บทที่ 2093+2094

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2093 แล้วทำไมไม่ลงมาเองล่ะ?

สองคนนี้เกิดเรื่องอึดอัดอันใดขึ้น?

อวี่หังเจินเหรินกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง

“เนี่ยนโม่ เมื่อก่อนเป็นความผิดของผู้เฒ่าเอง ไม่ทันรู้ชัดก็ด่วนสรุปไปแล้ว ทำให้แม่นางกู้ได้รับความอยุติธรรม อันที่จริงแม่นางกู้ยอดเยี่ยมนัก นาง…”

นี่คือคิดจะจับคู่แล้ว

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ ขณะที่กำลังจะพูดอะไร ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยอย่างเฉยชาว่า

“แม่นางกู้ท่านนี้เป็นแม่นางที่ยอดเยี่ยมจริงๆ มีความรับผิดชอบในการทำงานยิ่งนัก เปิ่นกงก็ชื่นชมนางอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ก็เพียงเท่านั้น”

อวี่หังเจินเหรินพูดไม่ออกแล้ว

กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไรเช่นกัน ตี้ฝูอีขีดเส้นความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับเธอให้ชัดเจนแล้ว เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ในใจถึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง…

อวี่หังเจินเหรินยังคิดจะพูดอะไรต่อ ทว่าตี้ฝูที่กลับเงยหน้าขึ้นฟ้าไปแล้วเอ่ยว่า

“หลิงเอ๋อร์ ลงมาเถอะ เจ้าคิดจะดูอยู่ข้างบนไปถึงเมื่อไหร่?”

หลิงเอ๋อร์? ใครกัน?

กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ คนทั้งหลายก็เงยหน้าตาม

หมู่เมฆาบนนภาค่อยๆ แยกออก เผยให้เห็นเงาร่างดรุณีผู้หนึ่ง ดรุณีนางนั้นขี่อยู่บนมังกรเจียวสีเงินตัวหนึ่ง รอบกายมังกรเจียวเปล่งแสงสีเงินวิบวับ ดรุณีนางนั้นสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนพลิ้วไหว

นิ้วมือของกู้ซีจิ่วที่ถือถ้วยชาอยู่พลันแข็งทื่อ มองไปที่ตี้ฝูอีตามสัญชาตญาณ

วันนี้ตี้ฝูอีก็สวมชุดสีเขียวอ่อนเหมือนกัน รูปทรงสีสันละม้ายคล้ายคลึงกับชุดกระโปรงของดรุณีนางนั้น มีเจตนาสื่อว่าเป็นชุดคู่รักยิ่งนัก

ดรุณีนางนั้นร่อนลงมาจากหลังมังกรเจียวสีเงินทันที

“ฝูอี เจ้ายังจัดการธุระไม่เสร็จหรือ?”

ดรุณีนางนั้นดูเยาว์วัยยิ่งนัก เสมือนสาวน้อยวัยสิบเจ็ดสิบแปดของแดนมนุษย์

และงดงามมาก นัยน์ตาโต ริมฝีปากจิ้มลิ้ม ผิวเนียนใสดังหยก ขนงคิ้วดุจวาดแต้ม

ดวงตานางใสพิสุทธิ์ดุจวารี มีความน่ารักและไร้เดียงสาอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กสาว ทำให้คนรู้สึกยินดีตั้งแต่แรกเห็น อยากดูแลปกป้องนาง…

เสียงของนางก็ใสกระจ่างยิ่งนัก ยามที่เอ่ยวาจาปานมีคนสั่นกระพรวนเงิน

วรยุทธ์ของดรุณีนางนี้ไม่สูงนัก เพิ่งแตะขั้นเสินจวิน บนแท่นหยกนี้เต็มไปด้วยซ่างเซียน แม้แต่วรยุทธ์ของนางกำนัลที่เทียวไปเทียวมาเพื่อจัดส่งสุราอาหารก็ยังสูงกว่านางระดับหนึ่ง

โดยทั่วไปแล้วเมื่อเซียนที่มีระดับต่ำต้อยเกินไปมาที่นี่จะเกิดความประหม่าวิตก ทว่าดรุณีนางนี้กลับวางตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ยิ้มแย้มดุจบุปผาให้ตี้ฝูอี

ตี้ฝูอีลุกขึ้น จูงมือนางมาแล้วให้นางนั่งลง

“รออยู่ข้างบนจนร้อนใจแล้วหรือ? แล้วทำไมไม่ลงมาเองล่ะ?”

ดรุณีนางนั้นยิ้มละไม

“ข้าไม่กล้านี่นา ข้ากลัวถูกเจ้าดุ”

“เด็กโง่ ข้าจะดุเจ้าได้ยังไง มาเถอะ มาพบคนที่นี่ และพบสหายของข้าด้วย”

น้ำเสียงตี้ฝูอีอ่อนโยน ในสุ้มเสียงเจือความถนอมเอ็นดูไว้ แนะนำคนบนแท่นหยกเหล่านี้แก่นาง

จักรพรรดิเซียน สิบปรมาจารย์ น้องเจี้ยนอันผู้นั้น แล้วก็กู้ซีจิ่ว…

ดรุณีนางนั้นคารวะไปทีละคน มีมารยาทยิ่งนัก และไม่เย่อหยิ่งไม่ถ่อมตัวจนเกินไป

โอรสแห่งเทพมารผู้นี้เคยแนะนำผู้อื่นอย่างใหญ่โตเสียที่ไหนกัน?

ท่าทีที่ตี้ฝูอีปฏิบัติต่อดรุณีนางนี้ถ้ามีตาก็มองออกว่าเป็นอย่างไร ชัดเจนนักว่าเขาชอบดรุณีนางนี้ยิ่ง…

จักรพรรดิเซียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“เนี่ยนโม่ ท่านนี้คือ?”

“จิ่นหลิงเอ๋อร์ เพิ่งโบยบินขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อน ถูกชะตากับข้าตั้งแต่แรกพบ และเป็น…สหายสนิทของข้า วันหน้านางจะท่องไปในแดนพ้นโศกแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะช่วยดูแลให้มากหน่อย”

ตี้ฝูอีแนะนำให้รู้จัก

“แน่นอนอยู่แล้ว” จักรพรรดิเซียนยิ้มนิดๆ เพ่งพิศจิ่นหลิงเอ๋อร์ผู้นั้นหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง

“แม่นางท่านนี้มีพรสวรรค์สูงนัก เพิ่งโบยบินขึ้นมาก็บำเพ็ญจนบรรลุขั้นเสินจวินได้แล้ว! ภายหน้าชะตารุ่งโรจน์ หลิงเอ๋อร์อายุเท่าใดแล้ว?”

“น่าจะร้อยยี่สิบปีกระมัง ขออภัยเพคะ หม่อมฉันลืมเลือนเรื่องในอดีตไปหมดแล้ว จำได้เพียงเลือนรางว่าน่าจะอายุเท่านี้”

“ไม่เลวเลย!”

จักรพรรดิเซียนเอ่ยชม

————————————————————————————-

บทที่ 2094 แล้วทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วย?

เหล่าเซียนที่เพิ่งโบยบินขึ้นมาล้วนต้องถูกลบความทรงจำ กฎข้อนี้ถึงแม้จะเปลี่ยนจักรพรรดิเซียนองค์ใหม่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

ดังนั้นเรื่องที่จิ่นหลิงเอ๋อร์ลืมเลือนอดีตก็สมเหตุสมผลแล้ว

จักรพรรดิเซียนเอ่ยชมเชยเช่นนี้ ทุกคนย่อมเออออห่อหมกตาม

สายตาของทุกคนมองไปที่กู้ซีจิ่วอย่างเงียบๆ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเป็นตัวเอกหลักในข่าวซุบซิบที่โด่งดังที่สุด แม้ว่าจะอธิบายที่นี่ไปหมดแล้ว แต่ทุกคนก็ยังอดใจไม่อยู่อยากจะเห็นท่าทีของเธอ

กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ตรงนั้นตลอด ในมือกุมถ้วยชาไว้ มองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้ม ไม่เห็นเธอมีท่าทางผิดปกติใดๆ เลย

ในที่สุดตี้ฝูอีก็จูงจิ่นหลิงเอ๋อร์มาถึงเบื้องหน้าเธอ ยิ้มบางๆ แล้วแนะนำสตรีทั้งสองให้รู้จักกัน

“หลิงเอ๋อร์ นางคือกู้ซ่างเซียน วรยุทธ์ร้ายกาจยิ่งนัก วันหน้าระหว่างฝึกฝนถ้าเจ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ สามารถขอคำชี้แนะจากนางได้ แม้กระทั่งเปิ่นกง ก็เคารพนางเสมือนอาจารย์เช่นกัน”

จิ่นหลิงเอ๋อร์คารวะกู้ซีจิ่วอย่างสดใส

“ยินดีที่ได้พบกู้ซ่างเซียน”

กู้ซีจิ่วยื่นมือไปพยุงนางขึ้น

“หลิงเอ๋อร์ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ เจ้าเป็นสหายของเนี่ยนโม่ ย่อมเป็นสหายของผู้ทรงศักดิ์เช่นข้าด้วย”

เธอคิดแวบหนึ่ง หยิบกำไลแก้วผลึกวงหนึ่งออกมาจากร่างแล้วส่งให้ถึงมือหลิงเอ๋อร์

“เหตุการณ์ฉุกละหุก ไม่ได้เตรียมของขวัญใดไว้เลย ขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญแรกพบหน้า”

กำไลวงนั้นกระจ่างแวววาว ทอแสงวิบวับเลือนราง เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ที่สำคัญคือมันน่ามองอย่างยิ่ง!

ยามที่จิ่นหลิงเอ๋อร์ถือมันไว้ มือขาวผ่องประดับด้วยกำไลห้าสี เข้าคู่กันจนน่าตกใจ งดงามชวนตะลึง

เห็นได้ชัดว่าจิ่นหลิงเอ๋อร์ชมชอบยิ่งนัก นางถือกำไลแล้วมองไปที่ตี้ฝูอี ตี้ฝูอีจ้องกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง หันไปกล่าวกับจิ่นหลิงเอ๋อร์

“รับไว้เถอะ กู้ซ่างเซียนชอบแจกกำไลให้ผู้อื่น เปิ่นกงก็เคยได้รับจากนางวงหนึ่งเหมือนกัน”

จิ่นหลิงเอ๋อร์ถึงได้เอ่ยขอบคุณคำหนึ่ง ถือกำไลไว้อย่างปรีดา แล้วสวมลงบนข้อมือ

ปฏิสัมพันธ์ของทั้งสามคนนี้ ย่อมอยู่ในสายสายของทุกคน

ทุกคนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า

หากว่าก่อนหน้านี้ทุกคนยังคงแคลงใจในคำพูดของกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง ยามนี้ความแคลงใจทั้งหมดได้มลายไปแล้ว

ภายในใจของสิบปรมาจารย์บรรยายรสชาติไม่ถูกยิ่งนัก อวี่หังเจินเหรินและเฟิงชิงซ่างเหรินยิ่งมองหน้ากันเหลอหลา พวกเขายังไม่ลืมเรื่องที่ตี้ฝูอีแตกหักกับพวกเขาเพื่อกู้ซีจิ่ว…

หากเขาเห็นนางเป็นเพียงสหายธรรมดา แล้วทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วย?

บางทีกู้ซีจิ่วอาจจะมองเขาเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง เอ่ยวาจาเหล่านั้นไปด้วยความโกรธ คงมิใช่ว่ายามนั้นก็กล่าวกับตี้ฝูอีไปด้วยความโกรธชั่วขณะด้วยเช่นกันกระมัง?!

หรืออย่างไรเสียเขาก็เป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง อารมณ์รักใคร่มาไว และไปไวเช่นกัน อีกฝ่ายไม่มีความรู้สึกต่อเขา เห็นเขาเป็นเพียงเป้าหมายภารกิจ เขาจึงตัดใจอย่างสมบูรณ์ พบรักใหม่รวดเร็วยิ่ง?

อันที่จริงแล้ว จิ่นหลิงเอ๋อร์ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ด้อยกว่ากู้ซีจิ่วมากนัก…

แววตาจักรพรรดิเซียนโชนแสงเล็กน้อย มองคนนั้นที มองคนนี้ที ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า

“หาได้ยากนักที่ทุกคนจะมาชุมนุมกันพร้อมหน้าเช่นนี้ พวกเราสมควรต้องดื่มสังสรรค์กันสักหน่อยแล้ว”

เหล่าเซียนพากันตอบรับ ทว่ากู้ซีจิ่วไม่มีแก่ใจจะดื่มสุราแล้ว ในใจเธอค่อนข้างว้าวุ่น อยากกลับไปนอนพัก ขณะที่เธอจะขอตัวอำลา ตี้ฝูอีก็เปิดปากเอ่ยขึ้นก่อนแล้ว

“ฝ่าบาท วันนี้เปิ่นกงมาที่นี่เป็นแค่การแวะมาเท่านั้น ยังมีธุระอื่นต้องไปจัดการต่อ รั้งอยู่นานไม่ได้ ขออำลาแล้ว หลิงเอ๋อร์ ไปกันเถอะ”

จิ่นหลิงเอ๋อร์เพิ่งจะได้โอกาสสนทนากับผู้อื่น ถือลูกท้อผลหนึ่งไว้ในมือ กำลังจะกัดเข้าไป เมื่อได้ยินตี้ฝูอีกล่าวเช่นนี้ นางก็ไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ยังคงตอบว่า

‘อื้อ’

คำหนึ่งอย่างว่างายแล้วเดินไปอยู่ข้างกายเขา

ทั้งสองคนเดินเคียงกันจากไป เงาหลังดูเข้าคู่กันยิ่ง

จิ่นหลิงเอ๋อร์มีชีวิตชีวานัก อยู่ข้างกายตี้ฝูอีแล้วยิ่งดูคล้ายเด็กน้อยคนหนึ่ง

………………