ตอนที่ 19 โลกอนธการหลากชั้น โดย Ink Stone_Fantasy
หมัดทั้งสองของบุรุษผู้องอาจราวกับทำให้มิติของทั้งชั้นที่สองสั่นสะเทือนไปหมด ขณะที่หมัดทั้งสองชกเข้ามานั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความคิดที่จะต้านทานอย่างประชิดตัวขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ “อานุภาพของหมัดคู่นี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” ร่างกายของเขาเลือนรางและเร้นกายเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทั้งยังสำแดงแผนภาพคลื่นจานของศาสตร์ลับจำพวกบริเวณรวมทั้ง…มีดบินอันแน่นขนัดออกมาด้วย!
“เป็นบริเวณที่ร้ายกาจนัก” บุรุษผู้องอาจมั่นอกมั่นใจในตนเองอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของการกดดันบริเวณนี้ ทำให้พละกำลังและความเร็วของเขาลดลงอย่างรอบด้าน
จากนั้นมีดบินสีม่วงแน่นขนัดก็พุ่งตรงเข้ามา
ปัง!
เขาไม่แยแสมีดบินเหล่านี้เลย อานุภาพโจมตีของหมัดไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย มีดบินบางส่วนปะทะเข้ากับหมัด ทันใดนั้นเหนือหมัดทั้งสองที่สวมชุดหมัดอาวุธเอาไว้ก็มีลูกไฟปะทุออกมา มีดบินสีม่วงจำนวนมากกว่ากระทบเข้ากับร่างของบุรุษผู้องอาจจนสิ้น ร่างกายใหญ่หนาบึกบึนของเขาก็ฝืนต้านทานการโจมตีของมีดบินทั้งหมดเอาไว้อย่างแข็งขัน แม้แต่เหนือผิวหนังก็มีแสงสีดำปรากฏขึ้นรางๆ
“ตู้มมม…” ด้วยความช่วยเหลือของศาสตร์ลับจำพวกบริเวณ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว หมัดคู่นั้นกลับโจมตีลงบนเนินเขาอุกกาบาตด้านข้างอย่างหวุดหวิด
เนินเขาอุกกาบาตสั่นสะเทือนเล็กน้อย เผยให้เห็นหลุมใหญ่ขนาดเท่าสองกำปั้น
“เป็นหมัดที่ร้ายกาจนัก ร้ายกาจกว่าขวานที่เขาสำแดงออกมาก่อนหน้านี้มากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้านัยน์ตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันใด “ขวานสีดำที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้ เป็นการจงใจปิดบังพลังที่แท้จริงเอาไว้ แต่ทว่า ร่างกายของเขานี้ก็แข็งแกร่งเกินเหตุแล้ว กล้าฝืนต้านทานมีดบินของข้าเชียวหรือนี่”
พละกำลังของฝ่ายตรงข้ามยิ่งใหญ่และรวดเร็วก็แล้วไปเถิด
แต่ร่างกายกลับสามารถต้านทานอาวุธได้ราวกับอาวุธเทพอากาศอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องอ้าปากค้าง! ถึงเขาจะอาศัยการเลือนรางและฟ้าดินโลกเทียม…หากพูดถึงการป้องกันของร่างกายแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะสู้คนตรงหน้าผู้นี้ได้
“เคล็ดลับการต่อสู้ของเขาธรรมดาทั่วไป แต่ร่างกายนี้กลับเป็นอาวุธที่น่าหวาดหวั่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบวิเคราะห์ “ผู้อื่นจะสังหารเขาก็ยากนัก แต่เขาสังหารศัตรู โดยทั่วไปผู้ที่มีความเร็วช้าสักหน่อยก็จะหลบไม่พ้น เกรงว่าหากถูกหมัดหนึ่งโจมตีเข้าที่ร่าง ถ้าไม่ตายก็คงต้องบาดเจ็บสาหัส”
“ฟิ้ว”
เงารางของจานมนตร์กึ่งโปร่งแสงก็แผ่คลุมเข้ามาเช่นกัน
มุมปากของเจ้าเมืองอมตะทั้งสิบเก้าร่างล้วนแฝงรอยยิ้มเย็นชาเอาไว้ เมื่อเขาเห็นพลังของสหายก็ยิ่งมั่นอกมั่นใจมากขึ้น เชื่อว่าพวกเขาทั้งสองร่วมมือกันต้องสามารถสังหารยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้ได้แน่ “สหายของข้าคนนี้มีร่างกายแข็งแกร่งนัก ความเร็วก็แข็งแกร่ง ทว่าวิธีการต่อสู้ยังค่อนข้างเรียบง่ายตรงไปตรงมา…ไม่มีแรงคุกคามใดสำหรับข้าเลย”
เขามีร่างกายถึงสิบเก้าร่าง สามารถแยกกันหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างง่ายดาย
อย่างวิธีการต่อสู้อันเรียบง่ายตรงไปตรงมาของบุรุษผู้องอาจนั้น อาจมีแรงคุกคามต่อยอดฝีมือซึ่งมีเพียงร่างเดียว แต่สำหรับเจ้าเมืองอมตะแล้วกลับไม่มีภัยคุกคามแต่อย่างใด
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นแตกต่างออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญการล้อมโจมตี เชี่ยวชาญด้านบริเวณ เพียงพอจะคุกคามถึงชีวิตของเจ้าเมืองอมตะได้! หากตงป๋อเสวี่ยอิงยังมีชีวิตอยู่ เจ้าเมืองอมตะก็สัมผัสได้ถึงอันตรายอันเข้มข้น ไม่ว่าจะเพื่อสมบัติล้ำค่าไม้อสนีบาตสายทองหรือว่าเพื่อการเสาะหาสมบัติในอีกสามวันให้หลัง ก็ล้วนต้องกำจัดตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเสีย
“ท่านช่วยข้าขวางเขาเอาไว้ที” บุรุษผู้องอาจตะโกน
“มอบให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด เขาหนีไม่พ้นหรอก” เจ้าเมืองอมตะมั่นใจในตนเองเป็นอันมาก ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหนีได้รวดเร็วกว่านี้ ไหนเลยจะสู้ความเร็วของเงามายาจานมนตร์ได้เล่า
เมื่อเผชิญหน้ากับเงามายาของจานมนตร์กึ่งโปร่งใส ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แทรกตัวเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมได้อย่างง่ายดาย เมื่อบุกสังหารมาถึงตรงหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับลอบทอดถอนใจ ยอดฝีมือสองคนร่วมมือกันก็ช่างไม่ธรรมดาโดยแท้! แม้แผนภาพคลื่นจานจะเป็นศาสตร์ลับจำพวกบริเวณที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่เชี่ยวชาญก็คือการกดดันและพันธนาการอย่างรอบด้าน พลังของฝ่ายตรงข้ามยังสามารถคงไว้ได้ถึงหกเจ็ดส่วน
“ฟิ้ว”
ทันใดนั้นมีดบินซึ่งเปล่งแสงสีม่วงกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศโดยพร้อมเพรียงกัน แล้วโจมตีไปทางเงามายาของจานมนตร์ เงามายาของจานมนตร์ซึ่งถูกระลอกคลื่นแผนภาพคลื่นจานแทรกซึมเข้าไปย่อมต้านทานเอาไว้ไม่ไหวและสลายหายไปทันที
และในยามนี้เอง หมัดของบุรุษผู้องอาจก็มาถึง เขาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววอาฆาต
“ฮ่าฮ่า…” เจ้าเมืองอมตะเห็นเข้าก็หัวเราะออกมา
สกัดเอาไว้ได้หมัดหนึ่ง แต่สกัดหมัดที่สองเอาไว้ไม่ได้หรอก!
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางบุรุษผู้องอาจที่บุกสังหารเข้ามาแล้วกลับเอ่ยปากออกมาเบาๆ ว่า “ร่อนลงไป”
ทันใดนั้น โลกอันเลือนรางชั้นแล้วชั้นเล่าก็ร่อนลงมาและโอบล้อมร่างกายของบุรุษผู้องอาจเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ขอบเขตของโลกแต่ละชั้นก็ไม่นับว่าใหญ่นัก บริเวณเพียงแค่พันลี้เท่านั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็คล้ายกับโลกแห่งหนึ่งมาก หากพินิจดูพรมแดนของโลกใบนี้โดยละเอียด ก็จะพบว่าผนังของโลกใบนี้ทับซ้อนกันอยู่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบชั้น
โลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นร่อนลงมาพร้อมกัน! จากความเลือนรางแปรเปลี่ยนเป็นความจริง มันดูดซับพลังฟ้าดินเอาไว้แล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้เห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของบุรุษผู้องอาจที่กำปั้นอยู่ห่างจากตนเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น แต่กลับมิอาจรุกคืบเข้ามาได้อีก เพราะการพันธนาการของโลกชั้นแล้วชั้นเล่า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มออกมา ยามนี้บุรุษผู้องอาจยังมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึง ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ โลกนี้แข็งแกร่งทนทานเกินไป เขาไม่สามารถพุ่งออกมาได้
ปากของตงป๋อเสวี่ยอิงขมุบขมิบ “ปัง!”
เสียงดังก้องทุ้มต่ำดังขึ้น
อานุภาพภายในโลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นปะทะเข้ากับร่างของบุรุษผู้องอาจจนสิ้น
นี่จึงจะเป็นท่าไม้ตายอันแข็งแกร่งที่สุดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมา พรสวรรค์ทางด้าน ‘วิถีโลกเทียม’ ของเขาสูงส่งยิ่งโดยแท้ เขารู้แจ้งโลกอนธการกระบวนท่าที่สอง ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ตั้งนานแล้วเพียงแต่สำแดงออกมามิได้ ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงทำให้กระบวนท่าที่หนึ่งอย่าง ‘ฟองอากาศอนธการ’ เรียบง่ายขึ้น แม้จะเรียบง่ายขึ้น แต่กลับพยายามทำให้อานุภาพของมันรักษาระดับที่คงที่เอาไว้ ทั้งยังสามารถทำให้ตนสำแดงจำนวนออกมาได้มากขึ้นด้วย ในขณะที่คิดค้นนั้นยังถึงขั้นดูดซับเคล็ดลับบางอย่างของกระบวนท่าที่สองเอาไว้ด้วย
‘ฟองอากาศอนธการ’ เดิมนั้น ตนทุ่มเทสุดกำลังก็สามารถสำแดงออกมาได้เพียงหกฟองเท่านั้น
แต่บัดนี้โลกอนธการหลากชั้นที่ทำให้ง่ายขึ้น แม้แต่ละชั้นจะมีขอบเขตที่เล็กและอานุภาพน้อยก็ตามที ทว่าบัดนี้ตนกลับสามารถสำแดงออกมาได้ถึงร้อยยี่สิบชั้น! แม้จะเป็นแบบที่เรียบง่ายเช่นเดียวกัน แต่มังกรมัจฉาปลิดชีพซึ่งทำให้ง่ายขึ้นโดยอาศัยผลาญโลกากระบี่ที่ห้า เมื่อเทียบกับโลกอนธการหลากชั้นแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่ายกระดับสู้โลกอนธการหลากชั้นมิได้เลย
สาเหตุหลักก็เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปได้ไกลกว่าบนเส้นทางของโลกอนธการอย่างเห็นได้ชัด! กระบวนท่าที่สองเขาก็ได้รู้จนกระจ่างแจ้งหมดแล้ว
“ตู้มมม…” บุรุษผู้องอาจก็รู้สึกว่าอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นกระทบลงบนร่างของเขา แล้วส่งถ่ายเข้าไปในส่วนลึกของร่างกาย ถึงขั้นสั่นสะเทือนวิญญาณของเขาเลยทีเดียว
“ฟึ่บ ฟึ่บ…” ปากของบุรุษผู้องอาจกระอักโลหิตออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ มีเศษอวัยวะภายในปะปนออกมาบ้างเล็กน้อย หูและจมูกของเขาล้วนมีโลหิตแทรกซึมเข้าไป อาภรณ์ของเขาก็ขาดวิ่น ผิวหนังที่เผยออกมาก็มีแสงสีดำไหลเวียนอยู่ แต่ผิวหนังกลับไม่มีบาดแผลใดเลยแม้แต่น้อย
“ผิวหนังยังไม่ปริเลยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
แม้จะตกตะลึง แต่เขาก็มองออกว่าบุรุษผู้องอาจก็ได้รับบาดเจ็บแล้วเช่นกัน เพียงแต่เนื่องจากร่างกายทนทานเกินไป เมื่อเทียบกันแล้วภายในร่างกายจึงอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง
“นี่ นี่มันกระบวนท่าอะไรกันน่ะ” เจ้าเมืองอมตะซึ่งเดิมทีกำลังรอคอยด้วยความตื่นเต้นอยู่ห่างๆ ตะลึงงันไป ร่างกายของบุรุษผู้องอาจแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็มองออกตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ก่อนหน้านี้มีดบินมากมายถึงเพียงนั้นโจมตีลงบนร่าง บุรุษผู้องอาจก็ยังเมินเฉย!
แต่บัดนี้กลับถูกโจมตีเสียจนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้วหรือ
“ก่อนหน้านี้เขาแอบซ่อนพลังเอาไว้” บุรุษผู้องอาจคำรามเสียงต่ำ “เขาสังหารข้ามิได้ ลงมือด้วยกันเถิด”
“อื้ม” เจ้าเมืองอมตะก็ขบกรามกรอด ยามนี้จะถอยไม่ได้ง่ายๆ เนื่องจากบัดนี้อยู่ในชั้นที่สองของขุมทรัพย์ คิดจะหนีก็ไม่มีที่ให้หนีไปได้! มีแต่ต้องต่อสู้เท่านั้น
ทว่าในใจของเจ้าเมืองอมตะก็เกิดความคร้ามเกรงสายหนึ่งขึ้นมา คนผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นี้ เมื่ออยู่ในชั้นที่หนึ่งได้แอบซ่อนพลังเอาไว้! แค่เผยพลังออกมาเพียงส่วนหนึ่งก็สามารถกดดันเขาได้แล้ว หากปะทุพลังออกมาจนหมดเมื่ออยู่ในชั้นที่หนึ่ง…เกรงว่าเขา เจ้าเมืองอมตะก็อาจจะต้องทิ้งชีวิตไปแล้วกระมัง ยังดีที่บัดนี้เขามีสหายผู้มีพลังทัดเทียมกันร่วมมือด้วยแล้ว
……………………………………..