บทที่ 2095+2096

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2095 แล้วในอดีตตนสดใสหรือไม่?

กระโดดโลดเต้นไป เดินก็ไม่ตรงทางนัก ไม่ทราบว่าเท้านางไปสะดุดถูกสิ่งใดเข้า จึงซวนเซ เกือบจะล้มใส่ร่างของตี้ฝูอีที่อยู่ข้างกายแล้ว ตี้ฝูอีพยุงนางเอาไว้

“ระวังหน่อย”

“เข้าใจแล้ว”

ตี้ฝูอีเรียกไป๋เจ๋อมา จิ่นหลิงเอ๋อร์ก็ขึ้นขี่เจียวเงิน ทั้งสองทะยานผ่านนภาไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นจุดสีเงินสองจุดบนฟากฟ้า

“ไม่นึกว่าฝ่าบาทเนี่ยนโม่ก็มีช่วงเวลาที่ดูแลเอาใจใส่เด็กสาวเช่นนี้ด้วย”

“เด็กสาวนางนี้มีโชคนัก ดูเหมือนฝ่าบาทเนี่ยนโม่จะชมชอบนางด้วยใจจริง”

“จะว่าไป…ถึงแม้ฝ่าบาทเนี่ยนโม่จะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้ใหญ่ แต่อย่างไรเขาก็อายุเพียงหกขวบกระมัง? อายุแค่นี้ก็คบหาเด็กสาวแล้ว…”

“เจ้าจะไปรู้อะไร ฝ่าบาทเนี่ยนโม่เป็นโอรสแห่งเทพมาร ได้ยินว่าในตอนนั้นองค์มหาเทพอายุได้ขวบเดียวก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฝ่าบาทเนี่ยนโม่เป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ พลังยุทธ์ก็ฝึกฝนจนบรรลุขั้นจินเซียนแล้ว ต่อให้แต่งงานก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน”

ฝูงชนพากันกระซิบกระซาบพูดคุยอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเห็นกู้ซีจิ่วเป็นที่น่าขบขันอีกแล้ว

มีเพียงจักรพรรดิเซียนที่มองเธออยู่หลายครา

กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ตรงนั้น ในหัวมีเสียงสนทนาของคนสองคนแว่วขึ้น

‘เด็กน้อย เจ้ายังเด็ก อย่าคิดลามกเช่นนี้เลย’

‘ไม่อนุญาตให้เรียกข้าว่าเด็กน้อย! ข้ายังเป็นเด็ก แล้วท่านมาตามตื๊อข้าทำไม?’

‘ข้าชอบแม่นางน้อย…’

‘โรคจิต!’

บทสนทนาที่แว่วขึ้นมากะทันหันนี้ ทำให้จิตใจของเธอล่องลอยไปชั่วขณะ

เธอรู้ดี นี่คือบทสนทนาในอดีตของเธอกับหวงถู

ที่แท้ในตอนนั้นหวงถูก็ชมชอบแม่นางน้อยเช่นกัน…

ความจริงแล้วเหล่าบุรุษล้วนชมชอบแม่นางน้อยที่สดใสร่าเริงกระมัง?

ตี้ฝูอีก็คล้ายว่าจะเป็นเช่นเดียวกัน จิ่นหลิงเอ๋อร์ผู้นี้ก็สดใสยิ่งนัก…

แล้วในอดีตตนสดใสหรือไม่?

กู้ซีจิ่วหวนนึกถึงทุกสิ่งที่ตนกระทำในช่วงหลายปีนั้น ดูเหมือนจะไม่สดใสจริงๆ นิสัยเธอค่อนข้างสุขุมเยือกเย็น ชอบชังล้วนไม่แสดงออก ช่วงที่เสียกริยามีน้อยยิ่งนัก ช่วงเวลาที่ใสซื่อไร้เดียงสายิ่งมีน้อยกว่า

ดูเหมือนตั้งแต่เป็นนักฆ่า ความใสซื่อไร้เดียงสากับตัวเธอก็สิ้นวาสนาต่อกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เธอยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ไม่ทันสังเกตว่าชานั้นร้อนไปหน่อย เธอดื่มเข้าไปอึกหนึ่งก็ร้อนจนโดนลวก สำลักออกมาสองครา

มีน้ำผลไม้ถ้วยหนึ่งยื่นมาจากด้านข้าง

“เอ้า ใช้สิ่งนี้ดับร้อนสิ”

กู้ซีจิ่วรับมา ดื่มเข้าอึกหนึ่ง น้ำผลไม้เย็นฉ่ำ ดับความรู้สึกแสบร้อนในปากเธอได้ดียิ่ง

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

กู้ซีจิ่วเอ่ยขอบคุณ

“กู้ซ่างเซียน เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก”

จักรพรรดิเซียนยิ้มน้อยๆ

“เป็นอย่างไร? ยังร้อนอยู่ไหม?”

“ดีขึ้นแล้วเพคะ”

แผลลวกเล็กน้อยเช่นนี้สำหรับกู้ซีจิ่วแล้วไม่นับว่าเป็นอย่างไรเลย เธอโคจรพลังวิญญาณเล็กน้อย ชักนำมาที่ปลายลิ้นรอบหนึ่ง ตุ่มที่พองขึ้นมาเพราะถูกลวกก็ยุบหายไปแล้ว

“ซีจิ่ว นับจากวันนี้ไปเจ้าวางแผนไว้อย่างไร?”

จักรพรรดิเซียนถามเธอ จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยเสริมอีกประโยค

“อายุเจ้าไม่มาก ข้าเรียกชื่อเจ้าไม่ถือสากระมัง?”

กู้ซีจิ่วย่อมไม่ถือสาอยู่แล้ว

“ตามแต่ประสงค์ของฝ่าบาท วันหน้า…ฝ่าบาท เงื่อนไขของพระองค์หม่อมฉันทำได้แล้ว แล้วฝ่าบาทจะปล่อยตัวแม่ทัพหลงเมื่อใด?”

“วางใจเถิด เราส่งคนไปปล่อยตัวแม่ทัพหลงแล้ว ตอนนี้คาดว่าคงกลับจวนไปแล้ว เจ้ากลับไปก็ไปพบเขาได้เลย”

กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แล้วข้อหาของเขาเล่า?”

“เขาเป็นคนของเรา เราย่อมอรู้ดีว่าเขามิได้มีใจคิดคด ลบล้างข้อหาให้เขาแล้ว”

“ที่แท้ฝ่าบาทก็จับเขาเพื่อต่อรองกับหม่อมฉัน”

“ขออภัยด้วย”

จักรพรรดิเซียนยอมรับอย่างว่องไวยิ่ง

“ซีจิ่ว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เราก็ไม่เข้าใจเจ้า เกรงว่าฝ่าบาทเนี่ยนโม่จะเสียหาย ดังนั้นถึงได้ใช้แผนที่โง่เขลาเช่นนี้ อภัยให้เราด้วย มาเถอะ เราจะลงโทษตัวเองสามจอกเป็นอย่างไร?”

ฝ่าบาทผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา กู้ซีจิ่วค่อนข้างชื่นชมเขาอยู่บ้าง จึงรับคำขอโทษของเขา

————————————————————————————-

บทที่ 2096 เจ้าเป็นเช่นนี้ก็น่าเอ็นดูยิ่งนัก

เธอนึกถึงอวิ๋นเยียนหลีขึ้นมา องค์ชายผู้นั้นก็เป็นบุคคลที่มีความสามารถกระทำการใหญ่ได้ เพียงน่าเสียดายที่โชคไม่ดี…

เธอดื่มสุราไปอีกสองจอก แล้วลุกขึ้นขอตัวลา จักรพรรดิเซียนเอ่ยขึ้นว่า

“ซีจิ่ว เรายังมีเรื่องส่วนตัวจะหารือกับเจ้า หลังจากจบงานเลี้ยงผกาเซียนแล้ว เจ้ามาหาเราที่ห้องอักษรหน่อยเถิด”

กู้ซีจิ่วเอ่ยทีเล่นทีจริง

“ฝ่าบาทคงมิได้คิดจะลอบทำร้ายหม่อมฉันกระมัง?”

จักรพรรดิก็ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

“เรายังหวงแหนชีวิตอยู่นะ!”

กู้ซีจิ่วสนทนากับจักรพรรดิเซียนอีกสองสามประโยค รู้สึกว่าฝ่าบาทผู้นี้นิสัยผ่าเผยใจกว้าง กล้าทำกล้ารับ เป็นนิสัยที่เข้ากันได้ดีกับเธอ

เมื่อก่อนเธอเห็นจักรพรรดิเซียนเป็นเพียงจักรพรรดิแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำตัวเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง

ยามนี้กลับรู้สึกว่าคนผู้นี้ความจริงแล้วน่าคบหายิ่งนัก มิน่าเล่าปีนั้นคู่มหาเทพสามีภรรยาถึงผลักดันให้เขาได้ครองบัลลังก์…

ทั้งสองคนร่ำสุรากันไปไม่กี่จอก จู่ๆ จักรพรรดิเซียนก็มองนางแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“ซีจิ่ว เจ้าซ่อนเร้นความรู้สึกได้ดีเหลือเกิน…เจ้าที่เป็นเช่นนี้ช่างคล้ายกับคนผู้หนึ่งโดยแท้”

กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง เลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม

“หืม? คล้ายผู้ใด?”

“จอมมารหนิงเสวี่ยโม่ มารดาของเนี่ยนโม่…”

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย

จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวใจ ที่ก่อนหน้านี้เนี่ยนโม่หลงใหลในตัวเธอ คงไม่ใช่ปมโอดิปุส[1]กระมัง?!

ความคิดนี้เพิ่งจะแวบเข้ามา จู่ๆ พื้นใต้ฝ่าเท้าก็สั่นสะเทือนขึ้นมา!

กู้ซีจิ่วตกตะลึง

….

แผ่นดินไหว!

กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ณ แท่นหยกของชั้นฟ้าที่เก้า!

ซ้ำเป็นแผ่นดินไหวขั้นรุนแรงที่พบเห็นได้ยากยิ่งนัก!

หากประเมินระดับของแผ่นดินไหวในครั้งนี้ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้น่าจะเป็นระดับสิบในตำนาน!

ศาลาพลับพลาทั้งหลายล้วนพังทลายลงปานสร้างจากกระดาษ  เมฆรุ้งใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนเสมือนบ้าคลั่ง ราวกับฟ้าดินกำลังจะถล่มลงมา ผู้คนต่างทรงตัวยืนไม่อยู่แล้ว…

แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน เหล่าข้าหลวงนางกำนัลต่างล้มลุกคลุกคลาน แขกเหรื่อบนแท่นเสมือนใบไม้ที่โดนพายุพัดพา กระจัดกระจายกันไป…

แผ่นดินไหวครานี้ประหลาดนัก ในอากาศคล้ายเกิดแรงดึงดูดมหาศาลประการหนึ่ง ทำให้คนไม่อาจเหินบินขึ้นสู่นภาได้ ทำได้เพียงวิ่งไปบนพื้น

พสุธาใต้ฝ่าเท้าปริแยก ทุกคนล้วนพยายามหลบหนีสุดชีวิต…

กู้ซีจิ่วก็วิ่งหนีเช่นกัน ถึงอย่างไรเธอก็มีวรยุทธ์สูง ยามที่หลบหนีถึงขั้นที่ยังมีกำลังมากพอจะดึงนางกำนัลน้อยสองคนที่เกือบหล่นลงไปในรอยแยกไว้ ดึงพวกนางขึ้นมาได้…

ระหว่างที่เธอกำลังหนีอยู่ จู่ๆ พื้นใต้ฝ่าเท้าก็ปรากฏวังน้ำวนดำมืดหลุมหนึ่งขึ้น วังน้ำวนนี้โผล่ขึ้นมากะทันหัน ปรากฏใต้เท้าเธอเลย เธอไม่มีทางหลบได้ทัน รู้สึกเพียงว่าร่างกายพลันจมดิ่ง เบื้องหน้ามืดมิดในทันใด…

เดิมทีเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋ก็วิ่งหนีอยู่ไม่ห่างจากเธอนัก ยามที่หลุมดำนั้นปรากฏขึ้นจะร้องเตือนก็ไม่ทันการแล้ว สายตาพวกมันพลันพร่าเลือน เงาร่างของเจ้านายหายไปแล้ว…

….

“ฝ่าบาท ข้าน้อยสามารถกลับร่างเดิมได้หรือยัง?”

จิ่นหลิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนหลังเจียวเงินเอ่ยอย่างเหนียมอาย

ตี้ฝูอีเหลือบมองนางแวบหนึ่ง

“เจ้าเป็นเช่นนี้ก็น่าเอ็นดูยิ่งนัก”

จิ่นหลิงเอ๋อร์เกาหัว

“ฝ่าบาท!”

ไป๋เจ๋อก็หัวเราะออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่

“เถิงเสอ ดูเจ้าสิ ไม่น่าเชื่อว่าแต่งเป็นสตรีแล้วจะงดงามปานนี้ ข้าบอกเลยนะ ร่างมนุษย์ของเจ้างดงามอ่อนหวานนัก เจ้าไม่เห็นหรอกว่าตอนที่เจ้าร่อนลงไป สายตาที่ซ่างเซียนเหล่านั้นมองเจ้าช่าง…”

“เจ้าหุบปากนะ!”

จิ่นหลิงเอ๋อร์กล่าวอย่างดุดัน แล้วหันไปมองตี้ฝูอีอีกครั้ง

“ฝ่าบาท ข้าน้อยรู้สึกว่าละครฉากนี้จบลงแล้ว…”

ตี้ฝูอีเหม่อมองนภาดาษดาราที่อยู่ไกลออกไป

“ใช่แล้ว ละครจบแล้ว…นางไม่สนใจเลย…”

ไป๋เจ๋อกับจิ่นหลิงเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ไป๋เจ๋อถอนหายใจ

“ฝ่าบาทอยากกลับไปดูหรือไม่?”

ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเสียงหัวเราะเย้ยหยันหรือว่ามีความหมายอื่น

“ไม่จำเป็น! เปิ่นกงใช่ว่าจะขาดนางไม่ได้! เปิ่นกงไม่อยากพบนางอีกแล้ว! ไปได้แล้ว!”

ไป๋เจ๋อสบตากับเถิงเสอแวบหนึ่ง ทำได้เพียงตอบรับ

‘ครืนครืน!’ จู่ๆ ก็มีเสียงกึกก้องแว่วมาจาด้านหลัง

หนึ่งคนสองสัตว์หันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ มองเห็นอาคารบ้านเรือนที่อยู่ห่างไกลออกไป พังทลายถล่มลงมา…

เกิดอะไรขึ้น?!

……………….