1861-1 vs 1861-2 vs 1862 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 1861-1

ป๋อจิ่วตัวน้อยไม่สนพ่อตัวเอง เธอไม่มีอารมณ์กินข้าว โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าแม่ยังไม่กลับมา

ในที่สุดชายหนุ่มก็ลุกขึ้นไปยืนที่หน้าต่าง เห็นบ้านที่อยู่ด้านนอกสว่างด้วยแสงไฟ ก็พลันหัวเราะขึ้น “ท่านจิ่ว เรามีข้าวเย็นกินแล้ว”

“พ่อต้มบะหมี่ได้ไม่อร่อยมากๆ หนูไม่อยากกิน” ป๋อจิ่วแสดงความไม่สนใจ

ชายหนุ่มยื่นขากันทางลูกตัวเองไว้ “พ่อไม่ต้ม เอาถาดผลไม้บนโต๊ะมา พวกเราไปขอข้าวข้างบ้านกินกันดีกว่า”

ข้างบ้านเหรอ?

ป๋อจิ่วไม่ได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาพลันวาววับทันที รีบเอาผลไม้มาวางไว้ในกล่อง การจะให้ผลไม้เป็นของพบหน้ากันอาจจะดูไม่ดีสักเท่าไร แม้พ่อของเธอจะเน้นย้ำว่า “เขาเป็นเพื่อนเก่าต่างวัยของพ่อตอนอยู่ที่จีน”

ป๋อจิ่วเองก็ไม่ซน นั่นเป็นบ้านเจ้าหญิงเชียวนะ จะไปซี้ซั้วขอข้าวกินได้ยังไง

“จะเดินเองเหรอ?” ชายหนุ่มเลิกบุหรี่ตั้งแต่มีลูกสาว ตอนนี้สวมผ้าปิดหน้าและเสื้อขนเป็ดสีดำ ทว่ากลับดูอ่อนวัยหล่อเหลา เหมือนเป็นแค่พี่ชายของเด็กคนนี้เสียมากกว่า “มานี่ พ่ออุ้ม?”

ป๋อจิ่วถือประปุกออมสินอันน้อยไว้ในมือ ส่วนมืออีกข้างถือกล่องผลไม้ มองพ่อทั่วตัวพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “หนูจะเดินเอง จะต้องทำให้เพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่รู้สึกว่าหนูเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย”

“ท่านจิ่วของพวกเราโตแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มหัวเราะ ดึงมือกลับมาสอดลงกระเป๋ากางเกง เดินไปอยู่ด้านหลังแม่หนูน้อย ดูท่าทางสบายอารมณ์

คนตัวโตและคนตัวเล็กเดินกันมาเหมือนออกจากหนังสือการ์ตูนอังกฤษ ไม่คล้ายว่าจะอยู่ในชีวิตจริง

พอจะได้ยินทั้งสองพูดกันว่า “เดี๋ยวแม่กลับมาแล้ว อย่าบอกแม่นะว่า วันนี้พวกเรามาขอข้าวข้างบ้านกิน”

“ทำไมอะ? ถ้าแม่รู้ว่ามีเพื่อนบ้านจากที่เดียวกันมาอยู่ด้วย คงดีใจมาก”

“แล้วลูกคิดว่าอะไรล่ะ แค่บะหมี่พ่อยังต้มได้ไม่ดี พ่อไม่ต้องรักษาหน้าเหรอ หืม?”

“มิสเตอร์ป๋อ เวลาที่ต้องขอข้าวแม่กิน พ่อยังไม่เห็นจะรักษาหน้าเลย”

“ถือว่าตัวเองเป็นเด็กแล้วก็เป็นผู้หญิง ก็เลยคิดว่าพ่อจะสั่งสอนลูกไม่ได้ใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ” ป๋อจิ่วส่ายหาง

คุณป๋อมองดูไม้ม็อบถูพื้นแล้วหยิบขึ้น เอ่ยด้วยเสียงเนิบนาบ เสี้ยวหน้าดูหล่อเหลาท่ามกลางหิมะ “ชิๆ เจ้าหนูน้อย หน้าหนาไม่เบานะเนี่ย”

“มันเป็นพันธุกรรมค่ะ” ป๋อจิ่วหิวของ หันหน้ามองอย่างตั้งใจ “เป็นพันธุกรรมมาจากพ่อไง”

คุณป๋อไม่ว่าอะไร “ลูกก็เลยเก่งแบบประหลาดๆ ขึ้นเรื่อยๆ เนอะ เอาละ พ่อจะกดกริ่งแล้ว ระวังภาพลักษณ์ตัวเองให้ดี”

ไม่คิดเลยว่าจะมีคนได้ยินคำสนทนาระหว่างพ่อลูก โดยคนที่ได้ยินเป็นเด็กชายตัวน้อยที่ถือสไลด์หิมะเข้ามาทางประตูด้านข้าง แม้ด้านนอกจะหนาวแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สวมเสื้อโค้ท คงเพราะจะได้ทำอะไรสบายๆ เด็กชายตัวน้อยไม่ชอบแอบฟังใครพูดหรอก หากจะบอกว่าไม่ชอบ เห็นทีต้องบอกว่าเขาไม่แคร์ว่าคนอื่นจะพูดอะไร ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ตอนที่เขาถือสไลด์ก็ยังอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เพราะการสนทนาระหว่างพ่อลูกคู่นี้ออกจะประหลาดเหนือคนปกติ

 ……………………………………………………..

ตอนที่ 1861-2

เด็กชายตัวน้อยไม่เคยเห็นพ่อลูกที่ไหนคุยกันแบบนี้มาก่อน จึงอดเงยหน้าขึ้นไม่ได้ กวาดตามองรอบหนึ่งแล้วรีบปิดประตูทันที

คุณตากำลังสั่งให้คุณพ่อบ้านจัดเตรียมงานเลี้ยงตอนกลางคืน เงยหน้าถามเขาว่าจะเอาสเต๊กเนื้อสุกระดับไหน เด็กน้อยกำลังคิดว่าจะบอกคุณตาดีไหมว่ามีสองพ่อลูกมาขอข้าวอยู่ด้านนอก วินาทีถัดมา กริ่งประตูก็ดังขึ้น หิมะยังตกอยู่ คุณท่านอานกำลังสงสัยว่าใครมาเยือน คุณพ่อบ้านก็เดินออกไป “คุณครับ จะเปิดประตูไหม?”

คุณท่านอานพยักหน้า คุณพ่อบ้านเดินออกไป ดึงที่จับประตูเนื้อเงินออก หิมะโปรยเข้ามาตามสายลมจากทิศเหนือ คนตัวโตและตัวเล็กยืนอยู่ตรงนั้น คงเพราะเสื้อนอนของคนตัวเล็กสะดุดตาเหลือเกิน คุณท่านอานเห็นแล้วนึกถึงเสือน้อยทันที

นัยน์ตาเจ้าหล่อนดำขลับ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาโลดเต้นอยู่ตรงหน้า หูพับลงเหมือนหูแมว ทั้งน่ารักและดูเท่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอซึ่งกำลังยิ้มให้ แสงจันทร์ที่สาดส่อง ไม่ทำให้เขาดูแก่ลง ยังคงสดใสเหมือนดวงดาว ทั้งยังดูเจ้าเล่ห์อีกด้วย “คุณแอนดริว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

คุณท่านอานถึงกับตาเป็นประกาย “คุณป๋อ รีบเข้ามา เข้ามาเร็ว!”

เมื่อได้ยินผู้ใหญ่ทักทายกัน ป๋อจิ่วน้อยก็เริ่มกรอกนัยน์ตา เจ้าหญิงน้อยของเธออยูที่ไหน? ทำไมถึงไม่เห็นเขา? ในระหว่างที่คิดเช่นนี้ คุณท่านอานพลันเอ่ยขึ้น “มั่วเอ๋อร์ มานี่ลูก มาดูเพื่อนเร็ว”

มั่วเอ๋อร์[1]?

นี่คือความเข้าใจผิดลำดับที่สอง ป๋อจิ่วน้อยที่แสนฉลาดคิดว่าเจ้าหญิงน้อยชอบเขินอาย ถึงได้มีชื่อนี้ ดังนั้นจึงยิ่งมั่นใจว่า เด็กที่เธอเห็นจากนอกหน้าต่างจะต้องเป็นผู้หญิงแน่?

ป๋อจิ่วน้อยมั่นใจในเพศของเพื่อนเหลือเกิน ไม่คิดว่าอาจจะผิดพลาดได้ รอจนเธอได้มาเห็นร่างที่ตรงเข้ามาหา ก็ยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่

อีกฝ่ายสวมรองเท้าแพนด้า กางเกงปกปิดมิดชิด แนบไปกับขา เห็นแล้วระรื่นตาเหลือเกิน แถมตอนนี้เธอถอดเสื้อโค้ทออกแล้ว เสื้อสเวตเตอร์ตัวในสีแดงเหมือนใบเมเปิลที่เคยเห็น แต่ผิวกลับขาวเหมือนหิมะที่เพิ่งตก นัยน์ตาสุกสกาวเหมือนดวงดาว ขนตายังยาวเหลือเกินจนเห็นความดำขลับของมันอย่างชัดเจน ยืนอยู่ตรงนั้น เส้นผมดำเหมือนน้ำหมึก ภาพทั้งหมดนี้ปรากฏสู่สายตาของป๋อจิ่วอีกครั้ง

ลมจากทิศเหนือพัดมาอีกครั้ง เข้าคู่กันคบเตาไฟในห้องและต้นคริสมาสต์หน้าบ้าน พัดเอาหิมะเข้ามาตกบนบ่าของเด็กชาย พ่อหนูน้อยหันไปเป่าเบาๆ แล้วหันมาอีกทีอย่างมีมารยาท แต่ไม่รู้ว่าทำไมป๋อจิ่วถึงรู้สึกว่านัยน์ตาคู่นั้นถึงได้เย็นกระด้าง

ทั้งนี้ความเย็นกระด้างที่ว่า กลับไม่ทำให้ความกระตือรือร้นของเธอหายไป

ในนิทานว่าไว้ว่า เจ้าหญิงมีหลายประเภท วันนี้เธอได้รู้จักประเภทหนึ่งแล้ว อีกฝ่ายต้องเป็นประเภทเย็นชาภายนอก ขี้อายภายใน เดี๋ยวเธอจะต้องควบคุมตัวเองให้ดี จะทำตัวเหมือนตอนที่เล่นงานวิลเลียมจูเนียร์ไม่ได้ จะต้องปฏิบัติต่อเจ้าหญิงน้อยอย่างอดทน แล้วต้องพูดเสียงอ่อน ในเมื่อเธอเอากระปุกมาด้วยก็มีอะไรให้มั่นใจแล้ว ขอแค่ไม่ทำให้คนตกใจจนหนีไปเสียก่อนเป็นพอ ก็เธอไม่เคยเห็นคนที่หน้าตาดีขนาดนี้มาก่อนนี่

เด็กตรงหน้าคนนี้ เธออยากเอากลับไปเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่บ้าน พ่อเธอเคยบอกว่าเห็นอะไรที่ชอบก็ให้ซื้อกลับบ้าน อย่าเอาของคนอื่นฟรี แม้จะเป็นโลกออนไลน์ก็เช่นกัน

ป๋อจิ่วตัวน้อยเห็นเจ้าหญิงน้อยปุ๊บ ก็รีบหอบเอากระปุกออมสินไปหา

โอกาสทองมาแล้ว

………………………………………………..

[1] มั่วเอ๋อร์ในที่นี้ ป๋อจิ่วนึกว่าเป็นอักษรอีกตัวที่เป็นชื่อของผู้หญิง ซึ่งอ่านเสียงเดียวกันแต่เขียนต่างกัน

ตอนที่ 1862

ตั้งแต่เมื่อกี้ แขกตัวน้อยก็เอาแต่จ้องหน้าฉินมั่ว เขาโดนมองจนหันหน้านิดหน่อย ซึ่งสบตากับนัยน์ตาขลับคู่นั้นพอดี แต่สิ่งที่ทำให้เขาชะงัก กลับเป็นนัยน์ตาคู่นั้นสะท้องภาพเขาคนเดียว เขาเห็นภาพตัวเองจากนัยน์ตาเธอภายใต้แสงไฟกระจัดกระจาย ฉินมั่วคิดว่านัยน์ตาคู่นั้นโตเหลือเกิน ดูไม่เหมือนเป็นคนที่พูดสิ่งที่เหลือเชื่อเมื่อครู่นี้ สงสัยว่าตอนนี้กำลังแกล้งทำเป็นเด็กดี? ไม่เคยเห็นใครเสแสร้งได้แบบนี้เลย

ส่วนป๋อจิ่วจ้องเขาอย่างไม่หวาดกลัวอะไร จ้องเสียจนฉินมั่วเพิ่งจะยกเท้าขึ้น เด็กนั่นก็พูดกับคุณตาทันที “สวัสดีค่ะ คุณตา” จากนั้นก็วิ่งเตาะแตะมาหาเขา แล้วยื่นกระปุกออมสินให้ หางเสือส่ายไปมา “มั่วมั่ว เธอโลละเท่าไรอะ ฉันจะซื้อ”

ซื้อเขางั้นเหรอ? กิโลละเท่าไรด้วย?

ฉินมั่วเลิกคิ้วขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขามองดูใบหน้ายิ้มแช่มชื่นเหมือนเชอร์รี่ตรงหน้า พลางก้าวถอยหลัง ไม่รู้ว่าทำไมถึงสังหรณ์ใจว่าฝันร้ายใกล้จะมาเยือน

ทว่าคุณป๋อกลับหัวเราะขึ้นมาอย่างนิสัยไม่ดี แถมยังร้ายกาจด้วย “ท่านจิ่วเก่งมากเลยลูก พ่อล่ะนึกว่าลูกถูกใจอะไร ที่แท้ก็เพื่อนใหม่นี่เอง”

“มั่วมั่วน่ารักจะตาย หนูชอบก็เป็นเรื่องปกตินี่คะ” ป๋อจิ่วตัวน้อยพูด หันหน้าไปมองเขาอย่างจริงจัง แถมยังกระดิกหูด้วย “พูดแล้วอายจัง มั่วมั่วรับปากฉันไหม? ฉันจะดีต่อเธอมากๆเลยนะ”

น่ารัก? ได้ยินนี้แล้ว หน้าเล็กๆของฉินมั่วถึงกับเย็นชา ยัยเด็กนี่ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่

“น่ารักเหรอ ฮ่าๆๆ” คุณท่านอานหัวเราะขึ้น “เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนชมว่ามั่วเอ๋อร์ของพวกเราว่าน่ารัก”

ป๋อจิ่วตัวน้อยเบิกตาใสกระจ่างเสียกว้าง “เมื่อก่อนไม่มีใครพูดเหรอคะ? แปลกจัง เจ้าหญิงน้อยอย่างมั่วมั่ว น่าจะมีแต่คนชอบถึงจะถูก”

“เจ้า หญิง น้อย?” ฉินมั่วพูดอย่างอดไม่ได้ ตอนนั้นเขายังเล็ก เสียงยังไม่มีอำนาจเท่าตอนโต กระทั่งยังแฝงความเป็นเด็กด้วย ซึ่งแม้จะเย็นชา แต่กลับไม่ดุดันเท่า

คุณท่านอานอึ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม แม้ว่าท่านจะรู้ว่าหลานท่านดูดีมาก แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีเด็กน้อยปฏิบัติต่อหลานท่านแบบเด็กผู้หญิง

ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อคงรู้ล่ะว่าลูกสาวพลาดอะไรบางอย่าง กลับหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่าทางท่านจิ่วของพ่อจะชอบมั่วเอ๋อร์เข้าให้แล้ว”

“ชอบมากเลยแหละ” ป๋อจิ่วตัวน้อยตอบคนเป็นพ่อ ทั้งยังแสดงความจริงใจของตัวเองด้วยการจ้องหน้าฉินมั่ว

……………………………………………………