขึ้น และนั่นก็จักใช้เวลาของเจ้ามากยิ่งขึ้น”

 

“ตอนนี้ เจ้ายังคงยินดีที่จะยอมรับข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าอยู่หรือไม่” ซูหยางถามหญิงสาวทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา

 

“ไค่เอียนคารวะท่านอาจารย์” ลูกสาวของตระกูลไค่เป็นคนแรกที่ยอมรับเขาเป็นอาจารย์ คุกเข่าคํานับโดยไม่ลังเล

หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ไป่ลี่ฮัวก็คุกเข่าลงตรงหน้าเขาเช่นกัน “ไปลี่ฮัวคารวะท่านอาจารย์”

 

ถ้าเธอกลายเป็นศิษย์ของใครสักคนที่ทรงอํานาจเฉกเช่นเขา สํานักหงส์สวรรค์ก็ย่อมต้องได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าจะไม่รู้อะไรในด้านการปรุงยาเลยก็ตามเธอก็มักจะกระตือรือล้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเธอมีพรสวรรค์ในด้านนั้น

 

คนเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้ตัดสินใจในตอนนี้ก็คือโหลวอี้เซียว ผู้ซึ่งจ้องมองไปยังผู้อาวุโสเจิ้งอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับว่าเธอกําลังขอคํายืนยัน

 

“เจ้ากําลังทําอะไรอยู่ เจ้าเด็กโง่ รีบเข้าไปทักทายอาจารย์ใหม่ของเจ้า ถ้าข้าอยู่ในตําแหน่งของเจ้าแล้ว ข้าก็จักมิลังเลเลย” ผู้อาวุโสเจิ้งรีบกล่าวกับเธอ “แม้ว่าความสามารถของข้ามิอาจจะเทียบได้กับท่านผู้อาวุโสนักปรุงยา เจ้าก็จักยังคงเป็นศิษย์ของข้าในใจเสมอ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดของเขา โหลวอี้เซียวจึงพยักหน้าก่อนที่จะคุกเข่าคํานับต่อซูหยาง

 

“โหลวอี้เซียวคารวะท่านอาจารย์คนใหม่”

 

“ข้าได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เจ้ามิจําเป็นต้องทอดทิ้งอาจารย์คนเดิมของเจ้าเพียงเพื่อที่จะมาเป็นศิษย์ของข้า มิว่าอย่างไรก็ตาม ข้าก็จักเป็นอาจารย์ของเจ้าไปอย่างมากก็เพียงสองปี ก่อนที่ข้าจักจากที่แห่งนี้ไป” ซูหยางกล่าวกับเธอ

 

“เอ๋ ท่านจักกลับคืนไปยังทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางภายในสองปีอย่างนั้น ท่านผู้อาวุโส” ผู้อาวุโสเจิ้งถามเขา

 

“ข้าคิดว่าเป็นอะไรประมาณนั้น” เขาพยักหน้าและกล่าวต่อไปอีกว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าจักสอนพวกเจ้าทุกอย่างเท่าที่ข้าสามารถภายในสองปีข้างหน้า และหลังจากนั้น พวกเจ้าจักต้องเริ่มศึกษาด้วยตัวของพวกเจ้าเอง”

 

“ข้าจักเริ่มการสอนของข้าครั้งแรกในเดือนหน้า พวกเจ้าสามารถทําสิ่งต่างๆตามที่เจ้าต้องการ ได้จนกว่าจะถึงวันนั้น ครั้นเมื่อเวลาสําหรับการอบรมมาถึง ข้าก็จักไปหาเจ้าเอง”

 

“อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเจ้าจะไป รับวิชาเหล่านี้ไปศึกษาจนกว่าจะถึงวันที่พวกเราอบรม” จากนั้นซูหยางก็ยืนส่งวิชาเกี่ยวกับการปรุงยาให้พวกเธอคนละสองเล่ม

 

“ขอบคุณ ท่านอาจารย์”

 

จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองไปลี่ฮัวแล้วกล่าวว่า “เพื่อที่พวกเราจะได้สนทนากันเป็นส่วนตัว ข้าจักไปหาเจ้าที่สํานักหงส์สวรรค์ในอีกสองสามวันข้างหน้า”

 

“ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์ ข้าจักตระเตรียมเพื่อการมาของท่าน” ไปลี่ฮัวพยักหน้า

 

ในเวลาหลังจากนั้น ซูหยางก็ปลดปล่อยพวกเธอทั้งสามไป

 

“แค่นี้รึ” หวังซูเหรินถามเขาหลังจากนั้น “ใช่ พวกเราได้เสร็จสิ้นแล้วในตอนนี้ เจ้าคาดหวังอะไรอยู่รึ” เขากล่าวขึ้น “ข้าคิดว่าท่านจะสอนพวกเธอบางสิ่งบางอย่างก่อนที่จะปล่อยพวกเธอจากไป”

 

“การสอนปรุงยานั้นมิได้คล้ายกับการสอนฝึกวิชา พวกเธอจําเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานอย่างเต็มที่ก่อนที่พวกเราจะสามารถเริ่มต้นได้ และนั่นจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นหากว่าจะสอนพวกเธอแบบนี้”

 

“มิว่าอย่างไรก็ตาม ข้าจักกลับคืนไปยังนิกายกุสุมาลย์พนพิสัยแล้วในตอนนี้ เจ้าจักทําอะไรต่อไปรึ หลิงซี” เขาถามเธอ

 

“อืม… ต้องขอบคุณที่มีคนขโมยศิษย์ของข้าไป ตารางงานของข้าได้ว่างลงโดยมิคาดคิด ดังนั้น ข้าคิดว่าข้าจักมีเวลาไปสนุกที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เธอตอบหลังจากนั้น

 

“อะไรนะ มีคนขโมยศิษย์ของเจ้าฯ” ซูหยางมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง

 

เขาตื่นตระหนกกับความจริงที่ว่าเธอได้รับศิษย์ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

 

“เอ่อ ข้าเป็นหนี้บุญคุญต่อเจ้าสํานักเมฆม่วงสองสามอย่าง และเขาต้องการให้ข้าช่วยสอนเด็กเหลือขอบางคนจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่เป็นการตอบแทน อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้มาถึงที่สํานัก เธอก็เข้าร่วมสํานักอื่นไปเสียก่อน เจ้าคิดว่าอย่างไรที่รัก สถานการณ์นี้ฟังดูคุ้นเคยกับเจ้า บ้างไหม”

 

“เอ้อ นี่เป็นเรื่องที่มิคาดคิดจริงๆ” ซูหยางหัวเราะออกมาดังๆหลังจากที่รู้เรื่องราว

 

“อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นความยินดีอย่างยิ่งหากว่าเจ้าไปพํานักที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เขา กล่าวต่อหลังจากนั้นไม่นาน

 

ถังหลิงชีพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจักตรงไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่ข้ากลับคืนไปยังสํานักเมฆม่วงเพื่อบอกให้พวกเขารู้ว่าข้าจะไปไหนแล้ว”

 

หลังจากที่พูดเช่นนั้นแล้ว ถังหลิงซีก็ออกจากหอประชุมไป

 

“เอ้อ ข้าก็จักกลับคืนไปยังนิกายดอกบัวเพลิงและฝึกฝนตัวข้าเองต่อไป ข้ามิอาจปล่อยให้พวกศิษย์ใหม่เหล่านี้แซงหน้าข้าได้ มิเช่นนั้นก็ตายไปซะดีกว่า” หวังซูเหรินกล่าวกับเขา

 

“รับนี้ไปกับเจ้า” ซูหยางพลันโยนขวดเล็กๆบรรจุไปด้วยเม็ดยาหลายเม็ดให้กับเธอ

 

“พวกนี้คืออะไรกัน” เธอถาม

 

“กินหนึ่งเม็ดก่อนที่เจ้าเริ่มปรุงยา มันจักช่วยให้เจ้ารวบรวมสมาธิ ส่วนสําหรับเม็ดยานั้น ข้าจักปล่อยให้เจ้าวิเคราะห์มันออกมาด้วยตัวเอง”

 

“โอ นี่เป็นการท้าทายสําหรับข้าใช่ไหม” หวังซูเหรินพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“นั่นมิใช่เจตนาของข้า แต่ในเมื่อเจ้ากล่าวถึงแล้ว ถ้าเจ้ามิสามารถที่จะแยกแยะส่วนผสมมันออกมาได้ในครั้งหน้าที่ข้าไปเยี่ยมเจ้า ข้าก็จักทําให้มั่นใจว่าเจ้าจักมิสามารถขยับตัวได้ทั้งวัน”

 

“ข-ข้ามิแพ้หรอกในครั้งนี้” หวังเหรินกล่าวด้วยเสียงหวาดหวั่นก่อนที่จะรีบรุดจากไป ในเมื่อเธอไม่สามารถที่จะอยู่ที่นั่นต่อไปได้อีกแม้สักวินาทีเดียว

 

ซูหยางก็กลับคืนไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากนั้นไม่นาน