มู่หรงเฟิงพูดอันใด ซูจิ่นซีไม่ได้ยินแม้แต่น้อย ความคิดในหัวตอนนี้อยู่ที่อู๋จุนจนหมด
แต่ถึงกระนั้น มู่หรงเฟิงก็พานางเหาะออกจากจวนสกุลจงเรียบร้อยแล้ว
อวิ๋นจิ่นมองดูภาพเหตุการณ์นี้ ดวงตาที่เคยอบอุ่นดั่งหยกเผยให้เห็นความเย็นชาอันหนาวเหน็บ มือที่กำแน่นอยู่ข้างลำตัวพลันปรากฏลำแสงซึ่งรวมกันเป็นกลุ่มพลัง
แสงนั้นสาดส่องไปทั่วร่างกาย ไม่น้อยไปกว่าความเหน็บหนาวที่ตรอกแคบในค่ำคืนนั้น
อย่างไรก็ตาม ขณะที่อวิ๋นจิ่นกำลังจะลงมือ ทันใดนั้นก็เกิดเสียง ‘โฮก’ ดังขึ้น พร้อมกับการโบกมือของซูจิ่นซี สัตว์เทพกิเลนถูกดึงออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น
ตอนอยู่ในอาคมกำไลปี่อั้น สัตว์เทพกิเลนรับรู้ได้ถึงภัยอันตราย ทันทีที่มันถูกอาคมกำไลปี่อั้นเหวี่ยงออกมา มันก็แปลงกายคืนสู่ร่างเดิมและยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นกลางอากาศเพื่อส่งตัวมู่หรงเฟิงซึ่งมีวรยุทธ์สูงส่งให้ลอยไกลออกไป
มู่หรงเฟิงทุ่มเทเต็มกำลังเพื่อพาซูจิ่นซีออกไป เขาเกือบจะทำสำเร็จอยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ร่างของเขาลอยละลิ่วออกไปไกล เขายังไม่ทันได้ตอบสนองว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ก็เป็นลมหมดสติไปเสียก่อน
สัตว์เทพกิเลนพุ่งตัวอย่างรวดเร็วกลางอากาศ เข้าไปรับซูจิ่นซีที่กำลังจะตกลงบนพื้น อวิ๋นจิ่นที่เห็นเหตุการณ์นั้นจึงค่อยๆ เก็บพลังฝ่ามือ ก่อนจะซ่อนดวงตาเย็นชาและลมหายใจเย็นยะเยือกไว้อย่างเงียบงัน
“เอ่อ… นั่นคือตัวอันใด? ”
“เอ่อ… ”
“ดูเหมือน… ดูเหมือนจะเป็นสัตว์เทพกิเลน”
“เป็นสัตว์เทพกิเลนจริงๆ ! ”
“เหตุใดสัตว์เทพกิเลนถึงไปอยู่กับนางได้? ”
ผู้คนในเรือนพากันตกตะลึงและตื่นตระหนก พวกเขาถอยหลังกรูออกไปเรื่อยๆ กระทั่งคนขี้ขลาดตาขาวยังรีบวางอาวุธในมือลงและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
“กลับมา กลับมาก่อน! ”
จงซูอี้ตะโกนเสียงดังและมองไปยังสัตว์เทพกิเลนอีกครั้งด้วยใบหน้าดำมืด เมื่อมองไปยังร่างเพรียวบางที่ขี่อยู่บนหลังของสัตว์เทพกิเลน ดวงตาที่หรี่จนเรียวเล็กก็ยิ่งหรี่ลงมากกว่าเดิม
สัตว์เทพกิเลนคือสัตว์เทพในตำนาน ซึ่งถูกสักการะไว้ในดินแดนต้องห้ามของสกุลจงมามากว่าหลายร้อยปี บรรพบุรุษของสกุลจงแต่ละรุ่นล้วนอุทิศตนเพื่อรับใช้และให้ความสำคัญกับสัตว์เทพกิเลนยิ่งกว่าบรรพบุรุษของตนเสียอีก อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดว่าสัตว์เทพกิเลนจะถูกคนขโมยไป
เมื่อมองภาพเหตุการณ์นี้ จงซูอี้ก็หวนนึกถึงคืนนั้นที่ลมหนาวพัดผ่านและแสงไฟมืดสลัว
ร่างเพรียวบางเบื้องหน้าที่อยู่บนหลังของสัตว์เทพกิเลนมีความคล้ายคลึงกับคนที่ควบสัตว์เทพกิเลนหนีหายไปจากดินแดนต้องห้ามของสกุลจง
แม้ซูจิ่นซีจะดูตัวเล็กและอ่อนแอ ทว่าท่าทางหยิ่งยโสโอหังและไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตานั้น ล้วนไม่ผู้ใดเทียบเทียม
ซูจิ่นซีในตอนนี้หายจากอาการตกใจแล้ว เป็นดั่งที่จงซูอี้คิดไว้ บุคคลที่ขี่อยู่บนหลังสัตว์เทพกิเลน ทั้งยังเหยียดหลังตรง เชิดหน้าขึ้น แววตามองลงมายังฝูงชนที่อยู่ในเรือนด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับนางฟ้าที่ลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อโปรดมวลมนุษย์
จงเนี่ยมองท่าทางของซูจิ่นซี ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกสันหลังเย็นวาบ แม้ลึกๆ จะมีความกลัวผุดขึ้นมาชั่วครู่ ทว่าความรู้สึกเช่นนั้นก็โดนปัดทิ้งไปและแทนที่ด้วยใบหน้าเย็นชา
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีมีสัตว์เทพกิเลนอยู่ในมือ เขาไม่อาจดูถูกนางได้อีกต่อไป
“เด็กน้อย เจ้าเป็นใครกันแน่? ”
ต้องทราบว่า สัตว์เทพกิเลนไม่ใช่สัตว์ที่จะยอมจำนนให้กับคนธรรมดา
“ข้ามาจัดระเบียบคนของสำนักแพทย์! ”
จงซูอี้หรี่ตาลงอีกครั้ง ใบหน้าของเขาลดทอนความเย็นชาลงเล็กน้อย ทั้งแววตายังส่องประกายความเมตตาอย่างที่บุคคลในช่วงวัยนี้ควรจะมี จากนั้น เขาก็ยื่นมือไปหาซูจิ่นซี
“เด็กน้อย เจ้าลงมาก่อนเถิด”
ซูจิ่นซีไม่พูดอันใด นางใช้หางตามองจงซูอี้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลำพองใจ
จงซูอี้พูดต่อ “สัตว์เทพกิเลนตัวนี้เป็นสัตว์เทพชั้นสูงของสกุลจง เด็กน้อย การที่เจ้าสยบสัตว์เทพกิเลนได้ แสดงว่าเจ้าต้องมีความเกี่ยวข้องที่สำคัญกับสกุลจงเป็นแน่ เจ้าลงมาคุยกับปู่ก่อนเถิดว่า เจ้าสยบสัตว์เทพกิเลนตัวนี้ได้อย่างไร! ”
ซูจิ่นซีไม่ใช่คนโง่!
สาเหตุที่เหล่าทหารในเรือนพากันตื่นตระหนก รวมถึงการที่จงซูอี้ไม่กล้าสบประมาทนาง เป็นเพราะใต้บั้นท้ายของนางมีสัตว์เทพกิเลนมิใช่หรือ?
หากเป็นจริงตามที่จงซูอี้พูด และนางยอมลงไปพูดคุยกันดีๆ นางยังจะมีสิทธิ์พูดอีกหรือ?
ผู้ใดจะรับประกันได้ว่า ชายชราผู้นี้จะไม่เล่นลูกไม้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ซูจิ่นซีก็ยกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย
จงซูอี้เป็นคนเยี่ยงไร? เมื่อเห็นรอยยิ้มซูจิ่นซี เขาก็รู้ได้ทันทีว่าสตรีนางนี้ไม่อาจต่อกรได้โดยง่าย
เขายังคงต้องการเกลี้ยกล่อมซูจิ่นซี ทว่าช่างน่าสงสารนัก ตอนนี้ซูจิ่นซีไม่ต้องการฟังเขาพูดจาไร้สาระอีกต่อไป เพราะนางมีเรื่องสำคัญยิ่งกว่านี้ให้ต้องไปสะสาง
“สัตว์เทพกิเลน จัดการ! ”
ซูจิ่นซีออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“โฮก! ”
สัตว์เทพกิเลนเงยหน้าขึ้นคำรามเสียงยาว ทันใดนั้น มันก็พ่นเปลวเพลิงสีฟ้าหนึ่งระลอกใส่ผู้คนที่อยู่ในลานบ้านด้านล่าง
เมื่อสัตว์เทพกิเลนพ่นเปลวเพลิงออกมา ทุกคนต่างวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก
อย่างไรก็ตาม นั่นมันเปลวเพลิงของสัตว์เทพกิเลน!
ตอนอยู่ในดินแดนต้องห้ามของสกุลจง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์เทพกิเลน แม้แต่เยี่ยโยวเหยายังแทบเอาชีวิตไม่รอด ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นเพียงทหารของสกุลจง พวกเขาจะหลบหนีได้อย่างไร?
หากไม่โดนพลังของเปลวเพลิงกระแทกจนตาย ก็โดนเปลวเพลิงฉีกกระชากร่างออกเป็นชิ้นๆ จนไม่เหลือแม้แต่แขนขา
เรือนทั้งหลังจะกลายเป็นทะเลเลือดในไม่ช้า หลังคาและโถงทางเดินถล่มลงมา กลุ่มทหารถูกสังหารจนหมดสิ้น
ไม่ต้องพูดถึงผู้คนที่กำลังเผชิญชะตากรรม กระทั่งซูจิ่นซียังต้องขมวดคิ้วอย่างแรง
พลังทำลายล้าง ช่าง… รุนแรงยิ่งนัก
จงซูอี้ในตอนนี้ก็หลบไม่พ้นเช่นกัน เขาถูกเปลวเพลิงของสัตว์เทพกิเลนกระแทกจนตกจากกำแพงไปไกล และกระอักเลือดออกมา
ประการแรก อู๋จุนและอวิ๋นจิ่นล้วนได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ อีกทั้งชีวิตของอู๋จุนยังตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจะชักช้าไม่ได้ ประการที่สอง สัตว์เทพกิเลนทรงพลังเกินไป ซูจิ่นซีไม่ต้องการเห็นทุ่งสังหารแดนนรกบนโลกมนุษย์ นางจึงสั่งให้สัตว์เทพกิเลนลงมาบนพื้น และให้อู๋จุนกับอวิ๋นจิ่นขึ้นมาบนหลังของสัตว์เทพกิเลน
จงซูอี้เดินออกมาจากกำแพง มือกุมหน้าอก เลือดทะลักออกจากปาก เขามองไปยังทิศทางที่ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ กำลังจากไปด้วยแววตาอาฆาตรุนแรง
บุคคลที่สามารถสยบสัตว์เทพกิเลนและสั่งการมันได้ นางจะต้องเป็นคนที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาเป็นแน่
ไม่ว่าเด็กคนนี้จะเป็นใคร หากมีสัตว์เทพกิเลนอยู่ในมือท้ายที่สุดแล้ว นางจะเป็นตัวปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถปล่อยเอาไว้ได้
เมื่อทุกคนหลบหนีออกมาได้แล้ว ซูจิ่นซีก็เริ่มห้ามเลือดให้อู๋จุน นางไม่ได้ออกคำสั่งกับสัตว์เทพกิเลน เพียงปล่อยให้มันพาหลบหนีเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะพาพวกเขามายังด้านหลังภูเขาของสกุลจง
ภูเขาที่เป็นดินแดนต้องห้ามของสกุลจง
ไม่ต้องพูดถึงว่าจงซูอี้หรือคนอื่นๆ จะตามมาหรือไม่ เนื่องจากที่นี่อันตรายยิ่งกว่า
ซูจิ่นซีเคยมาดินแดนต้องห้ามครั้งหนึ่ง ตอนนั้น การจัดการกับพวกสมุนไพรกินคนก็ทำเอานางปวดหัวแทบแย่ แม้เหล่าสมุนไพรกินคนจะถูกดึงเข้ามาในระบบการถอนพิษของนางแล้วก็ตาม ทว่าซูจิ่นซียังรู้สึกได้ว่าที่นี่ไม่ธรรมดา และมีอันตรายแฝงอยู่รอบตัว ทำให้น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสมุนไพรกินคนพวกนั้นเสียอีก
ทำอย่างไรดี?
จะเข้าไปหรือไม่?