จ่านมู่ฮวาถามเธอด้วยรอยยิ้ม“คุณอยากได้จริงๆ น่ะเหรอ?”
“คุณคงไม่ได้แค่ขี้โม้หรอกใช่ไหม” หลินเสวียนหลานถามอย่างนิ่งเฉย
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น แม้ว่าจะยุ่งยากสักหน่อย แต่ผมก็หามาให้ได้ ถ้าหากว่าผมหาสี่อัญมณีขนาดใหญ่ในราชสำนักของจักรวรรดิมองโกลมาได้ คุณต้องรับปากว่าจะแต่งงานกับผมนะ!” จ่านมู่ฮวาพูดอย่างไม่อายปาก
“เหลวไหล!” ซีเหมินจินเหลียนด่าออกไออย่างไร้อารมณ์
“ถ้าคุณไม่ยอมแต่งงานกับผม แล้วทำไมผมจะต้องยอมเสี่ยงอันตรายไปหาอัญมณีนั่นมาให้คุณด้วยล่ะ?” จ่านมู่ฮวายิ้มพูดยืนกราน
“ทำไม่ได้ก็ยอมรับออกมาตรงๆ เถอะค่ะ” ครั้งนี้แม้แต่ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะประเมินค่าเขาต่ำลง
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เสี่ยวป๋ายของคุณไปจัดการสิ” จ่านมู่ฮวายิ้ม “คุณอาจจะยังไม่รู้ เขาก็เป็นขโมยที่ฝีมือโดดเด่นเชียวนะ”
หลินเสวียนหลานกำลังแกะก้างปลาแมกเคอเรลออกอย่างระมัดระวัง ปลาแมกเคอเรลนี้แม้ว่ารสชาติจะสดอร่อย เนื้อสัมผัสนุ่มละเอียด แต่ก้างก็มีเยอะมาก เขาแกะก้างปลาออกอย่างพิถีพิถันแล้ววางลงในจานของซีเหมินจินเหลียน ก่อนจะพูดว่า “มีแค่ตัวเองที่เป็นขโมย ถึงจะเห็นคนอื่นเป็นขโมยเท่านั้นล่ะ”
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยถูกชะตากับจ่านป๋าย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้มถึงได้มาอยู่บ้านเดียวกันกับซีเหมินจินเหลียน แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขากับจ่านป๋ายก็เดินบนเส้นทางเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่จะช่วยเหลือคนในด้วยกัน
จ่านมู่ฮวาทำเพียงแค่ยิ้มแล้วไม่พูดถึงเรื่องก่อนหน้าอีก ซีเหมินจินเหลียนเองก็ขี้เกียจจะสนใจเขา แม้ว่าจะเป็นห่วงจ่านป๋าย แต่ก็เหมือนที่จ่านมู่ฮวาพูด เธอจะกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงจะรีบกลับไปตอนนี้ก็แค่สร้างปัญหาให้จ่านป๋ายเพิ่มเท่านั้น สู้ปล่อยเขาไปจัดการเรื่องนี้เองจะดีกว่า
มือถือดังขึ้นมาอย่างไม่รู้เวลา ซีเหมินจินเหลียนหยิบมือถือขึ้นมามอง คิดไม่ถึงว่าเป็นจ่านป๋าย ในใจก็ตื่นอกดีใจรีบกดรับ “จินเหลียน”
“อืม ฉันเองค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “คุณเป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นอะไรครับ คุณให้จ่านมู่ฮวามาคุยหน่อยสิ” จ่านป๋ายพูด
“อ้อ…โอเค” แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะไม่เข้าใจว่าทำไมจ่านป๋ายอยากจะให้จ่านมู่ฮวามารับโทรศัพท์ แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความรีบส่งมือถือไปให้เขา
จ่านมู่ฮวาไม่เข้าใจ แต่ก็ยังรับมือถือมา “จ่านมู่ฮวา นายออกไปคุยข้างนอก ฉันคิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาว!”
“คุยเรื่องอะไร?” จ่านมู่ฮวาถามอย่างเกียจคร้าน “ฉันว่าพวกเราไม่มีอะไรที่ต้องคุยกัน”
“ถ้านายไม่ทำตาม อย่างนั้นฉันก็จะทำตามใจของฉัน ถึงเวลานั้นนายก็อย่าเสียใจแล้วกัน!” จ่านป๋ายพูดอย่างเยือกเย็น
จ่านมู่ฮวาลุกขึ้นยืนและมองซีเหมินจินเหลียนด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันตัวออกไปข้างนอก หลินเสวียนหลานมองร่างของเขาแล้วพูดขึ้นมาว่า “ผู้ชายรูปร่างแบบนี้…”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา คนอื่นอาจมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะพูดประโยคนั้น แต่หลินเสวียนหลานไม่ใช่ เพราะรูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่มีอะไรบกพร่อง
“จินเหลียน คุณหัวเราะอะไรครับ” หลินเสวียนหลานถาม
“คุณเองก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“อ้อ…” หลินเสวียนหลานยิ้ม “ตอนเด็ก คนอื่นๆ ต่างชมว่าผมรูปร่างหน้าตาดี ตอนนั้นผมก็คิดว่าเป็นคำชมจริงๆ ตอนนี้ถึงรู้ว่าบางครั้งการที่เกิดมาหล่อก็อาจจะไม่ใช่โชคดีเสมอไป”
ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ แต่จู่ๆ ก็นึกถึงหวังเซียงฉินขึ้นมา ทำให้ไม่พูดอะไรออกกไปอีก พอดีกับที่เวลานี้มีเสียงของจ่านมู่ฮวากัดฟันพูดกรอดผ่านหน้าต่างเข้ามา “จ่านมู่หรง แกมันแน่!” หลังจากนั้นเขาก็กดวางสาย ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองโทรไปหาใครด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ไม่รู้ว่าพูดอะไร
แต่ซีเหมินจินเหลียนก็วางใจลงแล้ว ขอเพียงแค่จ่านป๋ายไม่เป็นอะไร เรื่องอื่นก็ล้วนไม่สำคัญ เงินหรือ? ถึงหายไปแต่ภายหลังก็สามารถหามาใหม่ได้ ขอแค่พลังพิเศษของเธอไม่ได้สูญหายไป การเดิมพันหยกก็ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีรายได้
ตอนที่จ่านมู่ฮวากลับเข้ามา ใบหน้าของเขาก็ยังคงมีรอยยิ้ม ก่อนจะนำมือถือส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียน เปิดขวดไวน์แดงแล้วพููดขึ้นว่า “ผู้หญิงจิบไวน์สักหน่อย จะเสริมเรื่องความงามนะครับ”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ปฏิเสธอะไร ดื่มแค่อึกเดียวแล้วก็วางลง มื้อเย็นนี้ช่างสมบูรณ์แบบ จ่านมู่ฮวาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อสักครู่อีก ซีเหมินจินเหลียนและหลินเสวียนหลานจึงไม่ได้ถามเขา
จนกระทั่งมื้อเย็นได้สิ้นสุดลง เด็กรับใช้ก็เข้ามาจัดการเก็บกวาดของแล้วเสิร์ฟชาและผลไม้ให้พวกเขา จ่านมู่ฮวายิ้มแล้วถามขึ้นว่า “คุณหลิน ขอโทษที่ต้องถามคำถามนี้ขึ้นมา แต่ผมได้ยินมาว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนบรรพบุรุษคุณเคยส่งหินหยกชุดหนึ่งไปที่เมืองเจียงหนาน?”
หลินเสวียนหลานคิ้วขมวดไม่หยุด วันที่ผ่านมานี้เขาเคยแอบได้ยินมาบ้าง แต่พอถามคุณพ่อแล้ว คุณพ่อกลับพูดอย่างคลุมเครือไม่ชัดเจนว่าไม่มีเรื่องนี้อยู่จริง เพราะว่าท่าทีที่คลุมเครือของคุณพ่อนั้น ทำให้เขายิ่งสงสัยมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเค้ามูล แต่คุณปู่ก็จากไปแล้ว ในพินัยกรรมนั่นก็ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องการขนหินหยกชุดนี้ไปที่เมืองเจียหยาง หรือว่าเรื่องนี้จะมีอะไรแอบซ่อนอยู่?
“ตอนนั้นผมยังเด็ก ก็เลยไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่” หลินเสวียนหลานคิดทบทวนแล้วส่ายหน้า
“คุณอาคุณน่าจะรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?” จ่านมู่ฮวาถามหยั่งเชิง
หลินเสวียนหลานส่ายหน้า นับตั้งแต่คุณปู่จากไป หวังเซียงฉินก็ตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดตึก หลินเจิ้งยังคงรักผู้หญิงคนนี้ ตอนนั้นเขาก็ยังรับไม่ได้ หลังจากงานศพของหวังเซียงฉินผ่านไป เขาก็ย้ายออกไปซื้อบ้านแถวนั้นไว้หลังหนึ่งเพื่อใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ส่วนเรื่องที่เหลือเขาไม่รู้อะไรอย่างชัดเจน
“คุณน่าจะรู้ หินหยกอันอื่นก็ช่างมันเถอะ แต่ราชาหยกก้อนนี้…” จ่านมู่ฮวาพูด “จินเหลียนสนใจมาก”
“ผมเองก็สนใจมาก” หลินเสวียนหลานขมวดคิ้วขึ้นมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน ซีเหมินจินเหลียนทำสีหน้าใส่เขา หลินเสวียนหลานก็รู้ได้ถึงความตั้งใจเลยพูดว่า “ถ้าหากคุณจ่านอยากรู้ ถามมาตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องใช้จินเหลียนมาเป็นข้ออ้างหรอกครับ ผู้หญิงมีไว้ให้เอาใจใส่ ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ผลประโยชน์”
จ่านมู่ฮวาก็ไม่ได้โกรธเคือง เขาได้แต่หัวเราะน้อยๆ แล้วพูดชื่นชมว่า “คนทั่วไปต่างบอกว่าคุณหลินเป็นคนสุภาพเรียบร้อย แต่ผมคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคำพูดคมคายเหมือนวันนี้”
“ความสุภาพอ่อนน้อม ก็ต้องเลือกผู้ปฏิบัติด้วย” หลินเสวียนหลานพูด “สำหรับคนที่ต้องการให้ครอบครัวของเราถูกทำลาย ผมก็คงแสดงความสุภาพด้วยไม่ได้”
“ดูท่าผมคงเสียแรงสู้เปล่าแล้วล่ะ สุดท้ายก็เสียเปรียบกว่าใคร ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ถ้าคุณต้องการที่จะโทษคุณไม่ควรโทษผม!” จ่านมู่ฮวาไม่ได้ปิดบังพูดความจริง
“หรือคุณจะให้ผมพูดขอบคุณคุณอย่างนั้นหรือ?” หลินเสวียนหลานพูดอย่างเยือกเย็น “คืนนั้น ผมก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว! เมื่อคุณปู่ตายตระกูลหลินก็ไม่มีอำนาจใดๆ ใครๆ ต่างก็อยากจะแบ่งผลประโยชน์ คุณอาผมเองก็สร้างความวุ่นวายในบ้าน ผลสุดท้ายก็เสียเปรียบคนนอก”
“คนนอกที่คุณพูด คงไม่ใช่จินเหลียนใช่ไหม?” จ่านมู่ฮวาเหลือบไปมองซีเหมินจินเหลียน
“คุณยังมีหน้ามาใส่ความคนอื่นได้อีกนะ” ซีเหมินจินเหลียนเย้ยหยัน ไม่ได้เอาคำพูดเขามาใส่ใจ
“คนนอกที่ผมพูดถึง ก็คือคุณ!” หลินเสวียนหลานพูด “บ้านตระกูลหลินของเราก็ติดค้างจินเหลียนอยู่ ตอนนี้ถือเป็นการคืนให้ ส่วนคุณก็เป็นพวกที่ชอบฉวยโอกาสลงมือตอนไฟติด!” พูดพลางเขาก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งว่า “จินเหลียน ผมมีธุระต้องกลับก่อน ตอนค่ำคงไม่ได้ไปเดิมพันหยกกับคุณด้วย” เขายังต้องเตรียมตัวสำหรับนิทรรศการในวันพรุ่งนี้ และยังมีธุรกิจตัวใหม่ของบริษัทที่เขาเป็นคนจัดการ นับได้ว่าค่อนข้างยุ่งจริงๆ
“โอเคค่ะ คุณก็ระวังตัวด้วย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
เมื่อเห็นหลินเสวียนหลานเดินออกไปแล้ว จ่านมู่ฮวาก็ผ่อนลมหายใจแล้วค่อยๆ รินชาส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียนอย่างเอาอกเอาใจ “คุณลองชิมดู ชานี้เป็นชาฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ รสชาติไม่เลวเลย”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มหยันแล้วถาม “คุณทำให้เขาโกรธกลับไปทำไมกัน”
“เขาเป็นคนฉลาด” จ่านมู่ฮวาพูด “ไม่ใช่ผมไปทำให้เขาโกรธ แต่ถ้าเขายังอยู่ เรื่องบางเรื่องผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ผมเลี้ยงข้าวคุณ แน่นอนว่าก็ไม่เพียงแค่ต้องการที่จะอยู่ใกล้คุณเท่านั้น”
ข้อนี้ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รับปากที่จะมากินข้าวกับจ่านมู่ฮวา
“คุณพูดมาเถอะ ตอนนี้เขาไปแล้ว”
“คุณพ่อผมคิดจะให้ผมแต่งงานกับคุณ” จ่านมู่ฮวายิ้มน้อยๆ
ซีเหมินจินเหลียนหน้าขึ้นสีเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปด่าเขาว่า “สมองของคุณพ่อคุณมีปัญหาหรือยังไงกัน?” คุณสมบัติของเธอไม่ดีพอสำหรับจะแต่งงานเข้าครอบครัวใหญ่เช่นนั้นหรอก
“ไม่ใช่อย่างนั้น” จ่านมู่ฮวาไม่ได้สนใจวาจาเสียดสีของเธอ แต่กลับพูดไปอย่างอ่อนโยนว่า “คุณน่าจะรู้เรื่องศิษย์จากทางใต้ใช่ไหม?”
“รู้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยอมรับออกไปตรงๆ นี่ไม่ใช่คำถามที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ศิษย์จากทางใต้คำนี้มันช่างมีผลกระทบกับการใช้ชีวิตปกติของเธอ ในเมื่อหลบหลีกไม่ได้ เธอก็ต้องกล้าที่จะยอมรับ
จ่านมู่ฮวายิ้มและไม่นานก็พูดขึ้น “ผมก็เพิ่งได้ยินคุณพ่อพูดถึงในช่วงนี้ นี่ถือว่าเป็นสำนักที่เก่าแก่มาก”
“ฉันไม่ค่อยรู้จักสำนักทางใต้อะไรนั่น” ซีเหมินจินเหลียนพูดออกมา หรือว่าเธออาจจะเป็นศิษย์จากทางใต้ แต่เธอกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักทางใต้นี่เลย
“ผมเองก็ไม่ค่อยรู้” จ่านมู่ฮวาพูดต่อ “สำนักฝ่ายใต้ได้ยินมาว่าเริ่มจากปลายราชวงศ์ชิง เป็นที่นิยมแพร่หลายในคนจีน คุณน่าจะรู้ว่าตอนนั้นโลกกำลังวุ่นวาย ทำให้เกิดกลุ่มพรรคแตกแยกออกมามากมาย ทำให้สำนักฝ่ายใต้แตกแยกออกจากกัน เมื่อถึงในยุคแรกของการปลดปล่อย พรรคฝ่ายใต้เริ่มทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ก็กลายเป็นแค่ตำนานไปแล้ว”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ความจริงสำนักฝ่ายใต้ตอนนี้กลายเป็นตำนานไปแล้ว
“ผมเคยได้ยินคุณพ่อพูดถึงการแบ่งพรรคของสำนักฝ่ายใต้ ได้ยินมาว่าแบ่งออกเป็นหลากหลายสายงาน แต่สายเลือดที่สืบทอดโดยตรงเคยได้ยินมาว่าศึกษาเรื่องการเดิมพันหยก” จ่านมู่ฮวาพูดต่อ
“เพราะอย่างนั้นไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้หยกเลยเริ่มเป็นประเด็นที่ผู้คนให้ความสนใจขึ้นมา?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “คุณพูดเหลวไหลอะไรกัน?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” จ่านมู่ฮวาส่ายหัวพูด “เดิมทีการเดิมพันหยกก็มีประวัติมายาวนานแล้ว เพียงแค่เพิ่งจะมานิยมมากในหลายปีนี้เท่านั้น ตอนแรกสายเลือดของผู้สืบทอดทางฝั่งใต้โดยตรงที่เดิมพันหยก ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์กำไรของหยก แต่เป็นเพราะมีเป้าหมายอื่น”
หินที่เหลือจากการปิดฟ้า! ซีเหมินจินเหลียนแอบพูดอยู่ในใจ แต่ปากดันพูดว่า “เป้าหมายอะไร”
“เพื่อหาหินที่เหลือจากการปิดฟ้าของเทพธิดา!” จ่านมู่ฮวาพูด
“ฉันเคยได้ยินผู้อาวุโสหูพูดถึงเรื่องหินปิดฟ้าของเทพธิดาเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด “แต่ฉันคิดว่า นี่เป็นเรื่องเล่าที่ไร้สาระ!”
“ตำนานนี้มีประวัติมายาวนาน แต่ไม่ได้แพร่หลาย เกรงว่าประธานของบริษัทจิวเวอรี่ต่างๆ ตอนนี้ก็ไม่รู้จักตำนานหินปิดฟ้าหรอก ส่วนพรรคฝ่ายใต้ใช้เวลาและกำลังทั้งหมดในการตามหาหินที่เหลือจากการปิดฟ้านี้ แต่ผมไม่เข้าใจ ถึงพวกเขาจะหาเจอแล้ว แล้วจะทำยังไงได้ อย่างมากสุดก็แค่เป็นหยกที่หายากเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้สู้เปิดบริษัทอัญมณีเดิมพันหินแล้วหารายได้ไม่ดีกว่าหรือ…” จ่านมู่ฮวาพูดวิเคราะห์