บทที่ 292
เอ้านี่ ดื่มอีกแก้วสิ!
“ท่านทั้งสอง เชิญด้านใน นายท่านของข้าอยู่ข้างใน!” ชายชุดดำค่อยๆผลักประตูเปิดออกและพูดออกมาอย่างสุภาพ
เฟิงจือหลิงเดินนำเข้าไปก่อน แล้วก็ตามด้วยมู่หรง ทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน และได้เห็นชายร่างสูง
“มานั่งลงก่อน ไวน์ที่นี่รสชาติดีมากเลย ลองชิมสิ!” เขายื่นแก้วไวน์ที่อยู่ในถาดให้ “อีกอย่าง ขอแนะนำตัวเองหน่อยนะ ข้าชื่อหวังฉิง”
มู่หรงและเฟิงจือหลิงเดินเข้ามาและเลือกนั่งที่ฝั่งตรงข้ามของหวังฉิง “ข้ามู่เทียน เขาคือเฟิงจือหลิง ไม่รู้ว่าท่านอยากให้พวกเรามาที่นี่ทำไม?”
“เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ลองชิมไวน์ก่อนสิ” หวังฉิงเลื่อนแก้วไวน์สองแก้วที่เพิ่งเอามาเสิร์ฟมาเบื้องหน้า มู่เทียน
เพราะกลิ่นที่หอมก็รู้ได้เลยว่าเป็นไวน์ที่ดีมาก
มู่หรงเสวี่ยเอาขึ้นมาที่จมูกและดมกลิ่น เธอไวต่อเรื่องกลิ่นอย่างมาก ถ้ามีอะไรที่ผิดพลาด เธอก็จะได้กลิ่นทันที เธอพยักหน้าเบาๆให้กับเฟิงจือหลิงที่อยู่ข้างๆเธอแล้วพวกเขาก็ ชิมไวน์
สายตาของหวังฉิงแวบประกายนัยบางอย่าง และเริ่มที่จะสงสัยเรื่องตัวตนของพวกเขามากขึ้นไปอีก
“ไวน์ดีมากเลย!” เฟิงจือหลิงพูด
“ดื่มอีกสิ!” หวังฉิงเติมไวน์ให้พวกเขาอีก
มู่หรงเสวี่ยคอไม่แข็งเท่าไร จึงเพียงแค่ชิมเท่านั้น แต่ เฟิงจือหลิงเป็นนักดื่ม ถ้าเธอมีพลังแห่งจิตวิญญาณเหมือนแต่ก่อน เธอก็คงจะไม่เมาเพราะเธอสามารถที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อเจือจางความแรงของไวน์ได้ แต่ตอนนี้เธอทำไม่ได้ อีกอย่างเธอไม่รู้รายละเอียดของอีกฝ่ายด้วย เธอต้องระวังไว้ก่อนจะดีกว่า
“ท่านยังไม่ได้ตอบเลยว่าเชิญเรามาที่นี่ทำไม?” มู่หรงเสวี่ยถามเสียงเบา
ในห้องมีเพียงพวกเขาสามคน อีกฝ่ายดูจริงใจและไม่มีองครักษ์ หรือว่าอีกฝ่ายจะมั่นใจอย่างมาก มู่หรงเสวี่ยเชื่อว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า
ไม่ว่าจะในโลกไหน ก็ยังมีคนที่มีความสามารถอยู่ด้วยเสมอ หวังฉิงคนนี้ดูเหมือนเป็นคนแบบนั้น ถ้าเธอทำได้ เธอก็ไม่อยากที่จะสู้กับเขา
“ข้าคิดว่าตัวเองเพิ่งจะเผยความจริงใจออกไป เพียงแค่อยากที่จะเป็นเพื่อนด้วย!”
เฟิงจือหลิงเผยรอยยิ้ม “เราก็เป็นแค่คนธรรมดา เหมือนก้อนเมฆที่ไร้น้ำ ข้าเกรงว่าเราจะไม่ได้มีเป้าหมายเดียวกับพวกขุนนางชั้นสูงหรอก!”
“คนธรรมดางั้นเหรอ? คนธรรมดาคงจะเข้าออกตำหนักขององค์ชายสามแห่งดินแดนหิมะได้อย่างอิสระไม่ได้หรอกใช่ไหม?” หวังฉิงดื่มไวน์เข้าไปอีกแก้วแต่สายตาของเขากลับจ้องตรงมาที่มู่เทียน แต่ก่อนเขาไม่เคยชอบผู้ชายแบบนี้เลย เขาดูอ่อนแอราวกับว่าไหล่และมือจะไม่มีแรงยกอะไรขึ้นได้ เขาดูไม่มีประสิทธิภาพเอาซะเลย
หวังฉิงไม่ได้ปิดบังสายตาตัวเองซึ่งจ้องตรงมาแต่ไร้ซึ่งความไม่พอใจ มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่ตาของเขา ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังสืบเรื่องตัวตนของพวกเธออยู่ เธอไม่เข้าใจเลยเพราะตั้งแต่ที่เจอกับจิ่วหยวนในป่าไร้ขอบเขต พวกเธอก็แทบจะไม่ได้ก้าวออกมาจากตำหนักเลย นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ใครจะมารู้จักพวกเธอเลย
พวกเธอคิดว่าตัวเองทำตัวสงบเสงี่ยมมากแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าจะดึงดูดความสนใจของใครได้
“ พวกเราก็แค่พักที่ตำหนักขององค์ชายสามชั่วคราวเท่านั้น ถ้าท่านไม่มีอะไรที่จะคุยกับพวกเรา งั้นพวกเราขอตัวก่อน” มู่หรงลุกขึ้นและพูดออกมา
ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มาจากดินแดนหิมะ ทั้งเสื้อผ้าและคำพูดของเขาได้อธิบายอย่างเต็มที่แล้วว่าในช่วงเวลาวิกฤตินี้ มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะติดต่อกับคนจากดินแดนอื่น เพราะไม่อยากที่จะสร้างปัญหาและความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น
“รอเดี๋ยว พวกเจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยไปง่ายๆงั้นเหรอ!” หวังฉิงพูดน้ำเสียงเย็นชา
“หมายความว่าไง?” เฟิงจือหลิงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แปะ แปะ แปะ!” หวังฉิงตบมือตัวเอง
จู่ๆประตูของห้องก็ถูกเปิดออก และชายชุดดำหลายสิบคนก็พุ่งเข้ามาทันทีและล้อมรอบมู่หรงเสวี่ยไว้กึ่งกลาง
เฟิงจือหลิงดึงมีดออกมาและมองไปที่ชายชุดดำด้วยสายตาดุดัน และกันมู่หรงไว้เบื้องหลังเขา
มู่หรงตีไปที่มือของเฟิงจือหลิงเบาๆแล้วเข้ามาใกล้หูเขาและพูดว่า “อย่าบุ่มบ่าม พวกเขามีคนเยอะกว่า…” หลังจากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็จับมือเฟิงจือหลิง ถ้าเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน พวกเธอก็จะเข้าไปในมิติลับ
มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องช่วยชีวิตตัวเองก่อน!
“อ่า! อย่าทำให้แขกทั้งสองคนของข้ากลัวสิ เก็บมีดไปซะ” หวังฉิงพูด
“ปัป ปัป ปัป!” ชายชุดดำเก็บมีดที่เล็งไปที่มู่เทียนไปทันทีแต่ท่าทางของพวกเขาที่อยู่รอบๆยังไม่เปลี่ยนแปลง!
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเราไปทำให้ท่านไม่พอใจเมื่อไรนะ แต่ถ้ามีอะไรที่พวกเราทำผิดไป เราก็ต้องขอโทษด้วย!” มู่หรงพูดอย่างใจเย็น
ตอนนี้พวกเธอไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเธอก็ไม่ควรที่จะมีคู่แข่งและอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการชีวิตของพวกเธอด้วย ไม่งั้นพวกเขาก็คงทำไปตั้งแต่แรกแล้วและไม่จำเป็นที่จะลากพวกเธอมาจนถึงนี่
“ข้าแค่สงสัยเรื่องของเจ้าสองคนและอยากที่จะรู้จักด้วยก็เท่านั้น มาเถอะ มานั่งแล้วดื่มกันก่อนเถอะ” หวังฉิงเขย่าแก้วตัวเองและพูดออกมา
เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะล่อลวงพวกเขา เขาเห็นพวกเขาจากหน้าต่างเมื่อกี้ มันก็เป็นเพียงเพราะความสงสัยที่พวกเขาดูแปลกและระบุตัวตนไม่ได้เลย
ตอนนี้เมื่อข้อตกลงร้อยปีมาถึงแล้ว เขาไม่อยากที่จะเจอเรื่องบังเอิญอะไรทั้งนั้น สัญชาตญาณของเขาแม่นยำมากมาเสมอ สองคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะยืนอยู่ในวงล้อมด้วยความสงบนิ่งแบบนี้
พวกเธอกลับไปนั่งที่ตัวเองและไม่พูดอะไรอีก การควบคุมอยู่ในน้ำมือของอีกฝ่ายและมันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไร
“ดื่มอีกสิ ไวน์นี้ดีมากเลยนะ!” หวังฉิงไม่รีบร้อนที่จะถามคนทั้งสองนี้ ไม่มีอะไรที่ทำให้คนผ่อนคลายได้ดีไปกว่าไวน์
ครั้งนี้คนทั้งสองเพียงแค่จิบไปเล็กน้อย ท้องไส้ปั่นป่วนเล็กน้อยอีกครั้ง
หลังจากที่ดื่มเข้าไปหลายแก้ว ไวน์ก็ทำงานได้สำเร็จ หวังฉิงมองไปที่คนทั้งสองที่ดูสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าเขาและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าข้าทำได้ ข้าก็หวังที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเจ้าจริงๆ!” น่าเสียดายที่พวกเขาแตกต่างกันมากและแต่ละฝ่ายก็ดูไม่น่าที่จะคบหายเท่าไรด้วย
มู่หรงแสยะยิ้มอย่างไม่พอใจ “ถ้าท่านมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาตรงๆเลยสิ!”
สายตาของหวังฉิงเห็นมือของมู่เทียนที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย สายตาแปลกๆแวบขึ้นมาบนใบหน้าของเขาแล้วก็มองไปที่ มู่เทียนอีกครั้ง ไม่สงสัยเลยว่าความงามที่เกินบรรยายนี้ต้องเป็นพรจากสรวงสวรรค์ ผู้หญิงและผู้ชายบางคนก็โต้แย้งไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยที่คนแบบนี้สามารถที่จะทำให้ผู้คนตกหลุมรักได้ง่ายๆ
“พวกเจ้ามาจากไหนกัน?”
“ถ้าผู้คนในภูเขาและป่าไม้ต่างสงสัยในตัวตนของเรา พวกเราก็คงต้องบอก พวกเราอยู่ในป่ากันตั้งแต่ยังเด็กแล้ว และเราก็ไม่เคยออกมาเลยจนถึงตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่คู่ควรอะไรที่ท่านจะต้องมาสนใจ!” มู่หรงถามออกมาเสียงเบา
“ผู้คนในภูเขางั้นเหรอ? ภูเขาที่ไหน?”
มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าถ้าพวกเธอไม่พูดเรื่องที่ว่ามาที่นี่ทำไม เธอก็กลัวว่าอีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมปล่อยพวกเธอไปแน่ เธอเองก็เฝ้าภาวนาอยู่ในหัวใจตลอด จิ่วหยวนคงจะถามเรื่องจากคนอื่นและออกมาตามหาพวกเธอ ถ้าเขารู้ว่าพวกเธอออกมาข้างนอก พ่อบ้านฟูบอกให้พวกเธอพาองครักษ์ออกมาด้วย เธอไม่น่าจะปฏิเสธเลย
พวกเธอคิดว่ามันคงไม่สะดวกที่จะคอยสอบถามข้อมูล ที่อีกแง่หนึ่ง พวกเธอไม่ได้มาจากโลกนี้ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่อยากที่จะมีปัญหา พวกเธอจึงเลือกที่จะไม่มีองครักษ์แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอเรื่องที่ยากลำบากแบบนี้
“ในป่าไร้ขอบเขต พวกเราอยู่ที่นั่นกันมาตลอด…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา พร้อมกับร่องรอยสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหวังฉิง
“อืม! อยู่ในป่างั้นเหรอ?! เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่องั้นเหรอ…” สายตาของหวังฉิงเข้มขึ้น
“ข้ากำลังพูดความจริง ถ้าท่านไม่เชื่อข้า ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“โอ้?! ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมตอนนี้พวกเจ้าถึงอยู่ในตำหนักของจิ่วหยวนล่ะ?” หวังฉิงเคาะไปที่โต๊ะเบาๆและถามออกมา
มู่หรงเสวี่ยแสยะยิ้ม “นี่คือการสอบสวนนักโทษงั้นเหรอ?”
“เจ้าจะเลือกที่จะไม่พูดก็ได้” หวังฉิงยกแก้วขึ้นและดื่มเข้าไป
ชายชุดดำนับสิบคนดึงมีดที่อยู่ในมือออกมาทันที
“มันก็แค่ข้าบังเอิญเจอเขาที่ป่าไร้ขอบเขต และเราก็คุยกันถูกคออย่างมาก ข้าก็เลยมาอยู่ที่ตำหนักขององค์ชายสามสักพัก ท่านพอใจหรือยัง?”
“…”
หลังจากนั้น หวังฉิงก็ถามอีกสองสามคำถาม มู่หรงเสวี่ยตอบคำถามทีละคำถาม เดิมทีพวกเธอไม่มีข้อมูลของโลกนี้ ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็ตรวจสอบไม่ได้หรอก
แต่หลังจากนั้น มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงก็ดื่มไวน์เข้าไปเยอะ แก้วแล้วแก้วเล่า
หวังฉิงไม่เชื่อคำพูดของมู่เทียนเลย บางทีหลังจากที่เมาแล้วพวกเขาอาจจะพูดอะไรที่เป็นเรื่องจริงออกมาบ้าง
มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามที่จะมอมเหล้าพวกเธอ แม้ว่าพวกเธอจะไม่ต้องการ เว้นแต่ต้องการเปิดเผยเรื่องมิติลับ
สติของมู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะค่อยๆเบลอ ซึ่งใจคอไม่ค่อยดีเท่าไรเลย
“เอ้านี่ ดื่มอีกแก้วสิ!” หวังฉิงเติมไวน์ใส่แก้วให้ทั้งสองคนอีก ความสามารถในการดื่มของพวกเขาเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถนั่งดื่มกับเขาได้จนถึงตอนนี้
มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปากอย่างแรง เธออยากที่จะสร่างเมาและมีสติ มือของเธอยังจับอยู่ที่มือของเฟิงจือหลิง เธอกำลังลังเลอยู่ระหว่างว่าจะเข้าหรือไม่เข้าไปที่มิติลับดี
เธอกลัวว่าถ้าพวกเธออยากที่จะกำจัดความยุ่งยากเรื่องห้วงเวลา พวกเธอก็อาจจะต้องเจอกับเรื่องลำบากในอนาคตแน่ๆ
เฟิงจือหลิงเองก็พยายามที่จะทนกับความเมาด้วยเหมือนกัน คิดว่าเมื่อถูกบังคับขนาดนี้ ต่อให้มีมู่เทียนมาอยู่ข้างๆก็คงจะปกป้องเขาไม่ได้
สุดท้าย พวกเธอก็ทนความมึนเมาไม่ได้และหัวของพวกเธอก็เริ่มที่จะมึนๆ ร่างมากมายที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มที่จะรางเลือน
หวังฉิงวางแก้วไวน์ที่อยู่ในมือลงและโบกมือให้องครักษ์ที่อยู่รอบๆ พวกองครักษ์รีบถอยออกไปทันที
เขาเดินไปข้างมู่เทียนและแตะไปที่หน้าเขาเบาๆ “หวัดดี รู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร?”
“ท่าน…” มู่หรงส่ายตัวและมองไม่เห็นร่างที่อยู่เบื้องหน้า
หวังฉิงเผยรอยยิ้ม เขาไม่สนใจเรื่องเฟิงจือหลิง เขารู้แล้วว่ามู่เทียนเป็นผู้นำ ถึงแม้เฟิงจือหลิงจะดูทรงอำนาจมากกว่า แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าเป็นมู่เทียนที่อ่อนแอต่างหาก
เขาอยู่ข้างๆมู่เทียนและถามออกมา “เจ้าสองคนเป็นใครกัน?”
มู่หรงเวียนหัวและเห็นร่างที่อยู่ตรงหน้าบินไปทั่ว “เจ้าอย่าส่ายหัวเลย มันจะยิ่งทำให้เวียนหัว!”
ปากของหวังฉิงสะดุด ดื่มมากเกินไปงั้นเหรอ?!!
“เจ้าเป็นใคร?” เขาพูดต่อ
“อี้…” มู่หรงเสวี่ยดูเหมือนจะเห็นร่างของฮวงฟูอี้
“อะไรนะ?”
“อี้ ฉันคิดถึงนายมากเลย…” มู่หรงรีบพุ่งไปหาร่างที่อยู่ตรงหน้า
หวังฉิงตะลึงไปชั่วขณะ ร่างของเขาในอ้อมกอดของเขานุ่มนิ่มมากกว่าที่เขาคิดไว้ เขาเหมือนกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกที่แบนราบ เขาก็คงคิดว่านี่เป็นผู้หญิงไปแล้ว