ภาคที่ 28 จิตข้าคือจิตฟ้า ตอนที่ 20 คิดบัญชี

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 20 คิดบัญชี โดย Ink Stone_Fantasy

 

บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้มีดบินน้อยยิ่งนัก เขาอาศัยโลกอนธการหลากชั้นและแผนภาพคลื่นจานร่วมกันเป็นหลัก

เนื่องจากโลกอนธการหลากชั้นมีข้อดีกว่ามีดบินอยู่หลายอย่าง

ดังเช่นโจมตีได้ฉับพลันมากกว่า

มีดบินยังต้องบินไปสังหารศัตรู แต่โลกอนธการหลากชั้นร่อนตรงจากความเลือนรางมาสู่ความเป็นจริงแล้วปกคลุมศัตรูเอาไว้จะหลบก็มิอาจหลบพ้น! เมื่อครู่เขาสำแดงกระบวนท่านี้ออกมาปกคลุมเจ้าเมืองอมตะเอาไว้อย่างฉับพลัน ร่างทั้งสิบเก้าของเจ้าเมืองอมตะ…แต่ละร่างล้วนถูกโลกอนธการปกคลุมเอาไว้สามชั้น ถึงอย่างไรเมื่อผ่านการต่อกรก่อนหน้านี้มา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พอจะเข้าใจความสามารถในการป้องกันของร่างที่แปรเป็นหมอกดำของอีกฝ่ายบ้างแล้ว

โลกอนธการเพียงแค่สามชั้น คงมิอาจสังหารอีกฝ่ายได้

แต่สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการก็คือให้สังหารไม่ได้นั่นเอง!

เปรี๊ยะๆๆๆ…

ร่างทั้งสิบเก้าล้วนประสบกับการกระทบของโลกอนธการสามชั้น เมื่อรวมกันแล้วก็แค่โลกห้าสิบเจ็ดชั้นเท่านั้น! อย่างมากที่สุดคือสามารถสำแดงออกมาได้หนึ่งร้อยยี่สิบชั้น

“นี่ นี่…” ร่างทั้งสิบเก้าของเจ้าเมืองอมตะประสบกับการโจมตีพร้อมกัน อีกทั้งการโจมตียังมาจากความเลือนราง ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงแรงคุกคามของความตาย

“พวกเจ้าร่วมมือกันก็ยังคุกคามข้าได้ไม่พอเลย ทั้งยังเป็นกระบวนท่าเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาอีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางส่ายศีรษะ เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณขุมทรัพย์ชั้นที่สอง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยุติเสียเถิด”

ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดอยากเข้าร่วมศึกใหญ่ที่มีพลังทัดเทียมกันมาโดยตลอด คิดจะเคี่ยวกรำและบีบคั้นตนเอง

หากสามารถทำให้สำแดงโลกอนธการกระบวนท่าที่สอง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ออกมาได้ก็จะดียิ่งนัก! รับรู้ได้แต่กลับสำแดงออกมามิได้ นี่เป็นส่วนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจมาโดยตลอด

น่าเสียดาย ที่พวกเขาทั้งสองนำแรงคุกคามมาให้ไม่เพียงพอ

พลังของบุรุษผู้องอาจแข็งแกร่งพอ แต่วิธีการโจมตีกลับเรียบง่าย!

เจ้าเมืองอมตะก็เพียงแค่สำแดงเจ็ดจานมนตร์อมตะออกมา แม้จะพิสดารเป็นอันมาก แต่ก็เป็นเพียงท่าไม้ตายเดียวซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น ทว่าก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ผู้แกร่งกล้าของระบบทิพย์และระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อาจจะมีลูกไม้แพรวพราวมากกว่าอยู่บ้าง ส่วนผู้แกร่งกล้าของระบบอื่นๆ โดยทั่วไปล้วนเชี่ยวชาญกระบวนท่าใดกระบวนท่าหนึ่งโดยเฉพาะ

“เจ้าทำอะไรพวกเรามิได้หรอก” เจ้าเมืองอมตะยิ้มเย็น

เขาและบุรุษผู้องอาจไม่มีทางยอมแพ้

ที่นี่จะหนีก็หนีไม่ได้ หากพ่ายแพ้ก็แทบจะเท่ากับตัวตายเลยทีเดียว!

“โง่งม” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเยาะ

หรือพวกเขาไม่สังเกตว่า โลกอนธการหลากชั้นที่ตนใช้โจมตีบุรุษผู้องอาจมีถึงหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นด้วยกัน และที่ใช้โจมตีแต่ละร่างของเจ้าเมืองอมตะมีเพียงสามชั้นเท่านั้น ก็ถูกต้องแล้ว เขาโจมตีรวดเร็วเกินไป ราวกับโลกอนธการหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ คาดว่าศัตรูคงจะมิได้สังเกตเห็นความแตกต่างของจำนวนชั้นของผนังโลกแต่อย่างใด

“ร่อนลงไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกไปอีกครั้ง

ครั้งนี้

ร่างทั้งสิบเก้าของเจ้าเมืองอมตะล้วนเผชิญกับการโจมตีของโลกอนธการสามชั้น นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังสำแดงโลกอนธการถึงหกสิบสามชั้นออกมากลางอากาศรอบด้านจนแน่นขนัดไปหมด ทว่าโลกอนธการกลุ่มใหญ่นี้กลับมิได้โจมตีศัตรูคนไหนเลย เป็นการจงใจสำแดงออกมาเพื่อโอ้อวดโดยแท้

โลกอนธการที่ต่อเนื่องกันแตกสลายไป

เจ้าเมืองอมตะตะลึงงันไปแล้ว

“เขา เขายังสามารถสำแดงโลกแหลกละเอียดออกมาได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าเมืองอมตะรู้สึกหนาวเหน็บถึงขั้วหัวใจ เมื่อมองเห็นโลกอนธการมากมายถึงเพียงนั้นมิได้โจมตีศัตรูหน้าไหนเลย เขาก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา หากโลกอนธการเหล่านี้โจมตีตน ร่างแยกทั้งสิบเก้าของตนจะสามารถจะสามารถต้านทานได้หรือ

“เจ้าสังหารเขาได้ แต่กลับทำอะไรข้ามิได้เลย” บุรุษผู้องอาจยืนอยู่ตรงนั้นด้วยนัยน์ตาเย็นชา แต่กลับรู้ว่าไม่ดีเสียแล้ว เพราะ ‘เจ้าเมืองอมตะ’ สหายของเขาถูกขู่จนกลัวไปหมดแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “อย่างนั้นรึ”

เขาพูดพลางพลิกมือคราหนึ่ง น้ำเต้าสีดำอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ เขาเปิดจุกออก

ฟิ้ว

ลูกไฟขนาดเท่าฝ่ามือพลันลอยออกมา แล้วกลายเป็นดาวตกลูกหนึ่ง บุรุษผู้องอาจเผชิญหน้ากับลูกไฟซึ่งเหมือนกับดาวตกนั้น ก็รู้สึกประหวั่นใจขึ้นมา แต่ภายใต้การกดดันด้วยบริเวณของแผนภาพคลื่นจาน เขาก็มิอาจหลบหลีกหนีไปได้เลย ทันใดนั้นมันก็ปะทะลงบนแผ่นอกของเขา ร่างกายอันแข็งแกร่งหาใดเปรียบของเขาถูกยิงจนกลายเป็นรูพรุนใหญ่ ถึงขั้นที่ว่าภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง อานุภาพของลูกไฟยังแผ่รังสีเข้าไปภายในร่างของบุรุษผู้องอาจด้วย

บุรุษผู้องอาจเบิกตาโพลงจนแทบจะกลอกกลิ้ง เขาก้มหน้ามองรูขนาดมหึมาบนแผ่นอก และภายในร่างกายที่ถูกทำลาย

“หากข้าอยากทำล่ะก็ จะสังหารเจ้าก็สบายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

บัดนี้ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงสูงส่งแล้ว จึงควบคุมลูกไฟได้คล่องแคล่วมากขึ้น แม้แต่เส้นทางที่วาดข้ามขอบฟ้าก็ยังมีร่องรอยระลอกคลื่นของแผนภาพคลื่นจานอยู่ ทำให้บุรุษผู้องอาจยากที่จะหลบหลีกไปได้

มีแต่ความเงียบงัน

เจ้าเมืองอมตะและบุรุษผู้องอาจต่างก็ยืนด้วยความตกตะลึงอยู่ตรงขุมทรัพย์ชั้นที่สอง พวกเขาล้วนแต่มิได้โง่งม ยามนี้จึงล้วนเข้าใจว่ายอดฝีมือตรงหน้าผู้นี้มีโอกาสที่จะสังหารพวกเขาทั้งสองให้สิ้นซากไปได้

“เจ้าสามารถสังหารพวกเราได้ แล้วไยจึงไม่สังหารเสียเล่า” บุรุษผู้องอาจพูดเสียงต่ำ

“เหตุใดเมื่อเจ้าอยู่ในโลกชั้นที่หนึ่งจึงไม่ลงมือเล่า กลัวว่าพวกเราจะหนีไปหรือไร” เจ้าเมืองอมตะถามขึ้น “แต่บัดนี้ข้าไม่มีที่จะให้หนีอีกแล้ว เจ้าก็ยังไม่สังหารพวกเราหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงถามขึ้นว่า “แน่นอนว่าเมื่ออยู่ในโลกชั้นที่หนึ่ง ข้าย่อมมิอาจเผยพลังออกมามากเกินไปได้ เพราะหากเผยออกมามากแล้วทำให้พวกเจ้าทั้งสองเสียขวัญ พวกเจ้าจะยังกล้าเข้ามาในชั้นที่สองหรือ”

บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะต่างก็เข้าใจแล้ว

หากตอนนั้นพวกเขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตแห่งความตายแล้ว ก็คงไม่มีทางเข้ามาในชั้นที่สอง ให้ผู้อื่นควบคุมความเป็นความตายของพวกเขาได้

“ข้าหวังจะให้พวกเจ้าเข้ามายังชั้นที่สอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวพลางชี้ไปทางเนินเขาอุกกาบาตด้านข้าง “ตัวข้าคนเดียวมิอาจทำลายเนินเขาอุกกาบาตแห่งนี้ลงไปจนหมดภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวันได้ ข้าต้องการผู้ช่วย! และพลังของพวกเจ้าก็มากพอ จึงเป็นผู้ช่วยที่ข้าต้องการพอดี แน่นอนว่าข้าจะไม่สังหารพวกเจ้าหรอก”

บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะต่างก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา

ที่แท้แล้ว…

เขาเก็บงำพลังที่แท้จริงมาโดยตลอด แล้วจึงเผยออกมาในตอนสุดท้าย ก็เพื่อใช้แรงงานพวกเขาทั้งสองอย่างหนักหน่วงนั่นเอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบทอดถอนใจ อันที่จริงเขาห้ำหั่นกับคนทั้งสองก็ด้วยหวังว่าจะได้บรรลุบ้าง จะให้ดีที่สุดก็คือสามารถสำแดง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ออกมาได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็คือมีพลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก  ก็จะเข้าไปในขุมทรัพย์ชั้นที่สามได้อย่างง่ายดายแล้ว น่าเสียดายที่ยังคงมิอาจบรรลุได้ ผู้ช่วยทั้งสองคนนี้สำคัญมากทีเดียว

“พวกเจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งคือตาย อีกทางหนึ่งก็คือช่วยข้าทำลายเนินเขาอุกกาบาตแห่งนี้ ขอเพียงช่วยข้า ข้าก็สามารถสัญญากับพวกเจ้าได้ว่าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีทางรอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

พวกเขาทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาไร้ทางเลือก

“ได้”

“เจ้าเก่งกาจ พวกเราจะช่วยเจ้า” พวกเขาทั้งสองต่างก็พูดขึ้น

“ยังไม่รู้เลยว่าเจ้ามีนามกรว่าอย่างไร ให้พวกเราได้เข้าใจเสียหน่อยว่า ที่แท้แล้วแพ้ด้วยน้ำมือของผู้ใด จึงแพ้ได้อย่างน่าอนาถเช่นนี้” บุรุษผู้องอาจเอ่ย

ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เรียกข้าว่าเฟยเสวี่ยก็แล้วกัน”

บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะฟังแล้วก็เข้าใจทันทีว่า นี่คือนามแฝง เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งซึ่งมีนามว่าเฟยเสวี่ยด้วย

“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมลูกไฟน้ำเต้าสีดำโจมตีไปทางเนินเขาอุกกาบาตด้านข้าง แต่กลับถูกมิติอันไร้รูปร่างขวางกั้นเอาไว้ในชั่วขณะที่ปะทะกัน ให้อย่างไรก็มิอาจกระทบได้

“อาศัยพลังภายนอกใช้ไม่ได้จริงด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า

รายงานก็พูดเอาไว้ชัดเจนมากอยู่ก่อนแล้ว

อาศัยพลังภายนอกนั้นมิอาจโจมตีเนินเขาอุกกาบาตได้ ต้องอาศัยท่าไม้ตายที่รับรู้และเข้าถึงเอง!

พลังภายนอกหรือ ดังเช่นป้ายอักขระล้ำค่าที่แข็งแกร่งบางอัน สามารถปะทุการโจมตีระดับขั้นอลวนออกมาได้…แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทดสอบก็คือพลังที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญรุ่นหลังเอง มิใช่พลังภายนอก

“รีบลงมือเร็วเข้า อย่าสิ้นเปลืองเวลาอีกเลย เวลาของพวกเรามีไม่มากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเฮอะ

บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะต่างก็ถอนหายใจด้วยความจนใจ ทำได้เพียงเริ่มเป็นแรงงานเท่านั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพูดอยู่ข้างๆ ว่า “ต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ข้ารู้จักพลังที่แท้จริงของพวกเจ้าสองคนดี เมื่อครู่ตอนพวกเจ้าลงมือกับข้าก็มีแววต่อสู้สูงลิ่วนัก หากพวกเจ้าทั้งสองแอบเกียจคร้าน…ข้าก็ทำได้เพียงส่งพวกเจ้าไปตายแล้ว”

“มิกล้าๆ” พวกเขาทั้งสองยิ่งจนใจมากขึ้นไปอีก

ที่แท้แล้วการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็เพื่อหยั่งเชิงนี่นา ทำให้พวกเขาทั้งสองลอบเกียจคร้านมิได้เสียด้วยซ้ำไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นผลงานการโจมตีเนินเขาอุกกาบาตของพวกเขาก็อดลอบพยักหน้ามิได้ “การโจมตีของพวกเขาทั้งสองล้วนแต่แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อสองคนรวมกัน ก็ไล่ตามความเร็วในการผลาญทำลายของข้าได้แล้ว หวังว่าในเวลาสามวัน จะสามารถทำลายเนินเขาอุกกาบาตแห่งนี้ได้อย่างราบคาบ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดัน

 ……………………………