บทที่ 1133 หัวเขียวเป็นทุ่งหญ้าจนม้าจะขึ้นมาวิ่งอยู่แล้ว / บทที่ 1134 มาสาย

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 1133 หัวเขียวเป็นทุ่งหญ้าจนม้าจะขึ้นมาวิ่งอยู่แล้ว

เช้าวันต่อมา เยี่ยหวันหวั่นตื่นเพราะฝันร้าย

เหงื่อเย็นซึมไปทั่วร่างกาย ลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง

เธอฝันน่ากลัวมาก! น่ากลัวมากจริงๆ!

เอ๊ะ? ซือเยี่ยหานล่ะ?

ถังถังก็ไม่อยู่…

ซือเยี่ยหานกับถังถังคงตื่นแล้ว ไม่มีใครอยู่เลย

เยี่ยหวันหวั่นลนลาน รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น วิ่งลงไปชั้นล่างโดยไม่ทันใส่รองเท้าด้วยซ้ำ

“โอ๊ย!!!”

เพราะรีบเกินไป ตอนวิ่งลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายจึงก้าวพลาด ทำให้ล้มคะมำไปข้างหน้า

ทั้งที่เห็นอยู่ว่าต้องล้มกระแทกพื้นอย่างแน่นอน แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บเหมือนที่เตรียมใจไว้ อ้อมกอดเย็นๆ รับเธอไว้ได้ทันเวลา

เอกสารในมือซือเยี่ยหานกระจายเต็มพื้น ใบหน้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธ “เดินดีๆ! จะรีบวิ่งไปไหน?”

พอเห็นเธอวิ่งเท้าเปล่า สีหน้าของซือเยี่ยหานก็ยิ่งบึ้งตึง “ทำไมไม่ใส่รองเท้า?”

เยี่ยหวันหวั่นโดนด่าจนคอหด เธอทำหน้าตาน่าสงสาร “ฮือ…ฉันฝันร้าย…”

สวี่อี้ที่ยืนรายงานเรื่องงานอยู่ข้างซือเยี่ยหานเห็นอย่างนั้นก็รีบหยิบรองเท้าคู่หนึ่งยื่นให้ทันที

หลังจากวางรองเท้าลง สวี่อี้ก็รีบถอยห่าง พยายามทำตัวเหมือนอากาศธาตุให้มากที่สุด

คุณหนูหวันหวั่นเวลาเมากับไม่เมานี่แทบจะเป็นคนละคนเลย เหล้าเข้าปากทีไรแทบจะเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่พอสร่างเมาแค่ลงบันไดก็ยังลื่นล้มได้…

ซือเยี่ยหานประคองหญิงสาว ช่วยเธอใส่รองเท้า สีหน้าอ่อนลงหลายส่วน “ความฝันไม่ใช่เรื่องจริง”

เยี่ยหวันหวั่นเม้มปาก แล้วจ้องหน้าซือเยี่ยหานเขม็ง ราวกับกำลังมองหน้าผู้ชายเจ้าชู้ จากนั้นก็พูดประชดประชัน “ไม่จริง มันสมจริงมากเลยนะ! สมจริงมากๆ! ฉันฝันเห็นคุณแต่งงาน แต่งงานกับผู้หญิงตั้งหลายคน มีเมียเป็นฮาเร็มเลยนะ! ฉันจะตีพวกนั้น แต่คุณก็ไม่ยอม แล้วยังมาด่าฉันอีก! ให้ตายเถอะ ฉันโดนสวมหมวกเขียวหลายใบจนหัวเขียวเป็นทุ่งหญ้า ม้าจะขึ้นมาวิ่งเล่นได้อยู่แล้ว! น่าโมโหชะมัด!”

ซือเยี่ยหานพูดอะไรไม่ออก

สวี่อี้ที่ยืนหลบมุมอยู่ไกลๆ ก็เช่นกัน

What? นี่เขากำลังได้ยินอะไรอยู่?

ซือเยี่ยหานนวดหัวคิ้วอย่างปวดหัว “วันๆ เอาแต่คิดไร้สาระอะไรอยู่?”

เยี่ยหวันหวั่นกอดซือเยี่ยหานแน่น “ไม่ใช่เรื่องจริงจริงๆ ใช่ไหม? ทำไมมันถึงได้รู้สึกเหมือนจริงมากเลยล่ะ? ฉันยังฝันว่าโดนพวกนั้นไล่ตีด้วยนะ! แล้วพอตื่นก็รู้สึกปวดไปทั้งตัวเลย!”

ตรงมุมห้อง สวี่อี้เบิกตากว้าง ทำสีหน้าเศร้าเสียใจ

คุณหนูหวันหวั่น ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!

ฝันยังไงถึงได้สลับดำให้กลายเป็นขาวอย่างนั้น?

คุณหนูเป็นคนไล่ซ้อมพวกผมอยู่ฝ่ายเดียวเลยนะครับ?

ที่รู้สึกปวดไปทั้งตัวนั่นก็เพราะคุณหนูออกแรงไล่ซ้อมพวกผมอยู่ฝ่ายเดียวต่างหาก…

ซือเยี่ยหานทำได้เพียงปลอบใจเธอไปตามสถานการณ์ “ไม่ใช่เรื่องจริง”

เยี่ยหวันหวั่นสีหน้าอ่อนลง ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็ทำท่าคอตกอีกครั้ง “ฮือ…ที่เสียใจที่สุดก็คือ ฉันยังฝันว่า! ฝันว่าถังถังไม่ต้องการฉันแล้ว ฮือออ…”

ซือเยี่ยหานกุมหน้าผาก ไม่รู้จะพูดยังไงดี

นี่คือฝันร้ายที่เธอพูดถึงงั้นเหรอ?

ถังถังที่เพิ่งกลับมาจากพาต้าไป๋เดินเล่นในสวน ได้ยินคำพูดเยี่ยหวันหวั่นพอดี

เด็กน้อยยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเพิ่งได้สติ รีบวิ่งสับเท้าเข้ามา “แม่ครับ! ถังถังไม่เคยไม่ต้องการแม่เลยนะครับ!”

เยี่ยหวันหวั่นเอ่ย “จริงเหรอ? แต่แม่ฝันว่าถังถังไม่ต้องการแม่แล้ว! ถังถังไม่มีทางไม่ต้องการแม่ แล้วก็ไม่มีวันลืมแม่ใช่ไหม?”

เบบี๋ถังถังทำหน้าสับสน เหมือนว่าแม่ต่างหากที่เมาแล้วลืมเขา ไม่ใช่เหรอ?

เด็กน้อยพยักหน้าแรงๆ “ครับ แม่จะเป็นแม่ของถังถังตลอดไป! ถังถังไม่มีวันลืมแม่แน่นอน! ขอโทษนะครับ ถังถังทำให้แม่เสียใจในฝัน!”

สวี่อี้ที่ยืนหลบมุมอยู่ไกลๆ ถึงกับพูดไม่ออก

เอาละ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเยี่ยหวันหวั่นได้นิสัยเอาแต่ใจนี้มาจากที่ไหน…

————————————————————–

บทที่ 1134 มาสาย

เรื่อง ‘เป็นหรือตาย’ ปิดกล้องอย่างเป็นทางการ นั่นหมายความว่าต่อไปเยี่ยหวันหวั่นมีเรื่องต้องทำมากขึ้น

ช่วงสุดท้ายจะเป็นช่วงที่ยุ่งกับการโปรโมทที่สุด ต่อจากนี้เธอต้องพาลั่วเฉินกับกงซวี่วิ่งเต้นเพื่อไปยังเมืองต่างๆ เพื่อการโปรโมทหนัง

โชคดีที่ทางเจียงเยียนหรานมีต้นไม้ใหญ่อย่างผู้กำกับเผิงเป็นที่พึ่ง เธอแทบไม่ต้องเป็นห่วง ไม่อย่างนั้นถึงเธอจะมีมืองอกเพิ่มมาอีกก็คงไม่พอ

“ฉันไปทำงานก่อนนะ!” เยี่ยหวันหวั่นรีบกินข้าวเช้าจนเสร็จ จากนั้นก็บอกลาถังถังกับซือเยี่ยหาน

ถังถังส่งแม่ไปทำงานอย่างว่าง่าย จากนั้นก็พาต้าไป๋ออกไปเดินเล่น

ในห้องหนังสือ

ซือเยี่ยหานเหลือบมองเอกสารกองหนึ่งที่สวี่อี้เพิ่งจะนำมาส่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย

คนที่อยู่เบื้องหลังซือหมิงหลี่ ซ่อนตัวอยู่ลึกกว่าที่เขาคิดไว้มาก

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สวี่อี้ก็ถามหยั่งเชิงว่า “คุณชายเก้าครับ เป็นไปได้ไหมครับว่าจะเป็น…คุณชายใหญ่?”

ซือเยี่ยหานเอ่ย “ไม่ใช่เขา”

ฟังจากน้ำเสียงของซือเยี่ยหาน กลับเหมือนไม่เคยสงสัยว่าในตัวคุณชายใหญ่กับซือเซี่ยเลยแม้แต่น้อย

สวี่อี้ไม่เคยเข้าใจเลยว่าเพราะอะไร

ตามหลักแล้ว ซือป๋ออี้ที่เป็นพี่ชายคนละแม่ของซือเยี่ยหานควรจะเป็นผู้ต้องสงสัยหลัก ฝ่ายนั้นก็มีความเคลื่อนไหวลับๆ ค่อนข้างมากด้วย ถึงแม่ซือป๋ออี้จะดูอ่อนแอและไร้ประโยชน์ แต่ลูกชายเขาซือเซี่ยกลับมีความสามารถไม่เบา

แต่ว่าซือเยี่ยหานกลับไม่เคยสงสัยซือเซี่ยเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ตรงกันข้ามกลับดูแลเขาเป็นอย่างดีอีกต่างหาก

เดิมทีซือเซี่ยค่อนข้างเป็นปฏิปักษ์กับซือเยี่ยหานซึ่งเป็นอาเก้าของเขา มักจะชอบหาเรื่อง แต่ครึ่งปีมานี้ เขากลับสงบเสงี่ยมขึ้นมาก กระทั่งไม่ค่อยมาให้เห็นหน้านัก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

……

คงเพราะชาแก้เมาที่ดื่มไปเมื่อคืนได้ผลมาก พอตื่นขึ้นมาเยี่ยหวันหวั่นรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาก ไม่รู้สึกปวดหัว แล้วก็ไม่คลื่นไส้ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็รีบมุ่งหน้าไปประชุมที่บริษัททันที

ต้องคอนเฟิร์มขั้นตอนการโปรโมทในช่วงต่อจากนี้กับทุกคนให้เร็วที่สุด

ระหว่างทางรถค่อนข้างติด กว่าเยี่ยหวันหวั่นจะไปถึงก็สายนิดหน่อยแล้ว ในห้องประชุม เยี่ยมู่ฝานกับคนอื่นๆ เริ่มมากันครบแล้ว

เยี่ยหวันหวั่นมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ พลางเปิดประตูเข้าไปอย่างเร่งรีบ “ขอโทษที มาสายไปหน่อย…”

เสี้ยววินาทีที่เยี่ยหวันหวั่นเปิดประตูเข้าไป เสียงโครมดังสนั่น กงซวี่ที่นั่งอยู่ใกล้ทางเข้าที่สุดตกจากเก้าอี้ทันที

กงซวี่จ้องหน้าเธออย่างอกสั่นขวัญแขวน จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนเจอผี เอาแต่นั่งกอดขาเก้าอี้ เพื่อหลบหน้าเยี่ยหวันหวั่น

ไม่ใช่แค่กงซวี่ เฟ่ยหยาง กับลั่วเฉินและคนอื่นๆ พอเห็นหน้าเธอก็พากันถอยหนี

เยี่ยมู่ฝานที่ยืนอยู่บนเวทีก็ยังถอยหลังติดหน้าต่างด้วยสีหน้าตื่นกลัว

เยี่ยหวันหวั่นประหลาดใจ “ทุกคนเป็นอะไรไป? เห็นผีหรือไง?”

สีหน้าของทุกคนในห้องประชุม “…”

พวกเขายอมเจอผีซะดีกว่า!

เยี่ยหวันหวั่นสาวเท้าไปทางกงซวี่ เอื้อมมือออกไปตั้งใจจะดึงกงซวี่ให้ลุกขึ้น “ทำไมนั่งอยู่ดีๆ ก็ล้มลงไปได้?”

“พะ…พี่อย่าเข้ามานะ อ๊าก!!!”

มือของเยี่ยหวันหวั่นยังไม่ทันแตะตัวเขา กงซวี่ก็กรีดร้องเสียงหลงขึ้นมา

เยี่ยหวันหวั่นมองกงซวี่ที่ทำหน้าเหมือนสาวน้อยโดนรังแก “นายเป็นอะไรไป?”

กงซวี่รีบคลานไปหลบหลังเก้าอี้ลั่วเฉิน แล้วชะโงกหน้าออกมาอย่างระมัดระสัง “พี่เยี่ย…พะ…พี่สร่างเมารึยัง?”

เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้ว “สร่างแล้วสิ หลับไปตั้งตื่นหนึ่งแล้ว จะไม่สร่างได้ไง”

กงซวี่ถาม “มั่นใจใช่ไหม?”

ไม่ใช่แค่กงซวี่ ทุกคนต่างก็มองหน้าเธอเหมือนยังกลัวไม่หาย

เยี่ยหวันหวั่นทำหน้างง “ทุกคนเป็นอะไรไปกันแน่เนี่ย?”

กงซวี่ไม่กล้าพูด คนอื่นๆ ก็มองหน้ากันเลิกลัก

เยี่ยหวันหวั่นเลยทำได้เพียงหันไปทางลั่วเฉิน “ลั่วเฉิน นายมานี่ นายอธิบายมา!”

……………………………..