การปรับปรุงที่น่ากลัว

ใน God domain NPC ขั้นสามนั้นถือว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สามารถปกครองเมืองของ NPC ได้เลย อย่างไรก็ตามผู้เล่นจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว

เมื่อมีร่างมานาที่ปลดล๊อคศักยภาพได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว ผู้เล่นจะสามารถเข้าและออกจากสถานที่บางแห่งได้อย่างอิสระ ซึ่งหากพวกเขาพยายามจะทำโดยยังไม่ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้น มันจะมีเพียงแต่ความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่

ข้อกำหนดในการเข้าสู่ดันเจี้ยนภูมิภาคของหุบเขาดาวอย่างสุสานดาวนั้นค่อนข้างต่ำ และแม้แต่ผู้เล่นขั้นสามที่ยังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้อย่างเต็มที่ก็ยังสามารถจะเข้าไปสำรวจพื้นที่บางส่วนได้

ในการเปรียบเทียบพื้นที่เฉพาะบางแห่งนั้นจะเต็มไปด้วยพลังที่กัดกร่อนอย่างน่าเหลือเชื่อ และผู้เล่นขั้นสามก็จะใช้เวลาอยู่ได้ไม่เกินห้านาทีเท่านั้นในพื้นที่เหล่านี้ หากยังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ การปลดล๊อคศักยภาพร่างมานานั้นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้เล่นสามารถป้องกันตนเองจากพลังที่กัดกร่อนได้

นี่คือเหตุผลที่ผู้เล่นจะถูกพิจารณาว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว ที่สำคัญคือสกิลและเวทย์ที่ผู้เล่นใช้นั้นจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากกว่าตอนที่พวกเขายังไม่สามารถจะปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์

ดังนั้นนี่คือร่างมานาระดับอีปิคงั้นหรอ ? ซือเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของมานาที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา

เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าร่างมานาระดับอีปิคนั้นจะทรงพลังมากขนาดนี้

โดยปกติร่างมานานั้นจะอาศัยมานาของตัวเองในการทำงาน แต่ร่างมานาของเขานั้นสามารถดึงดูดมานาโดยรอบ และใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้

ร่างมานาระดับอีปิคของเขานั้นยังเคลือบร่างกายภาพของเขาไว้ด้วยมานาบางๆด้วย โดยหากผู้เล่นไม่ได้สังเกตร่างกายของซือเฟิงอย่างใกล้ชิด พวกเขาก็จะไม่มีทางค้นพบมานาบางๆนี้เลย มันเกือบจะให้ความรู้สึกเหมือนกับชุดรัดรูป แถมมันยังดักจับส่วนสำคัญของมานาที่แผ่ออกมาจากเขา และช่วยลดปริมาณมานาที่เสียไปได้อย่างมาก อีกทั้งมันยังช่วยฟื้นฟูตัวเขาได้อย่างรวดเร็ว และทำให้มานาโดยรอบเขานั้นหนาแน่นกว่าปกติมากๆ

ซึ่งการมีบาเรียมานาเพียงอย่างเดียวนี้ก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของเขาในสนามรบขึ้นสองถึงสามเท่าเลย โดยเฉพาะกับในสภาพแวดล้อมที่มีมานาต่ำ และเมื่อเขาต่อสู้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เขาก็จะไม่ต้องกังวลที่จะไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ที่แท้จริงออกมาได้

ซือเฟิงนั้นพยายามจะจัดการกับร่างมานาของเขาโดยนำมานารอบตัวเขามาไว้ในกำมือของเขา ซึ่งทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวของเขาเองเหมือนหลุมดำ เมื่อมานาที่อยู่รอบตัวเขานั้นมารวมตัวกัน ในพริบตาหมอกหนาจางๆก็ก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของเขา

จากนั้นซือเฟิงก็ลองปล่อยหมัดชกออกไปในอากาศที่ว่างเปล่า

Peng!

อากาศนั้นระเบิดรอบๆหมัดของเขาราวกับว่าหมัดได้สร้างสูญญากาศขึ้น และพื้นที่รอบตัวของเขาก็สั่นสะท้านไปด้วยพลังของการโจมตีนี้ ซึ่งแม้แต่บาเรียเวทย์มนต์ของห้องหลักก็ยังจะต้องสั่นสะเทือนเลย

ด้วยพลังนี้ตอนนี้ฉันจะสามารถโซโล่กับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันได้เลย แม้ว่าจะไม่มีสกิลเบอเซิกร์ก็ตาม ซือเฟิงอ้าปากค้าง เมื่อเขาเห็นผลลัพธ์ของการชกของเขา

สิ่งที่เขาทำนั้นมันเป็นเพียงแค่การชกธรรมดาเท่านั้น ยังไม่ได้ใช้อาวุธด้วยซ้ำ

ความแตกต่างระหว่างพลังการโจมตีของผู้เล่นที่มีอาวุธอยู่ในมือ กับไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ใน God domain นั้นยิ่งใหญ่มากๆ

แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ซือเฟิงกับสามารถแสดงพลังออกมาได้เท่ากับตอนที่เขาถือคิลลิงเรย์อยู่ ….
ร่างมานาระดับอีปิคนี้มันให้พลังที่น่ากลัวมากๆ !!!

ในความคิดของเขาแม้ว่าร่างมานาจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้เล่น แต่มันก็ไม่ควรจะให้พลังแก่ผู้เล่นได้มากขนาดนี้ ประโยชน์ของการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาในตอนนี้นั้น มันอาจเป็นคู่แข่งของอาวุธระดับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้นนี่มันยังเป็นการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้แค่หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เท่านั้น ถ้าเขาทะลวงขีดจำกัดเข้าไปได้อีก ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน

หลังจากมาถึงขอบเขตหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้น ทุกเปอเซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นมันก็จะให้พลังแก่ผู้เล่นอย่างมหาศาล เท่าที่ซือเฟิงรู้ มันมีผู้เล่นที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ดังนั้นนี่มันก็แทบจะทำให้เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าศักยภาพของร่างมานาระดับอีปิคที่สามารถปลดล๊อคได้หนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์นั้นจะทรงพลังมากขนาดไหน

แม้แต่การก้าวข้ามขั้นก็เป็นไปได้

หลังจากนั้นซือเฟิงก็เริ่มฝึกฝนเทคนิคมานาของอีเลียดี้

ตอนนี้เขาสามารถจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว และการจะไปให้ได้เหนือกว่านั้นมันก็จะต้องใช้เวลานานและยากพอสมควร เช่นเดียวกับการที่นักเวทย์ฝึกหัด พยายามสร้างวงเวทย์ระดับปรมาจารย์

อย่างไรก็ตามการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาระดับอีปิคให้ได้มากกว่าหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นก็ไม่ใช่แค่วิธีเดียวที่จะทำให้เขาสามารถก้าวข้ามขั้นได้ เขายังสามารถพึ่งพาความช่วยเหลือจากเทคนิคมานาได้ เขานั้นเคยผ่านประสบการณ์รับมือกับการทำลายล้างศักสิทธิ์ของอีเลียดี้มาแล้ว และแม้ว่าเธอจะจำกัดพลังของตัวเองไว้ที่ขั้นสาม แต่การโจมตีของอีเลียดี้ในตอนนั้นก็จะสามารถฆ่าหรือทำให้สิ่งมีชีวิต ขั้นสี่ บาดเจ็บสาหัสได้ทันที หากซือเฟิงสามารถใช้ได้แบบอีเลียดี้ มันก็จะนับเป็นประโยชน์สำหรับเขาอย่างมาก

เขาไม่สามารถจะเรียนรู้เทคนิคเหล่านี้ก่อนหน้านี้ได้ก็เนื่องจากเขายังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ แต่ตอนนี้เขาทำได้แล้ว เขาจึงน่าจะสามารถฝึกฝนการทำลายล้างศักสิทธิ์ของอีเลียดี้ได้อย่างแท้จริง

เทคนิคมานานั้นไม่เหมือนกับเทคนิคการต่อสู้ เทคนิคการต่อสู้นั้นมันจะผลาญค่าสตามิน่าและค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของผู้ใช้ลงไปอย่างมาก แต่ในทางกลับกัน เทคนิคมานาจะใช้เฉพาะค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปนั้นผู้เล่นจะหลีกเลี่ยงการใช้เทคนิคการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง และพยายามที่จะสงวนค่าสตามิน่าของพวกเขาไว้ อย่างไรก็ตามด้วยข้อยกเว้นบางประการ สภาพแวดล้อมที่รุนแรงเหล่านี้จะไม่ส่งผลเรื่องการผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจ

ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญของ God domain ที่เข้าใจเทคนิคมานาไม่ว่าจะเรียนรู้มาด้วยตนเอง หรือเรียนรู้จากระบบก็จะมีช่วงเวลาในการสำรวจโลกแห่ง God domain ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับในแผนที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย

ตอนนี้ซือเฟิงนั้นบรรลุเป้าหมายของเขาในการมาเยี่ยมชมทวีปด้านตะวันตกแล้ว และหลังจากนี้เขาก็จำเป็นจะต้องรีบค้นหาชิ้นส่วนที่เหลือของดาบโซโลมอนเพื่อรักษาความได้เปรียบของตัวเอง และปูเส้นทางที่ราบรื่นยิ่งขึ้นไว้ให้สำหรับอควาโรสและพรรคพวกคนอื่นๆของเขา ในขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปที่เป้าสู่ขั้นสี่ ซึ่งนี่มันจะช่วยทำให้สภาสิบแปดปีกยังคงได้เปรียบมหาอำนาจอื่นๆ

แถมหากเขาสามารถเรียนรู้เทคนิคมานาได้ในตอนนี้ เขาก็ยังจะสามารถนำมันไปสอนให้กับอควาโรสและคนอื่นๆได้ด้วย

ในขณะที่ซือเฟิงกำลังพยายามจะเลียนแบบวิธีที่อีเลียดี้ใช้ดาบแรก ไลท์ชาโด้ว นักบุญสวรรค์น้ำเงินผู้นี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเทคนิคมานาที่เธอใช้นั้นมันดูเหมือนจะเหนือกว่าเทคนิคมานาที่เทพปีศาจแอทล๊อคใช้อยู่เล็กน้อย

ดาบแรกไลท์ชาโด้วนั้นใช้องค์ประกอบของธาตุทั้งเจ็ดรวมกัน และการใช้มันนั้นก็ทำได้ยากกว่าไลท์นิ่งแฟลช ซึ่งเป็นเทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงอย่างมาก ซือเฟิงนั้นจำเป็นจะต้องสร้างช่องทางและรวบรวมมานาของเขาเป็นเวลาหลายวินาทีก่อนเขาจะพยายามเรียกใช้ไลท์ชาโด้วได้จริงๆ

แอทล๊อคนั้นยังต้องใช้เวลาเตรียมตัวก่อนที่จะใช้เทคนิคมานาของเขา เทพปีศาจนั้นใช้เวลาหลายวินาทีในการเตรียมหลุมดำซึ่งเป็นการโจมตีครั้งสุดท้ายที่มันใช้กับซือเฟิง และแม้ว่าแอทล๊อคจะใช้เทคนิคมานาผ่านเงาของตัวเอง แต่มันก็ยังคงอยู่ในมาตราฐานขั้นห้า

ในทางกลับกันอีเลียดี้ นั้นใช้ทั้งไลท์ชาโด้ว โฮลี่ดีวอร์ และการทำลายล้างศักสิทธิ์ โดยไม่ใช้เวลาเตรียมการใดๆเลย ในทางตรงกันข้าม มันดูเหมือนว่าเธอจะสามารถหยุดเทคนิคของเธอได้ชั่วคราว และปล่อยการโจมตีได้เมื่อเธอต้องการ เธอสามารถทำได้อย่างเป็นระบบ ซือเฟิงคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่เขาปะทะกับอีเลียดี้

หลังจากนั้นซือเฟิงก็ทำการฝึกฝนการใช้ไลท์ชาโด้วไปเรื่อยๆ จนสามารถลดระยะเวลาการเตรียมตัวก่อนใช้ของตัวเองลงได้ ในตอนแรกเขาใช้เวลาเกือบแปดนาทีในการเตีรยมการโจมตี แต่ตอนนี้เขาใช้น้อยกว่าห้านาทีแล้ว และยิ่งซือเฟิงฝึกฝนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมมานามากขึ้น

สองชั่วโมง…หกชั่วโมง…สิบสองชั่วโมง…

ในขณะที่ซือเฟิงกลังหมกหมุ่นอยู่กับการฝึก ฟิธาเลียก็ติดต่อเขามา

“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คนของไมโทโลจี้กลับมาแล้ว พวกเขาทั้งหมดนั้นมารวมตัวกันอยู่ที่บาร์แสงดาว และฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะพบวิธีที่จะจัดการกับมังกรศักสิทธิ์ของคุณแล้ว และพวกเขาก็มามากกว่าครั้งที่แล้วเช่นกัน ตอนนี้มันมีผู้เล่นในทีมพวกเขามากกว่าสามสิบคน” ฟิธาเลียรายงานด้วยสีมืดหม่น

ตอนแรกผู้เล่นของไมโทโลจี้ที่มีมากกว่าหนึ่งโหลเพียงนิดหน่อยนั้นก็จัดการได้ยากมากแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขากับมาเพิ่มขึ้นอีก และต่อให้สภาสิบแปดปีกกับกองกำลังนรกร่วมมือกัน เธอก็ยังเชื่อว่ามันเป็นไปได้ยากมากจริงๆที่จะจัดการพวกเขาได้

“พวกเขากลับมาอย่างรวดเร็วเลยงั้นหรอ ?” ซือเฟิงพึมพำด้วยความประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองไปที่เวลานั้น เขาก็พบว่าเขาฝึกฝนมานานกว่าครึ่งวันแล้ว และมันก็รู้สึกเหมือนเวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่เขากำลังเร่งปลดล๊อคศักยภาพร่างมานา จากนั้นเขาก็เก็บดาบเข้าฝักและแสยะยิ้ม “เอาลา่ะ ฉันจะไปที่นั่นทันที !!”

หลังจากนั้นซือเฟิงก็วางสายไป และเดินทางไปหาเป้าหมายของเขาทันที ….