บทที่ 293 เหมือนกับผู้หญิงเลย

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 293

เหมือนกับผู้หญิงเลย

“เร็วเข้า ตื่นสิ!” หวังฉิงอุ้มมู่เทียนไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและตบไปที่หน้าเขาด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ใบหน้าเล็กๆของมู่เทียนไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือของเขาเลย เดิมทีเขาอยากที่จะมอมเหล้าสองคนนี้เพื่อที่จะถามอะไรบางอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่าจะเลยเถิดไปขนาดนี้ นี่มันเมาหัวราน้ำเลย เมื่อได้มองจากระยะใกล้แบบนี้ ก็รู้สึกได้เลยว่ามู่เทียนสวยอย่างมาก ถ้ามองใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกน่าทึ่งมากขึ้นเท่านั้น ผิวขาวผ่องดั่งหิมะ ไม่เคยเจอใครที่ผิวละเอียดและริมฝีปากแดงขนาดนี้เลยจนอดไม่ได้ที่เขาจะต้องห่อปาก

“เข้ามา!” หวังฉิงพูดกับองครักษ์ชุดดำที่อยู่นอกประตู

“นายท่าน!”

“พาพวกเขากลับไป” หวังฉิงพูดน้ำเสียงเย็นชา

องครักษ์ชุดดำรีบอุ้มเฟิงจือหลิง ส่วนองครักษ์อีกคนก็เดินตรงไปหาหวังฉิงเพื่อที่จะอุ้มมู่เทียนออกจากมือหวังฉิง

“ไม่ต้อง ปล่อยมือซะ” เขาจับที่ข้อมือองครักษ์ชุดดำเพื่อที่จะห้าม

ร่างของมู่เทียนเบากว่าที่เขาคิดไว้มาก ชายคนนี้อดๆอยากๆหรือไงกัน?! หวังฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทั้งสองคนถูกพาขึ้นรถม้าไป กลุ่มคนค่อยๆวิ่งออกไปนอกเมืองอย่างเงียบๆ ในตอนนี้ องค์ชายสามจิ่วหยวนเองก็เพิ่งจะส่งจิ่วฮวงกลับเหมือนกัน หลังจากที่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กน้อย เขาก็เดินไปที่สวนของมู่เทียนแล้วก็รีบวิ่งไปที่เรือนคนงานเพื่อเจอกับพ่อบ้านฟู

“นายท่าน! ท่านกำลังตามหาแขกทั้งสองอยู่ใช่ไหมขอรับ?” พ่อบ้านฟูถามอย่างนอบน้อม

“ใช่!” จิ่วหยวนตะโกนออกมา ฝีเท้าที่เดินไปในทิศทางของสวนไม่หยุดเลย

“เดี๋ยวขอรับนายท่าน พวกเขาออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่ายแล้ว” พ่อบ้านฟูพูด

จิ่วหยวนที่กำลังเดินหยุดลงพร้อมทั้งหันหัวกลับมาถาม “พวกเขาไปที่ไหน? มีใครตามไปด้วยหรือเปล่า?”

“พวกเขาบอกว่าอยากที่จะออกไปเดินเล่นที่ตลาดขอรับ พวกเขาไม่ได้บอกว่าจะไปที่ไหน และพวกเขาก็ไม่อยากจะให้ใครตามไปด้วย”

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่สั่งคนให้ตามเขาไปล่ะ? พวกเขาออกไปนานแค่ไหนแล้ว?”

“ตอนที่องค์ชายยังอยู่ พวกเขาออกไปก่อนช่วงบ่ายและตอนนี้ก็ประมาณ 3 ชั่วโมงมาแล้วขอรับที่พวกเขายังไม่กลับเข้ามาเลย”

“ส่งคนออกไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย ถ้าหาเจอแล้วก็อย่าไปรบกวนพวกเขา แค่ตามไปเฉยๆ” จิ่วหยวนพูดพร้อมขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย

“ขอรับ” พ่อบ้านฟูรีบเดินออกไปโดยไม่กล้าที่จะรีรอ!

เขาคิดว่าหลังจากนั้นสักพักพวกเขาจะกลับมา แต่นี่มันก็เวลาอาหารค่ำแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นใครกลับมา ตอนนี้เขารู้สึกใจคอไม่ดีเลย

รถม้าขับออกจากเมืองได้ง่ายๆโดยไม่มีอะไรขัดขวาง องครักษ์ชุดดำส่งถุงสีเงินให้ องครักษ์ที่หน้าประตูของเมืองเพียงแค่เปิดม่านของรถม้าและมองเข้าไปข้างใน เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีคนที่น่าสงสัย เขาก็โบกมือปล่อยไป

เมื่อรถม้าออกไปนอกประตูเมือง มันก็เร่งฝีเท้าขึ้นและขับไปอีกทิศทางหนึ่ง

กลางดึกมู่หรงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น หัวรู้สึกปวดไปหมดเพราะความเมา รู้สึกแย่อย่างมาก

ทันทีที่เธอลืมตาขึ้น เธอก็เห็นใบหน้าที่เย็นชาและกล้าหาญของหวังฉิง ความรู้สึกพร่าเลือนจากที่เพิ่งฟื้นเมื่อกี้หายไป เธอลืมตาและเห็นว่าตัวเองกำลังนอนพิงแขนของใครบางคนอยู่ ด้วยความตกใจเธอจึงอยากที่จะลุกขึ้น

ฝ่ามือใหญ่คู่หนึ่งรีบจับไหล่เธอไว้ทันทีเพื่อกันไม่ให้เธอลุกขึ้น

“อย่าขยับ!” น้ำเสียงต่ำและอดกลั้น

อย่าขยับงั้นเหรอ? จะไม่ขยับได้ยังไงล่ะ?! มู่หรงเสวี่ยขัดขืนหนักขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“ข้าบอกว่าอย่าขยับ ไม่งั้นเจ้าอยากให้ข้าทำอะไรกับเจ้าหรือไง?” น้ำเสียงเย็นชาของหวังฉิงเริ่มที่จะโกรธ

มู่หรงตัวสั่น เงียบลงทันทีพร้อมจ้องมองไปที่รถม้า และเมื่อไม่เห็นเฟิงจือหลิงสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง “เพื่อนของข้าอยู่ไหน?”

หวังฉิงมองมาที่เธอด้วยสายตาเย็นชา แล้วก็หยิบแก้วอุ่นๆที่วางอยู่บนโต๊ะ เปิดฝาและยื่นไปที่ปากของมู่เทียน “ดื่มซุปแก้เมาค้างนี่ก่อน ไม่งั้นเจ้าเจอดีแน่!”

มู่เทียนดื่มไปสองสามอึกแล้วจึงถามออกมาด้วยความกังวล “เพื่อนข้าอยู่ที่ไหน?”

“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นเพื่อน? ไม่ใช่คนรัก?” สายตาของหวังฉิงแวบประกายเย็นชา

“ปล่อยข้าไปก่อน ผู้ชายสองคนมานั่งด้วยกันแบบนี้ไม่น่าเกลียดหรือไง?” ก่อนที่เธอจะฟื้นหวังฉิงกำลังนอนให้เธอพิงไหล่อยู่

มู่หรงเสวี่ยตัวเล็กและการนอนพิงที่แขนของหวังฉิงก็ดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในอ้อมแขนเขา

“น่าเกลียดงั้นเหรอ? แล้วตอนที่อยู่กับเฟิงจือหลิงเจ้าไม่รู้สึกรังเกียจบ้างหรือไง?” เขาไม่เคยแตะต้องตัวผู้ชายแบบนี้มาก่อนแต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นมู่เทียน ก็ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับได้ กลิ่นหอมอ่อนๆของมู่เทียนมันหอมมากๆ เขาชอบกลิ่นนี้อย่างมาก และหน้าตาของมู่เทียนก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเขา

“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร?” มู่หรงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เจ้ามีความสัมพันธ์กับเขาไม่ใช่หรือไง?” หวังฉิงจับไปที่ค้างของมู่เทียนด้วยมือข้างหนึ่ง

ใบหน้าของมู่หรงแสดงสีหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยและมองไปที่สายตาที่แปลกๆของหวังฉิง “เจ้าคิดว่าพวกเรามีความสัมพันธ์แบบไหนกันเหรอ?” เธออยากจะหัวเราะจริงๆ

“ไม่ใช่หรือไง?”

มู่หรงปัดไปที่มือเขา แล้วก็ผลักตัวเขาออกเล็กน้อย “เจ้าบ้าไปแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้วข้ามีคนรักอยู่แล้ว!” เธอจัดเสื้อผ้าตัวเองและรู้สึกโล่งอกที่ไม่มีอะไรแปลกไป

“แล้วเพื่อนของข้าล่ะ? แล้วเจ้าอยากที่จะพาพวกเราไปที่ไหน?” เธอยื่นมือออกไปเพื่อเปิดม่านของรถ ข้างนอกมืดแล้ว ทั้งสองด้านเธอเห็นเพียงแค่ป่าและไม่มีร่างของคนเลย

“นี่เจ้า…ไม่ใช่งั้นเหรอ?” นี่เขาเข้าใจผิดเหรอเนี่ย “ในเมื่อเป็นแบบนั้น งั้นผู้ชายตัวใหญ่อย่างพวกเจ้าจะนั่งจับมือกันตลอดทำไม?! น่ารังเกียจไม่ใช่เหรอ?” เขาถาม

“เขาก็เหมือนกับพี่ชายของข้า นี่เจ้าจะต้องมาเข้าใจเรื่องนิสัยของคนอื่นด้วยหรือไง? เขาอยู่ที่ไหน?” มู่หรงถาม

“ไม่ต้องห่วงหรอก ยังมีรถม้าอีกคัน!” สายตาที่จ้องมาก็ยังไม่หยุด

“ข้าจะไปหาเขา!”มู่หรงอยากที่จะเจอเฟิงจือหลิงทันที พอไม่เห็นเขาเธอก็รู้สึกไม่สบายใจ

“นั่งลง!”

ทันทีที่รถม้าหยุดลง เธอยกม่านขึ้น ก่อนที่จะทันได้กระโดดลงจากรถม้า เธอก็ถูกหวังฉิงดึงกลับมาอยู่ในอ้อมแขนเขาแล้ว

“ข้ายังสนใจในตัวเจ้าอยู่ อยากจะมาเป็นนางสนมของข้าไหม?” ลมหายใจตื้นๆของหวังฉิงกระจายไปทั่วใบหน้าของ มู่เทียน

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกโกรธอย่างมาก “เจ้าบ้าไปแล้ว ข้าเป็นผู้ชายนะ!” เขาเห็นที่เธอเป็นผู้หญิงหรือเปล่า? เป็นไปไม่ได้

“โอ้! แน่นอน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ชาย” หวังฉิงเผยรอยยิ้มปีศาจและพูดออกมา

จู่ๆสีหน้าของมู่หรงเสวี่ยก็ซีดเผือด สายตาของเธอจับจ้องไปที่เขาและนิ้วที่สั่นเทิ้มของเธอก็ชี้ตรงไปที่หวังฉิง “เจ้า…เจ้าชอบอะไรแบบนั้นงั้นเหรอ?”

“อะไร?! รังเกียจงั้นเหรอ? ข้าคิดว่าข้าเป็นคนแรกของโลกเลยนะ คิดว่าแค่นี้ก็น่าจะพอสำหรับเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะด้วยหน้าตาหรือความสามารถของข้า” เรื่องผู้ชายงั้นเหรอ?! ถ้าเขาต้องการ ก็ไม่รู้เลยว่าจะมีผู้ชายมาเรียงแถวรอให้เขาเลือกมากแค่ไหน

มู่หรงผลักเขาออกไปอย่างแรง “อย่ามาล้อเล่นนะ…ไอ้บ้า…ข้าชอบแต่ผู้หญิงเท่านั้น!” มันคงจะฟังดูน่าเชื่อกว่านี้ถ้าน้ำเสียงไม่ได้สั่นขนาดนี้ “เจ้าจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองไม่ได้ชอบผู้ชายด้วย?! บางทีหลังจากที่ได้ลอง เจ้าอาจจะรู้สึกดีกว่ากับผู้ชายก็ได้นะ” หวังฉิงมองมู่เทียนตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ไอ้โรคจิต! ข้ามีคนรักแล้ว ถ้าเจ้าบังคับข้า งั้นเจ้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!” มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขาด้วยสายตาดุดัน

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เคยบังคับใคร สักวันเจ้าจะยินดีที่จะนอนอยู่เบื้องล่างข้าและร้องขอความรัก”

มู่หรงเสวี่ยโกรธมากจนต้องกัดริมฝีปากแน่น เธอมองไปที่หวังฉิงอย่างโกรธแค้นและท่าทางของอีกฝ่ายก็ราวกับหมาบ้า ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นไอ้โรคจิต ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหาตัวเฟิงจือหลิงก่อน

“มาสิ มานั่งตรงนี้ ทำไมเจ้าต้องหนีไปอยู่ไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ?! ข้าไม่กัดเจ้าหรอก” หวังฉิงกวักมือเรียกให้มู่เทียนมานั่งข้างๆเขา

บ้าเอ๊ย เมื่อได้รู้เจตนาที่เขามีต่อเธอแล้ว ถ้าเธอยังนั่งอยู่ที่เดิม เห็นเธอโง่มากหรือไง?! มู่หรงเกือบที่จะขยับไปที่มุม

เธอรู้ว่าก่อนที่จะออกไปเธอจะต้องเปลี่ยนสีหน้าใหม่ แต่ไม่คิดว่าจะต้องถูกมองในฐานะผู้ชาย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?!! สมัยนี้เขารับเรื่องพวกรักร่วมเพศได้ง่ายๆแล้วงั้นเหรอ?!

เอ๊ะ?! ไม่สิ เธอชอบผู้ชาย งั้นเธอจะกลายเป็นผู้หญิง มันจะดีหรือเปล่า? ดวงตาของมู่หรงเงยขึ้นแล้วเธอก็ตัดสินใจได้

“ข้าอยากที่จะเจอเพื่อนของข้า!” มู่หรงพูด

“เจ้าจะได้เจอเขาเมื่อเจ้าพักผ่อนแล้ว”

“นี่เจ้าอยากจะพาพวกเราไปที่ไหนกันเนี่ย?” มู่หรงเสวี่ยถาม ถนนก็ดูเหมือนจะไกลออกไปเรื่อยๆ

“กลับไปที่ดินแดนของข้า”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปทันที “ดินแดนของเจ้างั้นเหรอ? เจ้ามาจากดินแดนไหนกัน?”

“ทำไมต้องทำหน้าประหลาดใจขนาดนั้นด้วย? เจ้าก็เดาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วไม่ใช่เหรอ?! ข้าคือราชาของดินแดนแห่งไฟ เป็นโชคดีของเจ้าแล้วที่ได้ติดตามข้า”

เขาต้องการอะไร?!

แต่ตอนนี้พวกเขาจะทำอะไร?!

“เราไม่ใช่คนของดินแดนแห่งไฟ เจ้าจะพาเราไปที่ดินแดนแห่งไฟไม่ได้! ถ้าพวกเราเป็นสายลับหรืออะไรอย่างอื่นล่ะ?”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะปฏิบัติกับพวกเจ้าในฐานะสายลับเอง!”

มู่หรงเสวี่ยสะอึก รู้สึกโกรธเพราะคำพูดของเขา

หวังฉิงแวบประกายรอยยิ้มตอนที่เธอไม่ได้สังเกต

จู่ๆในรถก็เกิดความเงียบ มู่หรงเสวี่ยกำลังคิดถึงวิธีที่จะหนี เธอไม่ได้คิดที่จะไปดินแดนแห่งไฟ เธอกลัวว่าอีกไม่นานดินแดนแห่งไฟและดินแดนแห่งสายลมจะร่วมมือกันและนั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นความวุ่นวายของโลก นี่ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน เธอยังไม่ได้ศึกษาเรื่องดินปืนเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างที่ร้านอาหาร เธอก็ได้ยินอีกด้วยว่าองค์ชายจิ่วฮวงเป็นสายเลือดที่แท้จริงของมังกรด้วย ไม่ว่ายังไงพวกเธอก็ควรที่จะอยู่ที่ดินแดนหิมะ นี่เป็นทางที่เร็วที่สุดที่จะได้กลับไป

“เจ้ากำลังคิดอะไร?” หวังฉิงถาม

มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขาและไม่ตอบอะไร เมื่อพูดแบบนี้พวกเธอก็ควรที่จะเป็นศัตรูกัน ไม่มีศัตรูคนไหนที่จะนั่งคุยกันอย่างมีความสุข

“พูดมา!”

“ข้าไม่มีอะไรที่จะพูด ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการที่จะทำอะไร?! แต่เราก็แค่คนธรรมดาทั่วไป ไม่อยากที่จะเข้าไปทำให้ดินแดนที่ดีเลิศของเจ้าแปดเปื้อนหรอก งั้นปล่อยพวกเราไปซะ อีกอย่างเจ้าไม่กลัวที่จะมีปัญหากับจิ่วหยวนหรือไง?” มู่หรงเอาเรื่องจิ่วหยวนขึ้นมาบังหน้า บางทีอีกฝ่ายน่าจะสนใจอะไรบ้าง!

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำโกหกของเจ้างั้นเหรอ? แล้วจิ่วหยวนทำไม? เจ้าคิดว่าตัวเองสำคัญมากจนจิ่วหยวนจะต้องเสียแรงมาตามหาพวกเจ้าด้วยงั้นเหรอ” หวังฉิงพูดออกมาด้วยท่าทางรังเกียจ