บทที่ 291
ออกไป
“จะไปไหนเหรอ?” เฟิงจือหลิงถาม พวกเขาไม่คุ้นเคยกับที่นี่มาก่อนเลยแล้วยังมีกฎอะไรอีกมากมายที่จะสร้างปัญหาให้อีก
“เดี๋ยวไปถึงแล้วเจ้าก็รู้เองแหละ!” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย!
มู่หรงเสวี่ยหยิบธนบัตรสีเงินที่จิ่วหยวนให้มาและอธิบายกับพ่อบ้านฟู แล้วจึงเดินออกไป
วันนี้อากาศดี ผู้คนที่ถนนเดินไปมาด้วยความเร่งรีบ มีเสียงตะโกนดังไปทั่วให้ได้ยิน
มู่หรงเสวี่ยสนใจที่จะดูทุกอย่างที่ถนน ที่นี่ไม่มีไฟจราจร ไม่มีตึกสูง แต่ผู้คนกลับดูมีความสุขกันอย่างมาก เธอมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมากันวุ่นวายด้วยสีหน้าพอใจ
แต่ก็ดูเหมือนว่าชีวิตที่สงบสุขของผู้คนจะทำให้เธอรู้สึกร้อนใจเกี่ยวกับเรื่องสงครามที่กำลังใกล้เข้ามานี่ อย่างไรก็ตาม การรวมพลังอันยิ่งใหญ่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตอนนี้แต่ในอนาคตก็จะต้องมีสงครามเกิดขึ้นอยู่ดี วิธีที่ดีที่สุดคือการจัดการปัญหาโดยเร็วที่สุดและทำให้เกิดการสูญเสียที่น้อยที่สุด
ท่าทางของมู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงดูโดดเด่นอย่างมาก ถึงแม้พวกเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่เดินไปตามถนนและมองไปรอบๆ แต่ก็ยังดึงดูดสายตาของผู้คนได้มากมาย
ที่ห้องชั้นสองของร้านอาหารร้านหนึ่งที่ถนน มีคนหนึ่งที่กำลังนั่งพิงอยู่ที่หน้าต่างและมองมาที่ถนนด้วยใบหน้าที่แข็งกระด้าง สายตาลึกลับราวกับสัตว์ป่า ดูราวกับเสือดาวที่อยู่ในป่า ที่ทั้งมีเสน่ห์แต่ก็ดุร้าย ในมือเขาถือแก้วเหล้าที่ทำจากหยกไว้ในมือ พร้อมยกขึ้นจิบไปที่ริมฝีปากบางและดื่มเข้าไป
สายตาของเขาจ้องตรงมาที่ชายทั้งสองที่อยู่ตรงถนนด้านล่าง “ไปตรวจสอบตัวตนของสองคนนั้นมาที!”
เงาของคนที่อยู่ด้านหลังเขารีบตอบออกมาทันที “ขอรับ! นายท่าน” แล้วเขาก็หายไปในทันที
“จะไปไหนกันเนี่ย?” เฟิงจือหลิงถาม
มู่หรงจับไปที่คางและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไปซ่องกันเถอะ!”
“ฟู่!” เฟิงจือหลิงเกือบที่จะสำลักน้ำลายตัวเอง
“เจ้า…พูดว่าอะไรนะ?” ในดินแดนแห่งพายุมีซ่องมากมาย ซึ่งปกติแล้วพวกทหารรับใช้ที่ต้องตะลอนไปทั่วพื้นที่อันตรายตลอดปีจะเข้ามาใช้บริการ บางคนไม่สามารถที่จะรับประกันชีวิตของตัวเองได้และไม่อยากที่จะมีคู่ครอง พวกเขาจึงไปตามสถานที่แบบนี้เพื่อสนองความต้องการทางร่างกายของตัวเอง
“ก็แค่ไปซ่องเอง ทำไมเจ้าต้องประหลาดใจอะไรขนาดนี้ด้วยล่ะ? จะมีผู้ชายคนไหนที่ไม่อยากไปสถานที่น่าสนุกแบบนั้นกันล่ะ?” มู่หรงพูด
เฟิงจือหลิงสำลัก “เจ้า…เจ้ามีคนรักแล้วไม่ใช่หรือไง? มันจะดีเหรอที่จะไปสถานที่แบบนั้นน่ะ?” จะปล่อยให้เขายืนดูมู่เทียนหยอกล้อกันคนอื่นงั้นเหรอ เขาทนไม่ได้หรอก
มู่หรงมองไปที่สีหน้าแดงระเรื่อจนถึงหูของเฟิงจือหลิงและหัวเราะออกมาทันที “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตลกจริงๆ เจ้าเขินงั้นเหรอ?”
“ใครเขินกัน! ข้าก็แค่คิดว่ามันคงไม่ดีเท่าไรที่จะไปสถานที่แบบนั้น!” เฟิงจือหลิงพูดพร้อมท่าทางรำคาญ
“ข้าล้อเจ้าเล่นหรอก ข้าไม่ได้จะไปเที่ยว ข้าแค่คิดว่าสถานที่ที่มีคนมากมายแบบนั้นน่าจะทำให้เราหาข้อมูลได้อย่างง่ายๆ! ว่าไหมล่ะ? คิดว่าข้าเป็นผู้ชายแบบนั้นหรือไง บ้ากามเนี่ยนะ? แถมยังไม่สนใจคนรักตัวเองอีก” มู่หรงเสวี่ยถาม
“เปล่า ข้าแค่ไม่คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่จะไปสถานที่แบบนั้น แต่ในเมื่อเจ้าพูดแบบนี้งั้นก็ไปกันเถอะ!” เฟิงจือหลิงพูด
“จะรีบไปไหนล่ะ?! นี่มันยังไม่ดึกเลยด้วยซ้ำ! เดาว่าซ่องคงจะยังไม่เปิดหรอกนะ ข้าจะไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารก่อนแล้วกัน” มู่หรงชี้ไปที่ร้านอาหารที่อยู่ข้างๆและพูดออกมา
“ไม่มีปัญหา!”
ก่อนที่จะออกมาพวกเธอยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย ในตอนนี้พวกเธอจึงรู้สึกหิวกันนิดหน่อย หลังจากที่พวกเขาไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ พวกเขาก็รู้สึกไม่ค่อยจะชินเท่าไรเลย ท้องของพวกเธอรู้สึกหิวมากกว่าปกติ พวกเธอเคยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการป้องกันตัว เฟิงจือหลิงรู้สึกว่าเมื่อตัวเองสูญเสียพลังแห่งจิตวิญญาณไป ราวกับว่าตัวเองเป็นคนพิการเลยซึ่งต่างจากมู่เทียนอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าโลกที่มู่เทียนเข้าไปอยู่จะเป็นยังไง ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าได้ดีกับทุกที่เลย ยิ่งเขาอยู่ข้างเขานานแค่ไหน เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นเท่านั้น
“จะรับอะไรดีขอรับ?” เสี่ยวเอ้อรีบทำความสะอาดโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้ามู่หรงเสวี่ยและถามออกมา
“ยกจานที่อร่อยที่สุดออกมาเลย” มู่หรงพูด
เหตุผลที่เธอเลือกจะนั่งตรงล็อบบี้ก็เพื่อที่จะฟังบทสนทนาระหว่างคนที่ตลาดด้วย ร้านอาหารก็เป็นอีกสถานที่ที่เหมาะจะฟังข่าวต่างๆ
เธอไม่ได้มานั่งเฉยๆ เมื่อนั่งลงปุ๊บมู่หรงก็ได้ยินเรื่องที่ทุกคนคุยกันทันที
“เจ้าได้ยินหรือเปล่า?”
“ทำไมจะไม่ได้ยินล่ะ? เดือนหน้าสองดินแดนจะมาเยือนพวกเรา”
“ฮ่าฮ่าฮ่าแน่นอนอยู่แล้ว จากท่าทางของดินแดนหิมะของเราก็น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของดินแดนอื่นๆนะ!”
มู่หรงเสวี่ยดื่มชาและถอนหายใจให้กับความโง่เขลาที่ร้ายกาจนี้ อย่างไรก็ตามความไม่รู้คือความสุขที่สุด มู่หรงเสวี่ยคิดว่าถ้าเธออยากที่จะพัฒนาดินปืน เธอก็อาจที่จะช่วยลดการบาดเจ็บล้มตายได้โดยเร็วที่สุดโดยการปราบปรามด้วยพลังอันทรงพลัง
“แต่ยังมีอีกเรื่องนะ ได้ยินมาหรือเปล่า?”
“มีเรื่องอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการมาเยือนของทั้งสองดินแดนอีกล่ะ?”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกแต่มันก็เกี่ยวข้องกับองค์ชายของเราด้วยนะ”
“องค์ชายของเราทำไมงั้นเหรอ? องค์ชายของเราทั้งฉลาดและกล้าหาญและเป็นห่วงเป็นใยประชาชน เขาเป็นองค์ชายดีๆที่หาได้ยากมากเลย!” น้ำเสียงที่พูดออกมามันเต็มไปด้วยความชื่นชอบในตัวองค์ชาย
มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงวางถ้วยชาลงและฟังอย่างตั้งใจ พวกเขาไม่คิดว่าองค์ชายจิ่วฮวงที่บังเอิญได้เจอวันนี้จะมีชื่อเสียงที่ดีขนาดนี้ในสายตาของประชาชน ดูเหมือนว่าเขาเองก็เป็นคนที่สำคัญมากด้วยเหมือนกัน
แต่ถ้าพูดกันดีๆก็คือ มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจเลยสักนิด ตรงกันข้ามเลยเธอคิดว่าองค์ชายเป็นคนที่โหดร้าย ถึงแม้จะเป็นแค่ลางสังหรณ์ก็เถอะ!
“ได้ยินมาว่าองค์ชายของเราเป็นสายเลือดที่แท้จริงของมังกรนะ!” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา
ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงจะไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ แต่การรับรู้ด้านจิตวิญญาณของพวกเขาก็แข็งแกร่งมากกว่าคนธรรมดาตั้งแต่ที่พวกเขาฝึกตนมาเป็นเวลายาวนาน ดังนั้นแม้แต่เสียงเบาๆพวกเขาก็ได้ยินได้อย่างชัดเจน คำพูดของชายหนุ่มทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและต่างก็มองหน้ากันและกัน
“ตำนานของสายเลือดที่แท้จริงของมังกรถูกส่งผ่านมาหลายพันปีแล้ว เจ้าไปได้ข่าวมาตั้งแต่เมื่อไรเหรอ?! อย่ามาพูดอะไรไร้สาระนะ”
“ไร้สาระอะไรกัน องค์ชายจิ่วฮวงอยู่ในวัง เจ้าก็รู้ เขาไม่เพียงแต่รู้เรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์เท่านั้นนะแต่ยังคาดการณ์เรื่องอนาคตได้ด้วย ดินแดนหิมะของเรารอดมาจากหายนะได้นับครั้งไม่ถ้วนก็เพราะองค์ชายจิ่วฮวงนะ!”
“อ่า?! วิญญาณกับสายเลือดที่แท้จริงของมังกรของ องค์ชายมีความสัมพันธ์กันอย่างไรเหรอ?”
“นั่นคือเรื่องที่องค์ชายจิ่วฮวงคาดการณ์ไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน อย่าพูดเรื่องนี้ออกไปล่ะ เรื่องนี่มาจากญาติห่าง ๆ ของข้าที่เป็นขันทีในวัง ข่าวนี้ได้รับการยืนยันแล้วด้วย” เสียงของชายหนุ่มเบาลงไปอีก
“มันจริงหรือเปล่า?! นี่เป็นเรื่องดีนะ ทำไมถึงไม่ประกาศให้โลกรู้ไปเลยล่ะ?”
“จะบ้าหรือเปล่า พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก เจ้าลืมเรื่องนั่นไปแล้วหรือไง?! สายเลือดมังกรที่แท้จริงจะต้องครองดินแดนทั้งหมด ถ้าเราบอกเรื่องนี้ออกไป แล้วองค์ชายจะไม่กลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาของคนทั้งสองดินแดนหรือไง”
“งั้นทำไมเจ้าถึงเล่าให้ข้าฟังล่ะ? ไร้สาระจริงๆเลย…”
“ไม่นะ เรื่องที่ข้าพูดเป็นความจริง ข้าเก็บเรื่องนี้ไว้นานได้ยังไง? ข้าอดไม่ได้หรอกที่จะต้องพูดออกมา”
“…”
เสียงกระซิบของทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าทำให้หัวใจของ มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงเต้นไม่เป็นจังหวะ
องค์ชายจิ่วฮวงคือสายเลือดที่แท้จริงของมังกรงั้นเหรอ?! นี่คือคนที่พวกเธอกำลังตามหาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เหรอ?! ถ้าพวกเธอรู้ก่อนหน้านี้ พวกเธอก็คงจะตกลงรับคำเชิญขององค์ชายวันนี้ไปแล้ว ถึงแม้ข่าวลือที่ตลาดจะเชื่อถือไม่ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าไม่มีควันก็ไม่มีไฟหรอก บางทีเรื่องนี้อาจจะมีความเป็นไปได้
“เชิญตามสบายเลยนะขอรับ!” เสี้ยวเอ้อพูดหลังจากที่เอาอาหารมาเสิร์ฟ
พวกเขาถูกขัดจังหวะในทันที
“เจ้าคิดว่าไง?” เฟิงจือหลิงถาม
ตอนนี้พวกเธอเป็นแขกขององค์ชายจิ่วหยวน เห็นได้ชัดว่าระหว่างองค์ชายดูจะไม่ค่อยสงบกันเท่าไร
“ลองเตรวจสอบดูก่อนที่จะตัดสินใจแล้วกันว่ามันจริงหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว อีกด้านหนึ่งเธอก็หวังว่ามันจะเป็นเรื่องจริง เพื่อที่เธอจะได้กลับบ้านเร็วๆ แต่อีกด้านเธอก็หวังว่ามันจะไม่เป็นความจริง เพราะยังไงซะพวกเธอก็มีความขัดแย้งกัน
เธอไม่รู้ว่าอาจารย์ไปอยู่ซะที่ไหน? ผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างอาจารย์ไม่น่าจะเป็นอันตราย!
“แต่ถ้ามันเป็นแบบนั้น เจ้ายังอยากที่จะช่วยองค์ชายสามต่อหรือเปล่า?” เฟิงจือหลิงถาม
รูปวาดวันนี้ยังไม่ได้เอาให้องค์ชายสาม จู่ๆเธอก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าจิ่วหยวนพยายามที่จะปกปิดท่าทางของตัวเองไว้ เป็นเพราะจิ่วหยวนรู้ว่าองค์ชายจิ่วฮวงคือคนที่จะเปิดอุโมงค์ห้วงเวลาหรือเปล่า?!
เมื่อเธอเริ่มที่จะคิดเรื่องนี้ เธอก็สลัดความคิดนี้ไม่ได้เลย เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้
อันที่จริง เรื่องของจิ่วหยวนเธอมองโลกในแง่ดีอย่างมาก ในทุกแง่มุม เธอคิดว่าเขาคือคนที่เหมาะสมที่จะขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิ ทิ้งความจริงที่ว่าเขาอาจจะปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ เธอคิดอะไรที่แย่กว่านี้ไม่ออกจริงๆ
“บางทีเราน่าจะคุยกับเขานะ” มู่หรงเสวี่ยพูด ดีกว่าที่จะมานั่งเดาเอาเองแบบนี้ และมันคงจะดีกว่าที่จะคุยกันแบบเปิดอก
“ได้!”
เฟิงจือหลิงเองก็รู้สึกกังวลเหมือนกัน ยังไงซะตอนที่พวกเขาออกมาจากดินแดนเฟิงหยุน สถานการณ์ในดินแดนก็ไม่ค่อยที่จะดีเท่าไร น้องสาวของเขา เฟิงจือหลินและพ่อของเขาก็ยังอยู่ที่ดินแดนเฟิงหยุน ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง
“ถ้าเราทำได้ เราก็ควรที่จะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!” มู่หรงเสวี่ยพูด
ในตอนนี้ จู่ๆก็มีชายชุดดำสองคนพร้อมด้วยดาบข้างกายมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเสวี่ย
“ท่านทั้งสอง เชิญเดิมตามข้ามาด้วย” หนึ่งในชายชุดดำผายมือและพูดออกมาด้วยท่าทางเป็นมิตร
เฟิงจือหลิงลุกขึ้นมายืนอยู่เบื้องหน้ามู่เทียนทันที มู่เทียนที่สูญเสียพลังแห่งจิตวิญญาณที่ดูอ่อนแอกว่าที่เขาคิด มันดูเหมือนว่าเขาไม่มีอำนาจที่จะจับไก่ด้วยซ้ำ
“พวกท่านเป็นใครกัน?”
“เมื่อขึ้นไปแล้วก็จะรู้เองแหละ นายท่านของข้าบอกว่าท่านเพียงแค่อยากที่จะเป็นเพื่อนกับพวกท่าน ไม่มีนัยอื่นเลย…” ชายชุดดำพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
มู่หรงเสวี่ยเองก็ลุกขึ้นยืน ตบไปที่ไหล่ของเฟิงจือหลิงเบาๆแล้วก็พยักหน้าให้เขา
“งั้นก็นำทางไปเลย” มู่หรงเสวี่ยพูด ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ใช้ความรุนแรงอะไร งั้นพวกเขาก็ไม่น่าที่จะมีปัญหาอะไรหรือรอดูก่อนก็น่าจะดีกว่า
“ท่านทั้งสอง เชิญขอรับ!” ชายชุดดำพูด
เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและเดิมตามขึ้นไปที่ชั้นสองของร้านอาหาร ที่ชั้นสองแตกต่างไปจากโถงชั้นหนึ่งอย่างสิ้นเชิง ที่ชั้นสองเป็นห้องสำหรับบุคคลสำคัญที่ไม่ชอบความวุ่นวาย
ชายชุดดำทั้งสองเดินนำมู่หรงเสวี่ยตรงไปที่ห้องหมายเลข 1 ของร้านอาหารและเคาะที่ประตู
“เข้ามาสิ!” มีเสียงเย็นชาดังออกมาจากห้องข้างใน