อนุภรรยา
ซิ่วอี๋เหนียงกับเสิ่นเยว่แม่ลูกกำลังพูดคุยกัน
“คุณหนูสี่โชคดีจริงๆ จักรพรรดิพระราชทานการสมรส คุณหนูทั่วทั้งเมืองหลวงจะมีได้สักกี่คน” ซิ่วอี๋เหนียงกล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา
เสิ่นเยว่พยักหน้า ในดวงตามีความริษยาแวบผ่าน แต่รวดเร็วอย่างยิ่งก็หายไป คุณหนูสี่ผู้นี้โชคดีจริงๆ คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องเป็นคู่หมั้นที่บุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ทั้งเมืองหลวงถวิลหาแม้ในยามฝัน แม้นางจะอายุน้อย แต่นางกลับรู้มาไม่น้อย
“ท่านแม่ พรุ่งนี้ท่านช่วยข้าดูอีกที ข้าอยากเย็บของให้พี่สี่” เสิ่นเยว่กล่าว ในมือนางมีเงินไม่มาก ซื้อของดีๆ ไม่ได้ สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็เป็นเพียงงานเย็บปักถักร้อย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นน้ำใจของนาง
ซิ่วอี๋เหนียงพยักหน้าอย่างชื่นชม “เยว่เอ๋อร์คิดเช่นนี้ได้ถูกแล้ว”
เสิ่นเยว่คิดในใจ พี่สี่ได้คู่หมั้นดีเพียงนั้น นางย่อมต้องทำดีด้วยหน่อย ไม่ใช่ว่านางไม่อิจฉา เพียงแต่เห็นจุดจบของฮูหยินแล้วนางไหนเลยจะกล้าคิดแผนร้ายอีก ถือโอกาสตอนที่นางยังเด็ก รอนางถึงอายุที่พูดเรื่องแต่งงานได้พี่สี่ก็ยืนหยัดอยู่ในจวนจิ้นอ๋องได้แล้ว ตอนนี้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพี่สี่ไว้ ภายหลังก็สามารถพึ่งพานางเรื่องแต่งงานได้ อย่างไรเสียพวกนางก็เป็นพี่น้องกัน
ฮูหยินจ้าวบ้านสองเองก็กำลังสั่งสอนลูกสาว “เห็นแล้วหรือยัง หมาที่กัดคนได้ไม่เห่า อย่าเห็นว่าพี่สี่ของพวกเจ้าอยู่แต่ในเรืองเฟิงฮวาไม่ชอบขยับตัว แต่นางก็มีความสามารถได้รับพระราชทานสมรสจากจักรพรรดิ นี่เป็นงานสมรสที่ดีเพียงใด พวกเจ้าทั้งสองเองก็หัดเรียนรู้เสียบ้าง ตามีแววหน่อย อย่าอยู่แต่ในห้องทั้งวัน ไปเดินเล่นกับพี่สี่ของพวกเจ้าบ่อยๆ สร้างสัมพันธ์อันดี พวกเจ้าต่างก็เป็นพี่น้องแท้ๆ ในจวนเดียวกัน นางได้ดีแล้วจะทิ้งพวกเจ้าได้อย่างไร”
“ท่านแม่ ทราบแล้ว” เสิ่นเซวียนกล่าวอย่างอ่อนแรง มารดานางพูดมาจะหนึ่งชั่วยามแล้ว เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว
“ทราบ ทราบกับผีน่ะสิ!” ฮูหยินจ้าวเห็นท่าทางนั้นของลูกสาวก็โมโหอย่างถึงที่สุด คนที่ปราดปเรียวเช่นนางเหตุใดถึงคลอดลูกสาวเช่นนี้ออกมาได้ อ่อนแอ เงียบเชียบ “วันทั้งวันเอาแต่เขียนอะไรก็ไม่รู้ เขียนดอกไม้ออกมาได้หรือไร อย่าฟังอาจารย์ของพวกเจ้าพูดจาเหลวไหล ผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงเก่งกินได้หรือ สิ่งสำคัญที่สุดของสตรีก็คือการแต่งงานกับบ้านสามีดีๆ พรุ่งนี้ เซวียนเจี่ยเอ๋อร์ รวมทั้งปิงเจี่ยเอ๋อร์ไปเล่นที่เรือนพี่สี่ของพวกเจ้าให้หมด พูดจาดีๆ เยอะๆ!” ฮูหยินจ้าวเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ หากเซวียนเจี่ยเอ๋อร์ได้คู่หมั้นดีเช่นนี้ ชีวิตนางยังจะมีอะไรให้ต้องทุกข์ใจอีก
กลางดึก แสงดาวนอกหน้าต่างเป็นประกาย ดวงจันทร์หาวอย่างเกียจคร้าน คุณชายใหญ่สวีมาเยือนห้องนอนของเสิ่นเวยอีกครั้ง
สวบ เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญลอยเข้ามาตรงหน้า สวีโย่วรับไว้อย่างจนใจ หลุดหัวเราะ เด็กคนนี้ อาฆาตเสียจริง
เสิ่นเวยพิงหัวเตียง ชายตามองคนชั่วที่บุกเข้ามากลางดึกผู้นี้ กล่าวอย่างหงุดหงิด “ท่านมาทำอะไรอีกแล้ว” จะไม่ให้ข้ามีชีวิตสงบเลยใช่หรือไม่
“โกรธหรือ” สวีโย่วหัวเราะเบาๆ หนึ่งครา ท่าทางงดงาม เป็นเด็กสาวขี้หงุดหงิดจริงๆ แต่ว่าเหตุใดยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขในใจเล่า
“ใครจะกล้าโกรธคุณชายใหญ่สวีเล่า” เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครากล่าวอย่างมีเลศนัย
เสิ่นเวยรู้สึกอึดอัดใจ เจ้าบอกจะรับผิดชอบก็รับผิดชอบ เจ้าบอกจะสู่ขอก็อันเชิญพระราชโองการสมรม พระราชทาน ไม่ว่าอะไรล้วนตามใจเจ้าแล้วข้าเป็นตัวอะไร เสิ่นเวยกุมอำนาจจนชิน ตอนนี้ความรู้สึกถูกกระทำแบบนี้นางไม่ชอบแม้แต่นิดเดียว
“โกรธจริงๆ หรือ” สวีโย่วกล่าวถาม คิดครู่หนึ่งก็ยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่านางโกรธอะไร แต่ว่าคุณชายใหญ่สวีของพวกเราก็มีข้อดี นั่นคือการถามต่ออย่างหน้าไม่อาย “เหตุใดเจ้าต้องโกรธด้วยเล่า”
เสิ่นเวยกลอกตา มองคนโรคจิตที่น่าไม่อายผู้นี้เปลี่ยนจากนั่งเก้าอี้มานั่งข้างเตียงนางแทนแล้ว หากไม่ใช่กลัวว่าเคลื่อนไหวมากไปแล้วจะทำให้สาวใช้ยืนเวรดึกข้างนอกตกใจ นางก็อยากถีบเขาลงไปจากเตียงจริงๆ
“สมรสพระราชทานหรือ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างกระชับสั้น พระราชโองการประกาศแล้ว อย่าว่าแต่ไม่มีทางปฏิเสธ ต่อให้ภายหลังจะหย่าก็หย่าไม่ได้แล้ว นี่ไม่ใช่เป็นการตัดอนาคตของนางหรือ หรือว่าจะทำได้เพียงเดินบนเส้นทางสังหารสามีเสีย แต่หนุ่มรูปงามที่มองแล้วชื่นใจเช่นนี้หากสังหารตายแล้วก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจริงๆ
สวีโย่งตะลึงงัน หลังจากนั้นก็กล่าวอธิบาย “เดิมข้าก็อยากเชิญองค์หญิงใหญ่มาสู่ขอ ใครจะรู้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ทำได้เพียงขอให้จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้ อันที่จริงก็เหมือนกันมิใช่หรือ”
เสิ่นเวยมีไหวพริบมากเป็นพิเศษ จับคำว่า ‘เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง’ ได้อย่างรวดเร็ว มีเรื่องอะไรที่แม้แต่ความสำคัญขององค์หญิงใหญ่ก็ไม่เพียงพอจนต้องขอให้จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เสิ่นเวยก็รู้สึกปวดหัว
“ใครถามท่านเรื่องนี้” เสิ่นเวยถลึงตาใส่สวีโย่วปราดหนึ่ง ในใจแอบเกลียดตัวเองที่ใจไม่สู้ เพียงแค่ได้มองหนุ่มรูปงามมากหน่อยมิใช่หรือ ส่วนชีวิตที่เหลือก็ต้องตกอยู่ในวังวนใช่หรือไม่
พูดไปพูดมาก็ล้วนแต่เป็นหายนะที่เกิดจากความงาม หากคุณชายใหญ่สวีหน้าตาน่าเกลียดหน่อย อัปลักษณ์หน่อย เจอใครไม่ได้สักหน่อย นางเองก็สามารถตัดเขาออกไปได้ด้วยจิตใจที่โหดเ**้ยม แต่คุณชายใหญ่สวีดันหน้าตางดงามราวกับบุปผาซ้ำยังตรงรสนิยมของนางเลยลงมือไม่ลง! เสิ่นเวยส่ายหน้าไปพลางแค้นใจไปพลาง
“หรือว่าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้า” สวีโย่วเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนบนใบหน้าเสิ่นเวย จู่ๆ ก็กล่าวถาม
“ข้าไม่อยากแต่งงานเลยต่างหาก” เสิ่นเวยเอ่ยปาก
“ต่างกันตรงไหน” สวีโย่วขมวดคิ้ว คิดในใจ เด็กคนนี้ไม่อยากแต่งงานกับเขา เรื่องราวรับมือยากเล็กน้อย!
“ต่างกันจะตายไป ข้าเพียงแค่ไม่อยากแต่งงาน ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ท่าน” เสิ่นเวยกล่าวอธิบาย ท่าทางขมวดคิ้วของหนุ่มรูปงามแซ่สวียังดูดี เมื่อครู่นางเกือบจะมองจนตะลึง ไม่ได้ คนผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว ไม่อาจสนิทสนมเกินไปได้
“อ้อ เช่นนี้นี่เอง” สวีโย่ววางใจลง ขอเพียงแต่ไม่ใช่ไม่อยากแต่งงานกับเขาก็พอแล้ว แต่ว่าความคิดของเด็กคนนี้ประหลาดจริงๆ เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกไม่ใช่สาวแรกรุ่นที่เริ่มมีอารมณ์รักหรอกหรือ เหตุใดถึงไม่อยากแต่งงานเล่า “เพราะเหตุใด”
“แต่งงานมีอะไรดี” เสิ่นเวยถามกลับ
“แต่งงานมีอะไรไม่ดี” สวีโย่วเองก็ถามต่อ
เสิ่นเวยมองท่าทางที่จริงจังเช่นนั้นของสวีโย่ว จู่ๆ ก็เสียความมั่นใจ นี่เป็นเพียงแค่ความคิดของนาง โลกทั้งใบอาจมีเพียงนางคนเดียวที่คิดเช่นนี้ นางจะอธิบายให้เขาฟังได้หรือ ซ้ำเขาจะสามารถยอมรับการอธิบายของนางได้หรือ พระราชโองการประกาศออกมาแล้ว นางกับเขาถูกมัดไว้ด้วยกันแล้ว มาพูดเรื่องเหล่านี้อีกจะมีประโยชน์อะไร
“วุ่นวาย ข้าไม่ชอบความวุ่นวาย” เสิ่นเวยพยายามพูดอย่างเรียบง่าย
“วุ่นวายหรือ” สวีโย่วตกตะลึง สีหน้าไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง แต่งงานเกี่ยวอะไรกับความวุ่นวาย เกี่ยวหรือ ไม่เกี่ยวกระมัง
เสิ่นเวยอ่านความคิดของเขาออกในปราดเดียว กล่าวอยางคับแค้น “แม้ว่าท่านจะเป็นบุตรคนโตของจวนจิ้นอ๋อง แต่ตอนนี้พระชายาก็ไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของท่านใช่หรือไม่ นางมีลูกชายของตัวเองสามคน จะทำดีต่อท่านได้หรือ ท่านพ่อท่านก็ไม่ได้สนใจท่านเท่าไรกระมัง มิเช่นนั้นตำแหน่งซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องก็คงจะไม่ตกอยู่ที่น้องชายท่าน อย่าบอกข้าว่าเป็นเพราะร่างกายท่านไม่ดี หากพ่อของท่านรักท่าน แม้ร่างกายท่านจะไม่ดีก็ควรจะให้ท่านเป็นซื่อจื่อมิใช่หรือ อย่างไรเสียสุขภาพไม่ดีที่ว่านั่นก็สามารถไขว่คว้าอนาคตของตนได้ จวนจิ้นอ๋องของพวกท่านจะต้องรักใคร่คนในครอบครัว ส่วนท่านก็เป็นก้างชิ้นใหญ่ ท่านว่าข้าแต่งเข้าไปแล้วจะมีอะไรดีได้ ปัญหามากมายเพียงนี้แค่คิดก็หงุดหงิดแล้ว!” จวนจงอู่โหวเล็กๆ จวนหนึ่งยังมีเรื่องเหลวไหลเคราะห์ร้ายมากมายเพียงนั้น จวนจิ้นอ๋องก็คงจะเยอะกว่ากระมัง นางไม่อยากถูกขังอยู่ในเรือนหลังวันทั้งวันตบตีกับสตรีหนึ่งกลุ่มราวกับนกแร้งนกกาหรอกนะ
หงุดหงิด! หงุดหงิด! หงุดหงิด!
สวีโย่วตะลึงงันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแวววับ งดงามอย่างถึงที่สุด
เป็นเด็กสาวฉลาดจริงๆ ด้วย! สวีโย่วถอนหายใจ เขายิ่งไม่อยากปล่อยมือจะทำอย่างไร ในช่วงชีวิตยี่สิบสองปีเขาเกิดความปรารถนาเป็นครั้งแรก เขาคิดว่าหากเขาคลาดกับเด็กที่น่าสนใจคนนี้ไป ชีวิตหลังจากนี้ของเขาก็ไม่อาจมีความสุขได้อีกแล้ว
สวีโย่วยื่นมือออกไปลูบหน้าของเสิ่นเวย ค่อยๆ เขยิบเข้าไป แทบจะชนปลายจมูกของนาง “ไม่มีทางมีปัญหา ข้ารับปากกเจ้าว่าจะไม่มีปัญหา แม้ว่ามีก็จะมีข้ารับหน้าแทนเจ้า” ดวงตาเด็กคนนี้สวยจริงๆ งดงามและหยาดเยิ้ม ข้างในมีคนตัวเล็กๆ หนึ่งคน นั่นไม่ใช่เขาหรือ
เสิ่นเวยตกใจจนตาค้างปากอ้า เอ๋ๆๆ คาดไม่ถึงว่าคนโรคจิตหน้าไม่อายคนนี้จะใช้ความงามของเขามาล่อลวงนาง ซ้ำยังแต๊ะอั๋งนางอีกด้วย ส่วนตัวเองก็ใจไม่สู้เคลิบเคลิ้มอยู่ในนั้น กว่าเสิ่นเวยจะได้สติกลับมาสวีโย่วก็หัวเราะเบาๆ ถอยไปข้างหน้าต่างแล้ว “เด็กน้อย รอข้านำสินสอดมาให้นะ”
เสิ่นเวยอยากจะตบเขากระเด็นไปถึงแคว้นอูลาจริงๆ เหตุใดหนุ่มรูปงามแซ่สวีพูดว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยนเล่า สูงส่งใหญ่โตนักหรือ องอาจทะนงตนนักหรือ ทั้งหมดแล้วก็เป็นเพียงอันธพาลหน้าไม่อายคนหนึ่ง
เสิ่นเวยโกรธจนสาปแช่งอยู่ครึ่งค่อนคืน วันที่สองก็หลับเลยเวลาที่คาดไว้ แต่ว่านางไม่ต้องไปเคารพผู้ใหญ่ อยากนอนมากเท่าไรก็นอนได้มากเท่านั้น