ตอนที่ 412 จอมตะกละย่อมตายเพราะความตะกละ

วาสนาบันดาลรัก

“ฮูหยินข้ามาที่นี่” ยามหลัวเทียนเฉิงเอ่ยคำว่า ‘ฮูหยิน’ มุมปากของเขานั้นเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้นมาทันที

 

 

สตรีผู้นั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง

 

 

แม่ทัพหลัวในใจของนางนั้นเป็นบุรุษแกร่งกล้าผู้หนึ่ง ท่าทีเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

 

 

“แม่ทัพเหยาไปด้วยกันเถิด”

 

 

คนทั้งหลายต่างเอ่ยชวนนางอย่างพร้อมเพรียง เห็นชัดว่าสนิทสนมกับนางยิ่ง

 

 

สตรีผู้นั้นมองไปที่หลัวเทียนเฉิง “แม่ทัพหลัว เช่นนั้นข้าขอหน้าหนาไปกินข้าวด้วยสักมื้อแล้ว วันนี้องครักษ์ของข้าไปเจาะแผ่นน้ำแข็งบนแม่น้ำเมื่อเช้าได้กุ้งมากระบุงหนึ่ง แต่ละตัวยาวใหญ่เท่านิ้วมือได้ ยังเป็นๆ อยู่เลย”

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้ยินว่ามีกุ้งสดอยู่กระบุงหนึ่งก็ก้าวขาไม่ออกไปทันที

 

 

เจี๋ยวเจี่ยวมาที่เป่ยปิงนานเพียงนี้แล้ว นางกินเนื้อหมูติดมันทุกวัน แม้แต่ผักสดก็ไม่มี คงเบื่อแย่แล้ว นางต้องชอบกุ้งสดนี้อย่างแน่นอน!

 

 

“ได้สิ แม่ทัพเหยามากินด้วยกันเถิด”

 

 

คุณหนูเหยาเผยรอยยิ้มเจิดจ้าออกมา “ท่านรอประเดี๋ยว”

 

 

นางหมุนกายวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็วิ่งกลับมาดุจพายุ แล้วยื่นกุ้งในกระบุงให้คนทั้งหลายดูทั้งที่ยังหายใจหอบอยู่เล็กน้อย

 

 

คนทั้งหลายต่างร้องขึ้นด้วยความยินดี

 

 

หลัวเทียนเฉิงกวักมือเรียกคนผู้หนึ่ง “เอากระบุงใส่กุ้งนี้ไปให้ฮูหยินแล้วบอกนางว่าให้รอข้ากินข้าด้วยกัน”

 

 

ตอนที่เจินเมี่ยวได้รับกุ้งที่หลัวเทียนเฉิงให้คนมาส่ง นางถึงกับตาลุกวาว

 

 

ที่นี่มิได้ด้อยไปกว่าเมืองหลวงเลย มีอาหารและห้องอันอบอุ่น ทั้งยังมีน้ำพุร้อนด้วย ผลไม้และผักสดธรรมดาทั่วไปก็มีให้กินแม้จะเป็นยามเหมันต์

 

 

ตั้งแต่นางมาถึงที่นี่ หากมิใช่หมูตุ๋นวุ้นเส้นก็ผักดองหมูตุ๋น แม้มิได้รสชาติแย่ แต่อากาศหนาวเช่นนี้ แค่ยกขึ้นโต๊ะก็จับตัวเป็นไขเสียก่อน ดูแล้วไม่น่ากินเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต้องกินมันทุกวัน

 

 

แม้เจินเมี่ยวกินปูมิได้ แต่กุ้งกลับมิได้มีปัญหาอันใด นางได้ยินว่าประเดี๋ยวหลัวเทียนเฉิงจะพาผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งมากินข้าว จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

 

 

นางแบ่งครึ่งหนึ่งมาทำกุ้งทอดรสเผ็ดหม้อใหญ่ใส่ขิงดองสูตรลับพิเศษที่นางเพิ่งให้คนส่งมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วใส่พริกเยอะๆ รสชาติจะต้องดีอย่างที่สุดเป็นแน่ เหมาะกับการดื่มสุรายิ่ง

 

 

ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งชุบแป้งทอดเหมือนกุ้งทะเล แม้เป็นกุ้งแม่น้ำแต่รสชาติคงไม่ต่างกันเท่าใดนัก อีกส่วนก็ปอกเปลือกแล้วทำเต้าหู้ต้มกุ้งชามใหญ่

 

 

เรือนที่พวกนางพักอาศัยนั้นมีสาวใช้สองคนกับหญิงรับใช้ผู้ก่อไฟอีกหนึ่ง ไป๋เสาให้พวกนางจัดการวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจนเรียบร้อย

 

 

เมื่อวานเจินเมี่ยวควบม้ามาตลอดทาง วันนี้ตื่นขึ้นมาก็ปวดตัวไปหมด นางจึงเพียงคอยบอกวิธีแก่ไป๋เสา มีแค่ขั้นตอนสำคัญไม่กี่อย่างที่นางลงมือทำเอง

 

 

เวลานี้เองนางจึงคิดขึ้นมาได้ว่าควรพาชิงเกอมาด้วย อย่างมากก็แค่เบียดกันในรถม้าสักหน่อยเท่านั้น

 

 

“เหตใดถึงหอมเพียงนี้” หลัวเทียนเฉิงเลิกม่านเดินเข้ามา เขาอดกลืนน้ำลายมิได้ เมื่อได้กลิ่นหอมจึงเดินเข้าไปในห้องอาหารที่อยู่ติดกับห้องครัว เมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะก็อดตะลึงมิได้ “เหตุใดจึงทำอาหารเยอะเพียงนี้เล่า”

 

 

เจินเมี่ยวคลี่ยิ้ม “ท่านมิใช่ส่งคนมาบอกว่าจะพาทหารสนิทมากินข้าวด้วยหรือ หากไม่ทำอาหารแล้วจะให้ดื่มลมหรืออย่างไร”

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้ยินก็ตบศีรษะตนอย่างหงุดหงิดแล้วเอ่ยด้วยความห่วงใยว่า “ข้าให้คนมาส่งกุ้งให้เจ้าเพราะอยากให้เจ้าตื่นเต้น คนมากถึงเพียงนั้นไหนเลยต้องให้เจ้ามาคอยเตรียมอาหารให้”

 

 

เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้กินอาหารฝีมือเจี๋ยวเจี่ยวหลังจากแยกจากกันนานเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าต้องมาแบ่งให้คนตั้งมากมายกินด้วย แค่คิดก็ไม่สบอารมณ์แล้ว!

 

 

เจินเมี่ยวหรี่ตาลง “ซื่อจื่อ ท่านพาคนกลับมาด้วย แต่มิให้ข้าเตรียมอาหาร แล้วจะให้ผู้ใดเตรียมเล่า”

 

 

“ปกติก็ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น ไหนเลยจะพิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้ หากคิดจะดื่มสังสรรค์ แค่ซื้ออาหารปรุงสุกสักหลายอย่างมากินก็พอแล้ว”

 

 

เพราะคิดว่าสถานการณ์อันไม่ปกติเช่นนี้ สตรีในเมืองหลวงคงมิอาจออกจากเรือนได้ เขาก็ยิ่งมิอยากจะไปกักขังนาง ยากนักที่นางจะมีอิสระเช่นในยามนี้ หลัวเทียนเฉิงจึงอยากจะแนะนำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตนรู้จักเจินเมี่ยวอย่างเป็นทางการ

 

 

แต่เมื่อได้นางใส่เสื้อเอ่าสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเหมยสีเขียวขี้ม้า สวมกระโปรงสีเขียวอ่อนพอดีตัว ทั้งที่ดูธรรมดายิ่ง แต่กลับขับเน้นเอวนั้นให้แลดูมีส่วนเว้าส่วนโค้งดุจกิ่งหลิว ช่างงดงามเป็นธรรมชาติยิ่ง เขาจึงรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที

 

 

ภรรยาของเขา เขาเก็บไว้ชื่นชมเพียงคนเดียวจะดีกว่า

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว พวกเขามาถึงแล้ว อยู่เรือนส่วนหน้า เจ้ากินไปก่อนเถิด ข้าไปยกสุราคารวะสักครู่ก็จะกลับมากินข้าวเป็นเพื่อนเจ้า”

 

 

“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้า

 

 

นางเพิ่งเดินทางมาจากเมืองหลวง จึงมิเคยคิดว่าจะมีโอกาสพบปะดื่มสุรากับบุรุษกลุ่มใหญ่อันใดเทือกนั้นได้

 

 

ครั้นเห็นว่าเหล่าสาวใช้ก็อยู่ด้วย หลัวเทียนเฉิงเก็บกดความคิดบางอย่างของตนไว้ แล้วกุมมือเจินเมี่ยวพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าไปเรือนส่วนหน้าก่อนสักครู่หนึ่งแล้วกัน”

 

 

เมื่อเห็นเขาหมุนกายจากไป เจินเมี่ยวก็รีบเอ่ยว่า “ไป๋เสา พวกเจ้ายกอาหารพวกนี้ออกไปเถิด”

 

 

หลัวเทียนเฉิงชะงักฝีเท้าทันที สีหน้าเขาไม่เบิกบานสักนิด “จะยกไปทำไมกัน ประเดี๋ยวข้าก็กลับมาแล้ว อาหารพวกนี้เก็บไว้กินสองคนเถิด อืม กุ้งนั้นผู้อื่นให้มา ยกจานเล็กๆ ไปสักจานก็พอแล้ว”

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวนึกถึงอาหารปรุงสุกที่ทั้งมันและเลี่ยนเหล่านั้น แล้วหันมามองอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะ นางก็อดยกมือขึ้นก่ายหน้าผากมิได้

 

 

“อาหารมากมายเพียงนี้ เราจะกินไม่หมดหรอก อีกอย่างท่านเป็นเชิญทุกคนมาดื่มสุรา หากพวกเขาทราบเข้าคงดูไม่เหมาะสมยิ่ง ไป๋เสาเอาจานมาหลายใบหน่อย แล้วตักแบ่งอาหารทุกอย่างยกออกไปส่งด้านนอก”

 

 

ไป๋เสาและสาวใช้ทั้งหลายถือจานเข้ามา แล้วตักแบ่งอาหารจากจานใบใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ

 

 

หลัวเทียนเฉิงเห็นแล้วเจ็บปวดใจยิ่ง เขาจึงคอยพูดไม่หยุดว่า “พอแล้วๆ”

 

 

เจินเมี่ยวไม่สนใจเขา เมื่อเห็นจานทุกใบตักอาหารใส่จนเต็มแล้ว ก็ชี้ไปที่จานใบใหญ่พลางเอ่ยว่า “เอาละ ยกอาหารพวกนี้ออกไปได้แล้ว”

 

 

หา?

 

 

หลัวเทียนเฉิงแทบไม่กล้าเชื่อหูตนเอง “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าพูดผิดแล้วกระมัง”

 

 

เจินเมี่ยวหน้าบึ้งขึ้นมา “ซื่อจื่อ หากท่านยังไม่หยุด ข้าจะโกรธท่านจริงๆ”

 

 

เจ้าถังข้าวผู้นี้ถึงกับคิดว่าอาหารเจ็ดแปดส่วนในจานใบใหญ่เป็นของพวกเขาสองคน เขาเข้าใจผิดเช่นนั้นไปได้อย่างไร

 

 

หลัวเทียนเฉิงมิกล้าเอ่ยอันใดอีก

 

 

หากเทียบกับโลหิตที่ซึมไหลในหัวใจเมื่อยามอาหารเหล่านั้นถูกยกออกไป อย่างไรเสียการที่ถูกภรรยาโกรธก็น่ากลัวกว่ามาก

 

 

“เช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว” เขาเม้มริมฝีปากเดินออกไปด้วยท่าทีคอตกอย่างคนเศร้าสร้อยยิ่ง

 

 

ทหารกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงกันอยู่ในห้องอาหารที่เรือนส่วนหน้า ทุกคนต่างเริ่มยกจอกสุราขึ้นซดแล้ว

 

 

คนผู้หนึ่งกินเนื้อติดมันหมูเข้าไปก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “เนื้อนั้นหอมแต่ข้าก็เริ่มเบื่อเสียแล้ว”

 

 

คนอีกผู้หนึ่งจึงชกเขาเบาๆ หนึ่งที “จงพอใจเถิด ตอนที่ท่านแม่ทัพยังไม่มา อย่าว่าแต่เนื้อหมูชิ้นโตเลย แม้แต่เศษเนื้อก็ไม่มีสิทธิ์ได้กิน ได้แต่กินผักกาดต้มวุ้นเส้นเท่านั้น”

 

 

“ก็จริง”

 

 

คนเหล่านี้เป็นนักรบที่อาบโลหิตสังหารข้าศึกมาไม่น้อย อุปนิสัยดิบเถื่อนจึงมิได้ช่างเลือกกับการกินนัก แม้แต่สตรีเพียงหนึ่งเดียวอย่างคุณหนูเหยาก็ยังคีบเนื้อหมูที่ติดมันน้อยสักหน่อยขึ้นมากินด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

“กลิ่นอันใดกัน หอมถึงเพียงนี้” คนจมูกไวผู้หนึ่งสูดหายใจดมกลิ่นไม่หยุด

 

 

“เอ๊ะ ข้าก็ได้กลิ่นเช่นกัน กลิ่นหอมนี้มีความเผ็ดผสมอยู่ด้วย เรียกพยาธิในท้องให้มากองรวมกันแล้ว”

 

 

คนทั้งหลายต่างถือตะเกียบค้างไว้แล้วยืดคอมองหาไปทั่วสารทิศ

 

 

เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงก็เดินหน้าดำคล้ำเข้ามา แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นักว่า “ฮูหยินข้าได้ยินว่าพวกเจ้ามาที่นี่ จึงทำอาหารจำนวนหนึ่งสำหรับแกล้มสุรา”

 

 

ขณะที่พูดอยู่ไป๋เสาก็เดินนำหน้าสาวใช้เดินเข้ามาเป็นแถว พลางชี้ให้พวกนางนำอาหารไปวางที่โต๊ะ

 

 

“คารวะฮูหยินท่านแม่ทัพ!” คนทั้งหลายลุกขึ้นพร้อมกัน

 

 

เมื่อวานเจินเมี่ยวถูกหลัวเทียนเฉิงอุ้มเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว ไป๋เสาและชิงไต้ก็แต่งกายเยี่ยงบุรุษเมื่อวันนี้แต่งกายอย่างสตรีจึงทำให้คนเข้าใจผิดไป

 

 

คุณหนูเหยาพิจารณาไป๋เสาอย่างรวดเร็วคราหนึ่ง

 

 

รูปโฉมงดงาม ท่าทีสง่ายิ่ง เพียงมองก็รู้ว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี เพียงแต่…

 

 

เมื่อสายตาของนางหยุดอยู่ที่ผมดำขลับที่ถักเปียไว้ของไป๋เสา นางก็เริ่มงุนงงขึ้นมา

 

 

นี่มิใช่การแต่งกายอย่างสตรีที่ยังมิออกเรือนหรอกหรือ

 

 

แล้วไป๋เสาก็หันไปย่อกายเล็กน้อยให้กับคนทั้งหลายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฮูหยินของข้าเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเอง จึงให้บ่าวยกมาให้ทุกท่านได้กินแกล้มสุราเจ้าค่ะ”

 

 

นางพูดจบก็เดินถอยหลังออกไปอย่างแผ่วเบาท่ามกลางสายตาตะลึงลานของคนทั้งหลาย ก่อนพ้นประตูกลับอดหันไปดูมิได้ นางชำเลืองมองที่คุณหนูเหยาอย่างรวดเร็วและแนบเนียนคราหนึ่ง

 

 

เมื่อนางไปแล้ว ภายในห้องก็คึกคักขึ้นมาอีกครา

 

 

“กุ้งนี้ใส่พริกด้วย ท่าทางน่ากินยิ่ง!”

 

 

“เอ๊ะ เหตุใดกุ้งนี้จึงบางอย่างห่อไว้ด้วย” คนผู้นั้นเอากุ้งยัดใส่ปากอย่างอดไม่ได้ สายตาเขาพลันเป็นประกายขึ้นมาทันที “ทั้งกรอบทั้งหอม อร่อยเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าจะนำกุ้งมาทำเป็นอาหารเช่นนี้ได้ด้วย”

 

 

เมื่อเห็นว่าคนทั้งหลายแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง หลัวเทียนเฉิงก็กระแอมไอเสียงดังออกมา ครั้นเห็นสถานการณ์ตรงหน้าสงบลงจึงยกจอกสุราขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอคารวะทุกคนก่อนหนึ่งจอก ทุกคนเหนื่อยกันมาหลายวันแล้ว”

 

 

คนทั้งหลายยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดในคราวเดียว ทั้งยิ้มตอบ “ไม่เหนื่อยเลย โดยเฉพาะเมื่อได้กินอาหารเลิศรสเช่นนี้ ต่อให้เหนื่อยกว่านี้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ท่านแม่ทัพ หากท่านเป็นห่วงพวกเรา ต่อไปก็เชิญพวกเรามาดื่มสุราบ่อยๆ เถิด”

 

 

หลัวเทียนเฉิงไม่สนใจคนทั้งหลายที่ได้คืบจะเอาศอกเหล่านี้ เขารับตะเกียบที่คุณหนูเหยาส่งให้แล้วคีบกุ้งทอดรสเผ็ดตัวหนึ่งขึ้นมากิน

 

 

เขาอดทอดถอนใจมิได้ อาหารที่เจี๋ยวเจี่ยวอร่อยมากขึ้นทุกวันจริงๆ

 

 

เขาตัดสินใจแล้ว เขาจะกินอยู่ที่นี่ให้อิ่มสักครึ่งหนึ่งก่อน ไม่ยอมให้คนเหล่านี้ได้เปรียบเด็ดขาด

 

 

“ไปบอกฮูหยินหน่อยเถิดว่าอีกครู่หนึ่งข้าค่อยกลับ ให้นางกินก่อนได้เลย”

 

 

กว่าจะมีกุ้งสดๆ มาให้กิน เจี๋ยวเจี่ยวกลับเก็บไว้แค่จานเล็กๆ จานนั้นก็ให้นางกินมากสักหน่อยแล้วกัน

 

 

“ท่านแม่ทัพบอกเช่นนี้หรือ” เจินเมี่ยวอึ้งไป

 

 

สาวใช้ที่มารายงานคิดแค่เพียงว่าฮูหยินที่มาจากเมืองหลวงท่านนี้ช่างงดงามราวเทพธิดา แม้ปกติจะเป็นคนหัวไว แต่ยามนี้นางกลับคิดอันใดไม่ออก จึงเอ่ยได้เพียงสิ่งที่ตนได้รับคำสั่งมาเท่านั้น

 

 

“ท่านแม่ทัพบอกเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพกำลังกินอาหารพร้อมดื่มสุรากับคนทั้งหลายอยู่เจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วสะบัดมือคราหนึ่ง “เจ้าออกไปก่อนเถิด”

 

 

เมื่อคนออกไปแล้ว นางก็ได้แต่ลอบด่าท่อหลัวเทียนเฉิงอยู่คนเดียว

 

 

มิใช่บอกว่าไปคารวะสุราแล้วก็กลับมาหรือ เหตุใดจึงอยู่กินอาหารด้วยเล่า ทั้งมิบอกนางก่อน ทำให้นางต้องมานั่งมองอาหารเล่านี้รอเขา!

 

 

ไป๋เสาคิดจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็เงียบไว้

 

 

“ช่างเถิด เรากินกันก่อนเถิด” เจินเมี่ยวกล่าวจบก็เห็นไป๋เสายืนนิ่ง จึงมองนางด้วยความสงสัย

 

 

ปกติมิต้องพูดอันใดมาก ไป๋เสาก็จะยื่นผ้าเช็ดมือให้นางแล้ว วันนี้เป็นอันใดไป

 

 

“ไป๋เสา มีอันใดหรือ”

 

 

ไป๋เสาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไร นางผู้เป็นสาวใช้คนสนิทของต้าไหน่ไหน่ก็ควรบอกในสิ่งที่ต้าไหน่ไหน่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน มิใช่การปิดบัง แม้ว่าเหตุผลจะมาจากเจตนาที่ดีก็ตาม

 

 

นางเอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “เมื่อครู่ที่บ่าวไป บ่าวเห็นว่าในกลุ่มทหารทั้งหลายมีสตรีอยู่ผู้หนึ่งเจ้าค่ะ คนผู้นั้นคือคุณหนูเหยา หลังจากเดินพ้นประตูออกมาแล้ว บ่าวยังตั้งใจที่จะยืนอยู่ด้านนอกอีกสักครู่ จึงเห็นว่าคุณหนูเหยาผู้นั้น….”

 

 

“มีอันใด”

 

 

ไป๋เสาแทบไม่กล้ามองหน้าเจินเมี่ยวแล้ว นางจึงหลุบม่านตาลงแล้วเอ่ยว่า “ยื่นตะเกียบให้ซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวได้ฟังก็อึ้งไป เอ่ยถามไปตามจิตสำนึกว่า “เจ้าหมายความว่าที่ซื่อจื่อไม่กลับมาเป็นเพราะคุณหนูเหยางั้นหรือ”