ครั้งนี้เจินเมี่ยวรู้สึกโกรธจริงๆ นางลืมคุณหนูเหยาไปแล้วเพราะไม่อยากทำให้คนสารเลวนั่นอึดอัด แต่เขากลับพาคุณหนูเหยามาด้วย ทั้งยังกินดื่มสุรากับนางอีก
เช่นนี้จะมีเรื่องเมาสุราแล้วทำตัวมั่วกามหรือไม่
นางผุดลุกขึ้นทันที
ไป๋เสารีบขวางนางไว้ “ต้าไหน่ไหน่ ที่นั่นมีแต่บุรุษ หากท่านไป เกรงว่า…”
เจินเมี่ยวมองนางด้วยสายตาสงสัย “ผู้ใดว่าข้าจะไปที่เรือนหน้าเล่า ข้าจะไปห้องครัว!”
ไป๋เสาอึ้งงันไป
เหตุใดต้าไหน่ไหน่ของนางจึงมักมีท่าทีแตกต่างไปจากผู้อื่นเสมอเล่า
แย่แล้ว ต้าไหน่ไหน่คงมิได้โมโหมากจนจะใส่ยาถ่ายในอาหารแล้วส่งไปเรือนหน้ากระมัง
ไป๋เสาเห็นเจินเมี่ยวเดินเข้าไปในห้องครัวแล้วจึงจะได้สติคืนมา นางรีบเดินตามไปทันที
ผ่านไปสองเค่อ สาวใช้ผู้หนึ่งก็เดินไปเรียนว่า “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ แม่นางไป๋เสามาเจ้าค่ะ”
ผู้คนทั้งหลายที่กำลังดื่มกินอย่างสนุกสนานจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ แม่นางไป๋เสาคือแม่นางที่เอาอาหารมาส่งให้เราใช่หรือไม่ขอรับ”
หลัวเทียนเฉิงยังมิทันได้ตอบ สาวใช้ผู้นั้นก็พยักหน้าตอบรับแทนแล้ว
คนทั้งหลายพลันปรบมือ “ดีเหลือเกิน เช่นนั้นนางคงต้องเอาอาหารมาส่งให้เราอีกแน่!”
หลัวเทียนเฉิงดื่มสุราไปไม่น้อยแต่แววตายังกระจ่างใสอยู่ ส่วนใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย
“ให้นางเข้ามา”
ไป๋เสาเดินเข้าไป “ท่านแม่ทัพ ต้าไหน่ไหน่ทำน้ำแกงมาให้ น้ำแกงนี้จะช่วยทำให้ทุกท่านสร่างเมาได้ด้วยเจ้าค่ะ”
หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วก็รู้สึกมิใคร่พอใจนัก เขาคิดว่าเจี๋ยวเจี่ยวมิจำเป็นต้องเอาใจใส่คนพวกนี้มากนัก การทำน้ำแกงเช่นนี้ควรต้องยกมาให้เขายามกลับไปด้วยอาการมึนเมามิใช่หรือ พวกเขามีสิทธิ์อันใดที่จะได้กินมันด้วย
เขากระแอมคราหนึ่ง ขณะกำลังจะพูด คนทั้งหลายก็เอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “น้ำแกงอะไรๆ”
ไป๋เสาเม้มริมฝีปากคลี่ยิ้ม “น้ำแกงรสเปรี้ยวเผ็ดใส่วุ้นเส้น เห็ดหอมและหน่อไม้เจ้าค่ะ”
นางพูดพลางส่งสัญญาณให้สาวใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังเปิดตะกร้าอาหารออกมา
น้ำแกงได้ถูกตักใส่ถ้วยเล็กๆ ที่มีฝาปิดไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะคนมีมาก ถ้วยชามเหล่านั้นจึงไม่ใช่ชุดเดียวกัน แต่กลับมีขนาดและสีที่แตกต่างกันไป
ทุกคนจะได้กินคนละหนึ่งถ้วย ไป๋เสายกถ้วยลายครามใบใหญ่สักหน่อยไปวางตรงหน้าหลัวเทียนเฉิง “เชิญซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
หลัวเทียนเฉิงมองไปโดยรอบ เขาอดยกมุมปากขึ้นด้วยความภูมิใจมิได้
ถ้วยเขาใหญ่ที่สุด เจี๋ยวเจี่ยวยังคงปฏิบัติกับเขาพิเศษกว่าผู้อื่นเสมอ
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น คนผู้หนึ่งก็เปิดฝาถ้วยออกมาชิมอย่างอดใจไม่ไหว ทั้งเอ่ยชมว่า “หลังจากดื่มสุรากินเนื้อแล้ว การได้ซดน้ำแกงร้อนรสเปรี้ยวเผ็ดเช่นนี้มันทำให้โล่งสบายที่สุดเลย!”
หลัวเทียนเฉิงก้มหน้าลงชิมคำหนึ่ง เขาเกือบจะพ่นมันออกมาแล้ว แต่ดีที่ยังห้ามตนเองไว้ได้ แล้วฝืนกลืนมันลงท้องไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลังจากที่คนทั้งหลายได้ชิมต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่เลวเลย ความเปรี้ยวกับความเผ็ดลงตัวยิ่ง รสชาติอร่อยจริงๆ!”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เขาซดอีกครั้ง
ครานี้…ครั้งนี้ก็ยังคงเปรี้ยวจนเขาอยากจะพ่นออกมาเช่นเดิม!
เมื่อเห็นท่าทีเอร็ดอร่อยของคนทั้งหลาย เขาจึงซดดูอีกคราอย่างไม่อยากเชื่อ
ลิ้นเขาต้องมีปัญหาแน่!
“ท่านแม่ทัพ แบ่งให้ข้าสักหน่อยเถิด” คนผู้หนึ่งส่งถ้วยเปล่ามาให้เขา “ข้าเห็นท่านเหมือนจะกินต่อไม่ไหวแล้ว”
คนทั้งหลายได้ฟังแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาตามกัน
จะกินไหวได้อย่างไรเล่า ก็กุ้งทอดรสเผ็ดเมื่อครู่ ท่านแม่ทัพแย่งไปเกือบครึ่ง แม้แต่เปลือกกุ้งยังไม่คายออกมาด้วยซ้ำ!
“ใครว่ากันเล่า” หลัวเทียนเฉิงกัดฟันไว้ น้ำแกงนั่นทำให้หัวเขาว่างเปล่าไปหมด มันเปรี้ยวเข็ดฟันจนเขากล่าววาจาใดไม่ออกแล้ว
เวลานี้เองเขาจึงค่อยๆ เข้าใจอันใดขึ้นมาได้
เจี๋ยวเจี่ยวกำลังโกรธเขาเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป จึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “รองแม่ทัพจาง เจ้าดื่มสุรากับทุกคนไปก่อน ข้ากลับเรือนสักประเดี๋ยว”
เขาแทบจะพุ่งไปที่เรือนด้านหลังทันที เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นเจินเมี่ยวกำลังก้มหน้าก้มตาบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ ครั้นเห็นเขาก็เบือนหน้าแล้วลุกขึ้นเดินหนีไป
“เจี๋ยวเจี่ยว…” เขาเดินเข้าไปรั้งนางไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “เจ้าเป็นอันใดไป”
“ซื่อจื่อ น้ำแกงเป็นอย่างไรบ้าง”
“อืม อร่อยมาก…” หลัวเทียนเฉิงคิดจะพูดความจริง แต่เมื่อวาจามาหยุดที่ริมฝีปากกลับพูดไปอีกอย่าง
เจี๋ยวเจี่ยวทำน้ำแกงอย่างยากลำบาก หากบอกว่าไม่อร่อยคงเป็นการทำร้ายจิตใจเกินไป
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเจินเมี่ยวได้ยินนางกลับโกรธจนร้องไห้ “หากวาจาบุรุษเชื่อถือได้ สุกรคงปีนต้นไม้ได้ดั่งคนเขาว่าจริงๆ”
หลัวเทียนเฉิงลนลานขึ้นมา เขารีบเอ่ยว่า “มันเปรี้ยวเกินไป หากเอ่ยตามจริงก็ยากจะกลืนลงคออยู่สักหน่อย เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าอย่าร้องไห้เลย”
คิดไม่ถึงว่าเจินเมี่ยวจะร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีก นางเอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “ต่อให้มันจะยากที่จะกลืนลงคออยู่สักหน่อย แต่ข้าก็ทำมันด้วยความยากลำบาก ท่านกลับรังเกียจ…”
เส้นโลหิตที่ขมับหลัวเทียนเฉิงเต้นตุบๆ ไม่หยุด
สวรรค์รีบส่งเทพเซียนมาช่วยเขาทีเถิด หรือให้เซียวอู๋ซังมาเข้าร่างเขาในตอนนี้ก็ได้!
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเป็นอันใดกันแน่ เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่แท้ๆ” เขารีบลูบหลังนางพัลวันไปหมด
เจินเมี่ยวค่อยๆ สะกดเสียงร้องไห้ตนแล้วเงยหน้ามองเขาด้วยน้ำตา “เรื่องวันนี้ ท่านไม่มีอันใดจะพูดกับข้าเลยหรือ”
“วันนี้?” หลัวเทียนเฉิงอึ้งไป เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วก็เข้าใจในทันที “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าโกรธที่ข้ามิได้รีบกลับมากินข้าวกับเจ้าใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากไม่พูดจา
ความจริงเมื่อมีแขกมาที่เรือน บุรุษย่อมต้องคอยอยู่ต้อนรับ นางคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง ที่นางโกรธเพราะเขาผิดคำพูด เดิมบอกจะกลับมากินข้าวกับนาง แต่เพราะคุณหนูเหยาผู้นั้นเขาจึงเปลี่ยนใจ
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมิพูด หลัวเทียนเฉิงก็คิดว่าตนเดาถูก จึงเผยท่าทีเว้าวอนออกมา “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าอย่าโกรธเลย ข้าเห็นว่าเจ้าส่งอาหารไปมากเหลือเกินจึงไม่อยากให้เจ้าพวกนั้นได้ใจ ความจริงกุ้งพวกนั้นองครักษ์ของแม่ทัพเหยาจับมา ปกติไม่ค่อยจะมีกุ้งเช่นนี้หรอก”
“แม่ทัพเหยา?”
เจินเมี่ยวเอามือทาบอก รู้สึกว่ามิอาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป หากนางไม่ถูกคนสารเลวผู้นี้ยั่วโมโหจนตาย ก็คงชักมีดทำอาหารขึ้นมาฟันเขาก่อนเป็นแน่
กล่าวเช่นนี้หมายความว่ากุ้งที่นางสาละวนทำอยู่นานนั้นเป็นของคุณหนูเหยางั้นหรือ ผู้อื่นมาเรือนนาง กินกุ้งที่นางทุ่มเททำเต็มที่ ทั้งดื่มสุรากับบุรุษของนางและยื่นตะเกียบให้ด้วย
“ใช่ แม่ทัพเหยาเป็นคนชิงเป่ย ในช่วงเวลาที่เหน็บหนาวเช่นนี้นางรู้ดีที่สุดว่าจะหาอาหารได้อย่างไร…”
“ออกไป!” เจินเมี่ยวโกรธจนต้องลุกขึ้นยืน
หลัวเทียนเฉิงอึ้งไป “เจี๋ยวเจี่ยว?”
เจินเมี่ยวกัดริมฝีปากตน “ท่านจะออกไปหรือไม่”
เมื่อเห็นเขาไม่ไป นางก็เอ่ยด้วยโทสะว่า “หลัวเทียนเฉิง หากท่านไม่ออกไป ข้าจะกลับเมืองเป่ยปิงเดี๋ยวนี้!”
หลัวเทียนเฉิงตกใจยิ่งจึงรีบเอ่ยว่า “ได้ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”
เขาเดินไปก้าวหนึ่งก็หันมองนางคราหนึ่ง กระทั่งถึงหน้าประตู ในที่สุดก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เช่นนั้นเมื่อใดที่ข้าจะเข้ามาที่นี่ได้”
คำตอบของเจินเมี่ยวคือการเขวี้ยงรองเท้าปักลายบุปผาข้างหนึ่งใส่เขา
หลัวเทียนเฉิงรับรองเท้านั้นไว้แล้วเดินคอตกออกไป
บรรดาทหารพลันรู้สึกได้ว่าระยะนี้แม่ทัพหลัวดูเคร่งเครียดยิ่ง หน้าตาถมึงทึงไร้รอยยิ้มตลอดเวลา จะแม้ออกไปปฏิบัติภารกิจทั้งวันทั้งคืน แต่เมื่อกลับมาก็ยังมาฝึกพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตายต่ออีก
ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหวจึงไปหาเซียวอู๋ซัง “แม่ทัพเซียว ท่านกับแม่ทัพหลัวสนิทสนมกันที่สุด ท่านไปสอบถามหน่อยเถิดว่าเกิดอันใดขึ้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างอันผ่ายผอมของเราคงทนไม่ไหวแน่”
เซียวอู๋ซังเห็นไก่ย่างครึ่งตัวในมือเขาก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “พี่น้องกันทั้งนั้น มีอันใดก็พูดกับข้าได้ มิต้องเอาไก่ย่างมาให้หรอก” พูดพลางยื่นมือไปรับไก่มาแล้วเดินจากไปทันที
คนผู้นั้นมองมืออันว่างเปล่าของตนอย่างอึ้งงันพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก
ผู้ใดเอาไก่ย่างมาให้กันเล่า นั่นเป็นสิ่งที่เขาหามาอย่างยากลำบากเพื่อหวังจะกินแกล้มกับสุราต่างหาก!
เซียวอู๋ซังมาที่ริมแม่น้ำ
หลัวเทียนเฉิงที่นั่งอยู่ริมน้ำจึงเงยหน้าขึ้นมองคราหนึ่งแล้วหันกลับไปเหม่อมองผิวน้ำเช่นเดิม
เวลานี้ชั้นน้ำแข็งหนาที่ฉาบอยู่บนผิวน้ำได้ละลายไปบ้างแล้ว เหลือเพียงน้ำแข็งแผ่นบาง กระทั่งได้ยินเสียงน้ำไหลใต้ชั้นน้ำแข็งอยู่เบาๆ
ยามคิมหันต์ของชิงเป่ยใกล้เข้ามาแล้ว ถึงตอนนั้นทุกสรรพสิ่งก็จะค่อยๆ ฟื้นคืนมาซึ่งช้ากว่าเมืองหลวงไปถึงหนึ่งฤดู
เซียวอู๋ซังถือไก่ย่างเข้าไปหย่อนก้นลงข้างหลัวเทียนเฉิง
“เป็นอันใดไป มีเรื่องอะไรในใจพูดให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด”
หลัวเทียนเฉิงไม่พูดสิ่งใด แต่หยิบก้อนหินขึ้นมาโยนลงไปในแม่น้ำ
ก้อนหินเจาะลงไปบนแผ่นน้ำแข็งผืนบางนั้นจนเป็นรู ทำให้น้ำกระเพื่อมเป็นคลื่น ปลาจึงกระโดดขึ้นมาจากผิวน้ำ สะบัดหางจนน้ำสาดกระเซ็นอยู่ใต้แสงอาทิตย์
“กินไก่ย่างหรือไม่” เซียวอู๋ซังยกไก่ขึ้นตรงหน้าหลัวเทียนเฉิง
เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงยังไม่สนใจจึงเริ่มจริงจังขึ้นมา “ดูท่าท่านคงเจอเรื่องหนักหนาจริงๆ”
เขาลูบคางตน ดวงตาดอกท้ออันงดงามนั้นหรี่ลง “เป็นไปไม่ได้ จยาหมิงเซียนจู่มาที่นี่แล้ว หากข้าเป็นท่านคงดีใจแทบไม่ทัน แล้วเหตุใดท่านจึงมีท่าทีดั่งคนใกล้ตายเช่นนี้เล่า”
ในที่สุดหลัวเทียนเฉิงก็แสดงสีหน้าบางอย่างออกมาเสียที
เซียวอู๋ซังเลิกคิ้วขึ้น “คงมิได้ทะเลาะกันกระมัง”
ครั้งนี้ หลัวเทียนเฉิงกลับพยักหน้าในที่สุด “ข้าเดาว่าเป็นเช่นนั้น”
“อันใดคือท่านเดา…”
เมื่อคิดได้ว่าเซียวอู๋ซังเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องอิสตรียิ่ง หลัวเทียนเฉิงก็คล้ายพบกอหญ้าที่ตนจะคว้าจับและช่วยให้รอดชีวิตได้ จึงเอ่ยอย่างไม่กลัวเสียหน้าว่า “นางไม่ให้ข้าเข้าห้อง ทุกครั้งที่ทำอาหารก็จะอนุญาตให้ข้าดูได้แต่มิให้กิน ข้าคิดว่านางน่าจะโกรธมากเป็นแน่”
“แน่นอน! พูดมาเถิด ท่านทำเรื่องร้ายแรงอันใดถึงทำให้จยาหมิงเซี่ยนจู่ที่เดินทางมานับพันลี้เพื่อพบท่านถึงกับไม่อยากมองหน้าท่านได้ถึงเพียงนี้”
อาหารที่จยาหมิงเซี่ยนจู่ทำในตอนไปล่าสัตว์เมื่อปีนั้น เขาเคยกินหลายครั้ง มันเป็นอาหารเลิศรสที่ยากนักจะหากินได้
ในที่ที่แม้แต่ไก่ย่างยังยากจะหาได้เช่นนี้ นางกลับให้มองทว่ามิให้กิน นั่นเป็นการลงโทษที่หนักหนายิ่งแล้ว
“ข้าไม่รู้” หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมาทันที แล้วมองเซียวอู๋ซัง “ข้าไม่รู้เลย มิเช่นนั้นคงง้อนางไปนานแล้ว เซียวซื่อจื่อ ท่านเป็นผู้เข้าใจสตรีดียิ่ง ช่วยข้าคิดหน่อยได้หรือไม่น”
เซียวอู๋ซังเอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “ข้าก็มินับว่าเข้าใจสตรีอันใดหรอก ท่านก็รู้ว่าโดยมากมักเป็นสตรีเหล่านั้นที่มาแสดงความในใจกับข้าเอง ข้าไม่ต้องไปพยายามเข้าใจอันใดพวกนางเลย ปีนั้นที่แม่นางอันดับหนึ่งในหอฉู๋เซียวยอมตายแต่ไม่ยอมรับแขกสักคนเพียงเพื่อจะพบหน้าข้า ข้าก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่านางคิดอันใดอยู่กันแน่”
หลัวเทียนเฉิงกัดฟันแน่น
มารดามันเถอะ มิอวดอ้างแล้วจะตายหรือไร!
เมื่อเห็นว่าเขาโกรธแล้ว เซียวอู๋ซังจึงฉีกน่องไก่ขึ้นมากิน “แต่ข้าคิดว่าคงมีประสบการณ์มากกว่าแม่ทัพหลัวอยู่สักหน่อย ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จยาหมิงเซี่ยนจู่จะมีท่าทีเปลี่ยนไปให้ข้าฟังที”
ไม่นานก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจของเซียวอู๋ซังดังขึ้น “หา วันนั้นแม่ทัพเหยาก็ไปด้วยหรือ”
“ทั้งกุ้งนั้นยังเป็นของที่แม่ทัพเหยาเอามาให้ด้วย แต่ท่านกลับเอาไปให้จยาหมิงเซี่ยนจู่ทำอาหาร”
เสียงของเขาดังขึ้นเรื่อยๆ “แล้วท่านกับแม่ทัพเหยาก็ยังดื่มสุรา กินกุ้งด้วยกันอย่างสำราญใจอีกด้วย”
ในที่สุดเขาจึงสรุปออกมาว่า “ปัดโธ่ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่ยังจะเก็บท่านไว้อีก”