ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 135 คำตอบแรกของเมืองสวินหยาง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สมแล้วที่เป็นมือสังหารอันดับสามของแผ่นดิน การเคลื่อนไหวของหลิวชิงนั้นแปลกประหลาดอย่างมาก เป็นเวลาเดียวกับที่เฉินฉางเซิงพูดประโยคนั้นขึ้นมา เขาพลันกลายเป็นหมอกควันหายลับไปท่ามกลางม่านสายฝนที่ตกกระหน่ำ ตอนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่ใกล้กับม้าสีเหลืองที่กำลังก้มหน้าอย่างเงียบๆ กลางสายฝนแล้ว และ…กระบี่ของเขาก็แทงเข้าไปในร่างของเฉินฉางเซิงอีกครั้ง

ซูหลีสอนเพลงกระบี่ให้เฉินฉางเซิงไปสามเพลง เขาได้ใช้เพลงกระบี่ทั้งสามไปพร้อมกันในตอนนี้ และยิ่งใช้ก็ยิ่งคุ้นเคย เจตจำนงที่จะเป็นตายร่วมกันนั้นก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ขนาดที่เริ่มเข้าสู่ระดับที่ทำได้ดั่งใจนึก ไม่มีใครรู้ว่าจำนวนปราณแท้ของเฉินฉางเซิงจะทนให้เขาใช้เพลงกระบี่เขาหลีซานกระบวนท่าสุดท้ายได้อีกกี่หน แต่ว่าเขาก็ยังยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้

เลือดสดๆ หลั่งไหลออกจากหน้าอกของเฉินฉางเซิง ไม่นานก็ถูกสายฝนชะล้างไป ใบหน้าของเขาซีดขาว สีหน้าเห็นได้ถึงความเงียบขรึม ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเสียแล้ว แต่ที่จริงความคิดของเขากลับกำลังทำงานอย่ารวดเร็ว คำนวณถึงความเป็นไปได้ถัดไปของมือสังหารที่น่าหวาดกลัวผู้นี้ ในเวลาเดียวกันก็ติดตามการต่อสู้ระหว่างหวังผ้อกับจูลั่วบนถนนสายยาวเส้นนั้น

นี่ถือเป็นข้อเรียกร้องของเพลงกระบี่รอบรู้ ต้องคำนวณทั้งเวลา ฟ้าดิน และสภาพแวดล้อมโดยรอบ…เฉินฉางเซิงมองดวงตาที่แสนธรรมดาของมือสังหารผู้นั้น ก็มักจะรู้สึกได้ถึงปัญหา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเลือดของตนถึงได้เปลี่ยนเป็นไม่มีกลิ่นอย่างกะทันหัน และยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมกระบี่ของอีกฝ่ายถึงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ร่างกายที่เคยผ่านการอาบเลือดมังกรนั้นมีระดับความแข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าการชำระกระดูกอย่างสมบูรณ์ กระบี่ของหลิวชิงสามารถทำลายการป้องกันได้อย่างง่ายดาย ก็ถือได้ว่าทรงพลังอย่างมากแล้ว ตามการคำนวณของเฉินฉางเซิง กระบี่ของหลิวชิงก็ควรจะน่ากลัวกว่านี้ เขานั้นรับไปแล้วถึงเจ็ดกระบี่ แต่กลับยังสามารถยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนได้ ยังไม่ได้ล้มลง นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน

เจ็ดกระบี่เพียงแค่ชั่วพริบตา แม้แต่หยาดฝนก็เพิ่งจะไหลนองรวมกันเป็นแอ่งเล็กๆ บนซากกำแพง ไม่ว่าจะเป็นคนดูที่อยู่ไกลออกไป หรือว่าจะเป็นเหล่าคนที่หลบซ่อนอยู่ที่มุมอื่นของเมืองสวินหยาง ก็ล้วนไม่ทันได้มีการตอบสนอง ห่าฝนได้ชะล้างถนนสายยาว ท่ามกลางความมืดสลัว สามารถมองเห็นได้เพียงเงาร่างของคนห้าคนกับม้าอีกหนึ่งตัวบนถนนสายนั้น

หวังผ้อยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ดาบเหล็กได้กรีดผ่าช่องว่างขึ้นมานับไม่ถ้วน สกัดประกายแสงนับไม่ถ้วนที่ส่องมาจากห่าฝน เส้นขอบของรอยแยกนั้นเรืองรองอย่างมาก ส่องสว่างไปยังร่างของเขา แสงเหล่านี้ล้วนเป็นแสงกระบี่ของจูลั่ว ดูแล้วอ่อนโยนราวกับแสงจันทร์ แต่กลับไร้ที่ให้หลบซ่อน แสงกระบี่ทุกสายที่โดนร่างของหวังผ้อ ล้วนเกิดเป็นรอยแผลตรงยาวขึ้นมา และมีเลือดสดๆ ไหลริน

เขากลับกลายเป็นมนุษย์โลหิตผู้หนึ่ง ฝนจะตกหนักเพียงใดก็ไม่อาจจะชะล้างได้หมด

บนถนนสายยาวนอกจากเสียงฝนแล้วก็ไม่มีเสียงใดอื่นอีก ห่าฝนดั่งฟ้าคำรน ช่างครึกโครมอย่างมาก แต่ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับรู้สึกเงียบสงัด เหลียงหวังซุน เหลียงหงจวง และพวกคนที่ไม่สนใจว่าต้องแลกด้วยอะไรก็คิดจะฆ่าซูหลีเหล่านั้น ในวินาทีที่รอคอยเฉินฉางเซิงล้มลงอย่างเงียบๆ นั้น เซวียเหอและหัวเจี้ยฟูผู้เป็นตัวแทนของขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสองอย่างราชวงศ์ต้าโจวกับนิกายหลวง ในเวลานี้ต่างล้วนรักษาความเงียบ กลุ่มของนักบวชและทหารที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางสายฝนทั้งด้านในและด้านนอกของเมืองสวินหยางเองก็ล้วนรักษาความสงบไว้

เพราะว่าความเงียบงันและความยืนหยัดของหวังผ้อ เพราะว่าความเด็ดเดี่ยวของเฉินฉางเซิง…ทุกคนล้วนรู้กันว่าเป็นเหล่านักปราชญ์ที่อยากให้ซูหลีตาย ถึงแม้จะเป็นจูลั่วเองก็กำลังทำตามเจตจำนงของเหล่านักปราชญ์ หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงต่างถูกเรียกว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในคนที่มีอายุรุ่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับเหล่านักปราชญ์แล้ว อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา คู่ต่อสู้ของพวกเขาในตอนนี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีระดับพลังเหนือล้ำไปกว่าพวกเขา แต่ว่าพวกเขากลับอาศัยเจตจำนงกับการระเบิดพลังที่ยากจะอธิบายได้นั่นยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ มองดูเงาร่างทั้งสองที่อยู่ท่ามกลางสายฝน ใครกันที่จะไม่หวั่นไหว

หวังผ้อเป็นบุคคลสำคัญของสำนักต้นไหว เฉินฉางเซิงเป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวง ระหว่างพวกเขากับเขาหลีซานไม่ได้มีมิตรภาพอะไร ขนาดที่ว่าควรจะเป็นคู่ต่อสู้กันด้วยซ้ำ แต่ว่าเขากลับทำเพื่อให้ซูหลีมีชีวิตรอด และขัดแย้งต่อเจตจำนงของเหล่านักปราชญ์จนถึงตอนนี้ เหตุใดพวกเขาถึงต้องทำเช่นนี้ หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงไม่ชอบนิสัยของซูหลี ถ้าหากเป็นยามปกติ พวกเขาก็คงไม่ทำเพื่อซูหลีโดยแลกด้วยชีวิตเช่นนี้ แต่ในตอนนี้ไม่ได้ ซูหลีไม่ควรจะต่อสู้กับเผ่ามารเพื่อโลกมนุษย์จนบาดเจ็บสาหัสแล้ว กลับถูกผู้คนบนโลกไล่ฆ่า

นี่เป็นการหักหลัง การกระทำเช่นนี้ช่างไร้ยางอายอย่างมาก

ในเรื่องนี้ หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงมั่นใจว่าที่พวกเขาคิดนั้นถูกต้อง ส่วนเหล่านักปราชญ์นั้นผิด

เช่นนั้น ในเรื่องนี้ การเลือกของพวกเขาถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจรุกล้ำได้

เหตุผลก็เรียบง่ายเช่นนี้ แต่การจะทำให้ได้กลับยากลำบากอย่างมาก

ซูหลีนั่งอยู่บนหลังม้า มองดูเฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านหน้าไปจนถึงหวังผ้อที่อยู่ไกลออกไปบนถนนกลางสายฝน เขาไม่ได้พูดอะไร ความรู้สึกที่กระจัดกระจายตรงดวงตาก็ไม่รู้ว่ามุ่งไปยังที่แห่งใดตั้งนานแล้ว

……

……

ก่อนที่หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงจะล้มลง ซูหลีไม่มีทางตายแน่ นี่เป็นผลสรุปที่คนในเมืองสวินหยางสรุปร่วมกันมา การตายของหวังผ้อจะต้องสั่นสะเทือนเทียนหนานอย่างแน่นอน และผลกระทบจะต้องมีอย่างมาก แต่หากเพื่อการฆ่าซูหลี ก็ดูเหมือนว่าค่าตอบแทนเช่นนี้จะสามารถจ่ายได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ ไม่มีผู้ใดอยากให้เฉินฉางเซิงตาย

เฉินฉางเซิงเป็นหัวหน้าของสำนักฝึกหลวง เป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวง ใต้เท้าสังฆราชอยากให้ซูหลีตาย แต่ไม่มีทางยอมให้เขาตาย เพียงแต่ใต้เท้าสังฆราชที่อยู่ห่างไกลถึงพระราชวังหลี ณ จิงตู ก็คงจะคิดไม่ถึงว่า เฉินฉางเซิงถึงกับยอมแลกชีวิตของตนเพื่อศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของพระราชวังหลี

จากเซวียเหอไปจนถึงเหลียงหงจวง จากเซียวจางไปจนถึงเหลียงหวังซุน จากค่ายทหารไปจนถึงเมืองสวินหยาง เฉินฉางเซิงต่อสู้มาตลอดทาง ถึงแม้จะเคยเห็นความเป็นความตายมาหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับภัยคุกคามถึงชีวิตอย่างถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้ ในตอนนี้จึงไม่เหมือนกัน หลิวชิงเป็นมือสังหาร ถึงแม้เขาเองก็ไม่อยากให้เฉินฉางเซิงตายภายใต้เงื้อมมือของตน แต่เขารับเงินมาแล้ว การฆ่าซูหลีเป็นภารกิจของเขา ก็เหมือนกับทุกคนที่ให้ความสำคัญกับเงิน อย่างเช่นเจ๋อซิ่ว คนเหล่านี้ล้วนให้ความสำคัญกับการทำภารกิจให้สำเร็จ ตรงจุดนี้สำคัญยิ่งกว่าความเป็นความตายของพวกเขา แน่นอนว่าก็ต้องสำคัญยิ่งกว่าความเป็นความตายของผู้อื่น เจ็ดกระบี่ก่อนหน้า หลิวชิงไม่คิดจะฆ่าเฉินฉางเซิง แต่เขาก็พบว่าหากไม่ฆ่าเฉินฉางเซิง ตนก็ไม่สามารถฆ่าซูหลีให้ตายได้จริงๆ เช่นนั้นแล้ว…ก็ต้องฆ่าทิ้ง

หลิวชิงมองเฉินฉางเซิงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ และแทงกระบี่ออกไปอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ กระบี่ของเขาไม่ได้แทงไปทางซูหลีแล้ว แต่กลับแทงตรงไปที่เฉินฉางเซิง มือสังหารในขั้นรวบรวมดวงดาวนั้นหาตัวจับยาก การโจมตีที่หมายเอาชีวิตของมือสังหารเช่นนี้จะน่ากลัวมากมายขนาดไหน เฉินฉางเซิงไม่ได้รับรู้เลย แต่ก็รู้สึกได้ถึงรัตติกาลที่กำลังคืบคลานเข้ามา ราวกับว่าได้สังหารแสงสว่างทั้งหมดไปจนสิ้น

เฉินฉางเซิงรู้ว่าตนจะต้องตายแล้ว เขากับเงามืดของความตายได้อยู่ร่วมกันมาหลายปีแล้ว จึงมีความอ่อนไหวต่อความตายอย่างถึงที่สุด แต่ในเวลานี้เขากลับไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก บางทีอาจพูดได้ว่าไม่ทันได้ใส่ใจ

ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไปได้ ซูหลีที่บาดเจ็บหนักไม่หายดีไม่สามารถ หวังผ้อที่กำลังฝืนอยู่ท่ามกลางสายฝนอย่างยากลำบาก และกลายมาเป็นมนุษย์โลหิตก็ไม่สามารถทำได้ แน่นอนว่าหัวเจี้ยฟูกับเหล่านักบวชอยากจะขวางกระบี่นี้ของหลิวชิง แต่ว่าก็ทำได้แค่เพียงส่งเสียงร้องอย่างตกตะลึง

ในเมืองสวินหยางในตอนนี้มีเพียงแค่คนเดียวที่สามารถหยุดความตายของเฉินฉางเซิงได้ คนผู้นั้นก็คือจูลั่ว

เขาได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ในตำนานแล้ว แสงกระบี่ของเขาถึงแม้จะถูกหวังผ้อสกัดเอาไว้ที่ด้านหนึ่งของถนน แต่ขอเพียงแค่ยอมจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม ก็ยังคงสามารถมาถึงด้านนี้ของถนนกลางสายฝนได้

ในทันใดนั้น เมฆฝนบนฟ้าพลันปรากฏรอยแยกขึ้นมา มีแสงส่องสว่างขึ้น ในน้ำฝนบนถนนราวกับมีดวงจันทร์ของเผ่ามารปรากฏขึ้นมา มองดูแล้วเลือนราง แต่ก็ราวกับเป็นของจริง

ดาบเหล็กกลางสายฝนนั้นมั่นคงอย่างหาใดเปรียบ จูลั่วยังคงอยู่ที่ตรงนั้น แต่ว่าชายวัยกลางคนที่มีผมยาวปรกบ่าผู้หนึ่ง อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตรงหน้าของซูหลี นั่นเป็นการมีอยู่ของปาฏิหาริย์ที่เกือบจะเป็นการแยกร่าง

พระจันทร์กลางน้ำ นี่เป็นวิชาการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่ง ถึงขนาดที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นวิชาเทพอย่างหนึ่ง

ในวินาทีที่สำคัญที่สุด หนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าลู่ผู้นี้ ในที่สุดก็ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตน

เขายื่นมือไปคว้าเฉินฉางเซิงไว้และเหวี่ยงออกไปทางข้างถนน โดยทิ้งซูหลีไว้ให้กับหลิวชิง

เป็นการปรากฏตัวที่เรียบง่ายอะไรเช่นนี้ เป็นการเหวี่ยงออกไปง่ายๆ และหลีกทางให้อย่างง่ายๆ

จูลั่วได้แก้ปัญหาทั้งหมดแล้ว

เขาทำให้เฉินฉางเซิงมีชีวิตอยู่

เขาทำให้ซูหลีต้องตายไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ฆ่าซูหลีคือมือสังหารผู้นั้น ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา

ถึงแม้เขาคือจูลั่ว แต่ถ้ามือเปื้อนเลือดของอาจารย์ปู่เล็กของเขาหลีซานก็มีปัญหาเหมือนกัน

สมแล้วที่เป็นแปดมรสุม

ลมฝนได้ครอบคลุมเมืองสวินหยาง

ที่แท้ ตั้งแต่ต้นจนจบ สถานการณ์ทุกอย่างก็ล้วนอยู่ในกำมือของเขามาโดยตลอด

เฉินฉางเซิงไม่มีความสามารถใดๆ ที่จะหลบมือของจูลั่วได้

เขามองดูกระบี่ของหลิวชิงกำลังเฉียดผ่านด้านข้างร่างของเขาไป และกำลังแทงไปทางซูหลี

เขารู้ว่าไม่มีทางทำอะไรแล้ว

เขาค่อนข้างจะสิ้นหวังและเหน็ดเหนื่อย

แต่ก็เป็นในตอนนี้เอง อยู่ๆ เขาก็พบว่า ในที่นี้พลันมีคนหัวเราะขึ้นมา

ไม่ถูก ถ้าพูดให้ถูกคือมีคนสองคนหัวเราะขึ้นมา

คนที่หัวเราะขึ้นมาก่อนคือหลิวชิง เป็นเสียงหัวเราะที่น่าประหลาด

คนที่หัวเราะหลังจากนั้นคือซูหลี เขาหัวเราะอย่างปลงอนิจจัง อารมณ์ก็มีความซับซ้อน

ทำไมทั้งสองถึงหัวเราะออกมา สถานการณ์ได้ถูกใครควบคุมเอาไว้กันแน่

และในตอนที่กระบี่ของหลิวชิงมิได้แทงเข้าไปในร่างของซูหลี แต่ในวินาทีที่แทงเข้าไปในเงาร่างของจูลั่วนั้น…

ในที่สุดทั้งหมดก็มีคำตอบออกมาแล้ว