แท้จริงแล้ว องค์หญิงหลิ่งเมิงมิได้คาดว่าองค์ชายทั้งสามจะติดตาม องค์จักรพรรดิมาด้วย  น่าตกใจ ที่ราชรถของพวกเขา เคลื่อนที่ขนาบกันไปตามถนน และกระแทกกระทั้นกับสองข้างทางและด้วยกันเอง เคราะห์ดี ที่ถนนนั้นกว้างพอให้พวกเขาผ่านไปได้  แต่กระนั้น บ้านเรือนที่อยู่สองข้างทางนั้นได้รับความเสียหายจากพวกเขาทั้งสามและพังลง

 

.ข้ายังมิรู้เลยว่าสิ่งที่ท่านพ่อประสงค์ในแผนการนี้คือสิ่งใด  อาจเป็นเพราะ พระองค์ไม่พอใจในการเผชิญหน้า หรือยังไม่ถือว่ามันรุนแรงมากพอ ?  หรือจะให้พวกเขาทั้งสาม เผยถึงจุดอ่อนและฉีกหน้าตัวเองต่อหน้าผู้อื่น ?  ด้วยพฤติกรรมาของพี่ข้าทั้งสาม สิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้เลย !

 

แต่กระนั้น สิ่งที่องค์หญิงหลิงเมิคาดการไว้นั้นจะไม่เป็นจริง

 

เพราะว่าราชรถขององค์ชายสามารถฝ่านเส้นทางที่คับแคบไปได้ และไปถึงจุดหมายในเวลาเดียวกันได้ โดยไม่มีผู้ใดรั้งท้าย  ทำให้ ความตึงเครียดระหว่างพวกเขาปลดเปลื้องลงรวดเร็ว  ถนนที่ หอมณีวิจิตร และ หอชนชั้นสูง ตั้งอยู่นั้นกว้างขวาง  อย่างไรก็ตาม มันยังมีข้อจำกัด และ ท้ายที่สุด ขบวนขององค์ชายทั้งสามเบียดเสียเข้าไปในถนนนี้  ในที่สุด ด้านข้างราชรถของเขาชนเข้าด้วยกัน

 

แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่โชคดีที่ราชรถอีกคันหนึ่งเสียเวลา   ราชรถคันนี้เป็นของ องค์รัชทายาท

 

จึงมี ราชรถของราชวงศ์อยู่ที่นี่ห้าคัน ซึ่งสี่คันแรกนั้นมาด้วยกัน และพบกับอีกคันหนึ่ง

ข้าเกรงว่าจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์แห่งปัญหาได้ยากยิ่ง   ทั้งหมดนี่บังเอิญจริงหรือ ? หรือเป็นความตั้งใจ ?

สถานการณ์นี้ทำให้ องค์หญิงหลิงเมิง วิงเวียน  เพียงสิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การฉลอง คือ ในที่สุด อนุชาขององค์จักพรรดิได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของราวงศ์  เนื่องจาก เขาเป็นส่วนหนึ่ง หากพี่ชายทั้งสามของนางตัดสินใจยอมแพ้ นางจะสามารถไกล่เกลี่ยสถานการณ์นี้ไม่ยากเย็น

 

หนุ่มสาวหลายผู้มีรับหน้าที่ต้อนรับแขก ออกมาจาก หอชนชั้นสูง  แต่กระนั้น พวกเขากลับจ้องมองสถานการณ์นี้อย่างเบาปัญญา  ถนนที่ หอมณีวิจิตร และ หอชนชั้นสูง ตั้งอยู่นั้นถือได้ว่าเป็นสถานที่ ที่ดีที่สุดใน นครเทียนเชียงเนื่องด้วยเป็นถนนที่กว้างที่สุดในนคร  ความจริงแล้ว ถนนเส้นนี้สามารถให้เกี้ยวสามคันขนานกันได้โดยไม่ชนกัน  จำเป็นต้องพูดว่า มิเคยมีสิ่งใดกองพะเนินอยู่ที่นี่

 

ยิ่งไปกว่านั้น หอมณีวิจิตร บนถนนเส้นนี้ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น  ผู้ที่เหมาะจะเข้ามาสถานที่นี้นั้นรู้จักที่มาของ หอมณีวิจิตร เป็นอย่างดี  ไม่มีผู้ใดโง่เขลาพอจะก่อปัญหาในถนนเส้นนี้

 

แต่กระนั้น ในตอนนี้ …

 

ราชรถของ พระอนุชานั้นหยุดลงเป็นคันแรก  สองคนรับใช้เปิดม่านคลุมเกี้ยว  มีเดินก้าวออกมาจากเกี้ยวพร้อมการช่วยเหลือ  เด็กผู้นั้นคือ ลูกชายของ พระอนุชา ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่จวินโม่เซี่ย เย้าหยอกว่า เด็กสาวน้อยน่ารัก หยางมู่

 

องค์หญิงหลิงเมิง หลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ พระอนุชาองค์รัชทายาท เขาคือสมาชิกในสกุลของนาง  ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่รวมสเด็จพ่อของนาง เขาคือผู้อาวุโสอีกเพียงหนึ่งในราชวงศ์รุ่นราวคราวเดียวกับเขา แม้นว่าท่านพ่อของนางจะอยู่บนเกี้ยวของนางในขณะนี้ นางก็ยังคงหลบทางให้  ไม่ต้องเอ่ยถึงว่า นางยังชอบพระญาติของนางด้วย  นอกเหนือจากนี้ พระอนุชาเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมใน หอชนชั้นสูง   ดังนั้น จึงเหมาะสมแล้วที่นางจะหลีกทางให้เขาก่อน

 

แต่กระนั้น สถานการณ์ในขบวนขององค์ชายทั้งสามเป็นเช่นเดิม

พวกเขายังคงต่อสู้กันเพื่อมาถึงเป็นที่หนึ่ง และสิ่งต่างๆแย่ลงเมื่อพวกเขามุ่งหน้าไปถึงประตู  ซึ่งก่อให้เกิดเสียงดังวุ่นวาย

 

ท่ามกลางกลุ่มเหล่าองค์ชาย มีชายชุดดำผู้ที่เพ่งมองขบวนขององค์ชายอย่างเยือกเย็นอยู่  เขาเฝ้ามองกิจกรรมที่เกิดขึ้นในราชรถขององค์ชายแต่ละพระองค์  แต่กระนั้น เขาก็มิได้เอ่ยสิ่งใด แม้นว่าดวงตาของเขาจะแหลมคมดั่งมีด

 

ในตอนนี้ จวินโม่เซี่ยได้รับข่าวเรื่องนี้แล้ว  แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์น่าอายเช่นนี้ เขาจะมัวรอช้ามิได้

 

นายน้อยจวิน สถบไม่หยุดหย่อน

พี่น้องทั้งสามนั้นแยกดีเลวไม่ออกรึ ?  การจลาจลของพวกเจ้าจำสร้างปัญหามากมายแก่ข้า !  หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าจะส่งบัตรเชิญให้พวกเจ้าเพียงหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายนี่

 

นี่คือช่วงเวลาสำคัญ และข้ามีงานมากมายที่ต้องสำเร็จ  ข้าพยายามจัดการสถานที่อันมโหฬารนี่เพื่องานประมูล  เจ้าคิดว่ามันคือเรื่องตลกกระนั้น ?  ทำตัวดีๆหน่อยเจ้าสามตัวสกปรก ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า !

 

เจ้าอ้วนถัง และ ซ้งฉางคือเจ้าภาพใหญ่ในการประมูล  ชัดเจนว่าพวกเขายังมิได้ออกมา  แม้นว่าพวกเขาจะออกมา ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้  เนื่องด้วย สถานะของชายทั้งสามนี้สูงส่งยิ่ง  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมิใช้กำลังเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้  เป็นที่ยอมรับกันว่า จวินวูอี้ นายท่านสามแห่งสกุลจวินสามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้  อย่างไรก็ตาม หากจวินวูอี้ปรากฏตัวขึ้น เป็นไปได้ว่าเขามีส่วนในการแข่งขันององค์ชายทั้งสาม  ซึ่งนั่นไม่ช่วยอะไรมากนัก  ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงมิใช่ตัวเลือก

 

สำหรับผู้อื่นนอกจากนี้ …

 

ขุนพลตู่กู้วูตี้อาจจะออกมา และคำรามใส่ทั้งสาม  เป็นไปได้มาก ว่าเขาจะเป็นกลาง  องค์ชายทั้งสามนั้นสูงส่งเกินกว่าสายตาของผู้คน แต่กระนั้นพวกเขาก็มิได้ให้ความสำคัญกับขุนพล  กระนั้น ทั้งสามก็เป็นแขกของจวินโม่เซี่ย  การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้นมิใช่สิ่งรื่นรมย์

 

นอกจากนี้ จวินโม่เซี่ยคาดว่า หากเขาชนะการพนัน เขาจะไม่รับสิ่งตอบแทนจากขุนพลตู่กู้ หากเขาใช้กำลังเพื่อยุติข้อพิพาทนี้

คนอื่นช่วยเจ้าแก้ปัญหานี้หรือ

ดังนั้น ยอดขุนพลตู่กู้วูตี้จึงไม่ต้องถามถึง

 

บางทีจวินโม่เซี่ยอาจะเป็นเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่  อย่างไรก็ตาม แม้นว่าสถานะของจวินโม่เซี่ยเป็นรององค์ชายทั้งสาม เขายังสามารถรับมือได้  ด้วยเหตุนี้ การใช้ชื่อเสียงจอมเสเพลอันโดดเด่น ซึ่งมีนิสัยขี้โกงและอันธพาล จึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่น่าสงสัย  ดังนั้น หลังจากได้รับรายงาน จวินวูอี้และถังหยวนจึงมองไปยังใบหน้าของ นายน้อยจวินอย่างรวดเร็ว

 

” โม่เซี่ย มันสำคัญที่จักต้องตัดสินเรื่องนี้  มันจะต้องมีวิธีการโกงบางอย่าง  ด้วยเหตุนี้มีเพียงเจ้าที่สามารถ “

จวินวูอี้เอ่ย

 

ท่าทางเช่นนี้เรียกว่าอะไร ?  เหตุใดจึงเปรียบข้าเป็นตั่งตัวโกงและอันธพาล ?

จวินโม่เซี่ยเริ่มหม่นหมอง

 

” นายท่าน เป็นดั่งที่เอ่ยกันว่า ใช้ปิศาจปราบปิศาจ  การมีส่วนของตัวท่านเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด “

ถังหยวนตบขณะยกยอ

 

คำเยินยอของเจ้าอ้วนทำให้ นายน้อยจวิน มีโทสะ

ใช้ปิศาจปราบปิศาจ ?  ข้าเป็นปิศาจในร่างคน ?

 

คำพูดเยินยอที่เสื่อเสียทำให้นายน้อยจวินต้องสถบ

แม่เจ้าเอ๋ย !

 

เขาพูดว่ากระไร ?  เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าเป็นปิศาจ ?  ช่างไร้สาระ !

 

อย่าไรก็ตาม ปัญหาระดับนี้สามารถแก้ไขได้โดยผู้ที่สามารถเท่านั้น

 

ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงรีบมุ่งไปยังสถานที่ซึ่งเสียงโหวกเหวกดังขึ้น

 

กระนั้น ก่อนที่เขาถึงสถานที่นั้น เขาพุ่งเข้าใส่ เซี่ยวฮั่น มูซื้อทง และ น้องสาวของ ฮั่นเซี่ยวโย่ว และตามมาด้วย สมาชิกระดับสูงสกุลมูล่ง

 

มูซื้อทงยิ้มแผ่วเบา และพยักหน้า ในขณะที่ เซี่ยวฮั่นคำรามทางจมูกเยือกเย็น  เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยโสและทำประหนึ่งมองไม่เห็นจวินโม่เซี่ย  มีเพียงเด็กน้อยที่มองไปยังใบหน้าของจวินโม่เซี่ยและคว้าปกเสื้อของเขา  นางทำปากห้อยขณะเพ่งมองไปที่จวินโม่เซี่ยและพูด

” เด็กน้อยสกุลจวิน ทักทายอาของเจ้า และนางจะทำดีกับเจ้า “

 

จวินโม่เซี่ยในเวลานี้อารมณ์ไม่ดีนัก  ด้วยเหตุนี้เขาจึงกรอกตาและตอบกลับ

” ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่า พี่สาวเจ้าและน้าของข้ายังมิได้แต่งกัน  ยิ่งไปกว่านั้น จะกล่าวให้ถูกต้องคือ พวกเขาประสงค์จะแต่งงานกัน  เช่นนั้น เจ้าจะสามารถเงียบปากลงได้หรือไม่ ?  โอ้ว เจ้ารู้อะไรไหมท่านป้า ?  ดูเจ้าสิ หน้าอกของเจ้าแบนราบ เอวและก้นของเจ้ายังไม่มีส่วนโค้ง ดูผมเจ้าสิ ดูเช่นไรก็คลับคล้ายกับเส้นขน แม้แต่กลิ่นน้ำนมก็ยังไม่จากหายไปจากตัวเจ้า  ตอนนี้เจ้าเข้าใจผิดไปหรือว่าเจ้ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาวุโสผู้นี้ ?  หอให้ตัวเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อน ค่อยมากคุย และเสแสร้งทำเป็นคนในวัยเดียวกับข้า “

 

คำพูดเหล่านี้ของจวินโม่เซี่ยทำให้โกรธเคืองอย่างแท้จริง  ความจริงแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใดที่เอ่ยเช่นนี้

 

เด็กสาวผู้นี้เติบโตกว่าเด็กชาย  แม้ว่า น้องเล็กของ ฮั่นหยานโย่ว อายุสิบสีหกเดือน หากแต่นางก็ยังมิได้เป็นผู้ใหญ่  อย่างไรก็ตาม อาจจะบอกได้ว่ามันเป็นดั่งการเริ่มเอ่ยคำมั่น  หากเทียบกับตูกู้เซี่ยวอี้นางมิได้ขาดในด้านใด ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงไม่อาจถูกต้องเมื่อบอกว่า นางแบนดั่งแผ่นเนื้อ

 

” เจ้า … เจ้า “

น้องสาวฮั่นหยานโย่วได้ยินคำพูดไร้สาระของจวินโม่เซี่ย นางกระทืบเท้า  นางอดจะรู้สึก อับอายและโกรธเคืองมิได้  นางกระทืบเท้าเล็กๆลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะใบหน้าน้อยๆอันโสภาของนางกลายเป็นสีแดง  ทันใดนั้นเอง ดวงตาของนางเปลี่ยนทิศไปขณะพูดอย่างระมัดระวัง

” ข้าไม่สนใจ  แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าเจ้ามีเรื่องเร่งรีบเล็กน้อย  เช่นนั้น ข้าจะไม่ให้เจ้าผ่านไปหากเจ้ายังมิเรียกข้าว่าท่านน้า ไม่ว่าเจ้าประสงค์สิ่งใด !   ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าไม่เป็นกังวล “

มือเล็กๆของนางคว้าคอเสื้อของเขาไว้

 

สถานะของนางสูงส่งมากใน นครพายุหิมะสีเงิน แม้ว่านางจะยังเด็ก  อย่างไรก็ตาม สถานะของนางก็มิได้สำคัญ เพราะเรื่องนั้นเป็นของคนรุ่นก่อน  เดิมทีแล้ว นางเรียกผู้อื่นว่า อาจารย์ นายท่าน ท่านลุง ลุงใหญ่ ปู่ ทวด  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางเป็นเด็กในสกุล นางจึงได้แต่เรียกคนในรุนราวคราวเดียวกับนางว่า พี่สาว พี่ชาย

 

เมื่อนางได้มาพบกับเด็กน้อยสกุลจวินในนครเทียนเชียง นางจึงต้องการให้เจ้าปิศาจน้อยผู้นี้แสดงความเคารพต่อนางโดยเฉพาะ เมื่อนางได้รู้ว่า พี่ใหญ่ของนางจะแต่งงานกับลุงของเขา จวินโม่เซี่ยจึงถือได้ว่าเด็กกว่านาง  นั่นจึงเป็นโอกาสที่น่ายินดีสำหรับนาง  เป็นดั่งการที่นางได้เจอสมบัติซึ่งนางเฝ้าฝัน  นางจะปล่อยเขาไปง่ายๆได้อย่างไร ?  เดิมที นางรังวานเขา และต่อสู้หลังชนฝาเพื่อให้ถูกเรียกว่าน้าสาว

 

” เฮ้ย … “

จวินโม่เซี่ยได้ยินเสียงดังจากด้านนอก และมันยิ่งดังขึ้นทุกขณะ  ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าทันที

” เอาละ ข้าเกรงจะบอกเจ้าว่าจะเรียกเจ้าว่าอะไรดีจึงไร้ซึ่งคำถาม  หมู … น้อย !  เจ้าเป็นหมูน้อย ? “

 

เสียงของเขาคลุมเครือและพูดคำนี้อย่างนุ่มนวล  ดังนั้น สาวน้อยจึงมิอาจได้ยินมันได้อย่างถูกต้อง  แม้นว่าจะดูเหมือนมีพิรุธ แต่นางก็ยังคิดว่าเขาเรียกนางว่า น้า  ด้วยพึงพอใจ นางยกคางเล็กๆ หน้าอกน้อยๆ และ ปล่อยมือจากปกเสื้อจวินโม่เซี่ย ขณะนางโบกมือและพูด

” ไป ทำตัวดีๆเด็กน้อย  แต่ในวันหนึ่งข้างหน้า เจ้าจะต้องเรียกข้าว่าท่านน้า ก่อนเอ่ยชื่อ และน้าสาวผู้นี้จะปกป้องเจ้า “

 

คล้ายว่าจวินโม่เซี่ยจะลอกลวงเพื่อการได้อภัย  เขาหายตัวไปดั่งกลุ่มควัน

 

” โอ้ เขาเพิ่งเรียกข้าว่า น้า … เหตุใดมันจึงรู้สึกไม่ถูกต้อง ? “

เด็กสาวพึมพำกับตัวเอง

 

” เขาเรียกเจ้าว่า หมูน้อย มิได้เรียกเจ้าว่า น้า “

มูล่งเจียนจวินเคยเกี้ยวพา องค์หญิงหลิงเมิง และจวินโม่เซี่ยคือคู่แข่งที่แข็งแกร่ง  ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวผู้นี้งดงามยิ่ง  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพยายามทำให้จวินโม่เซี่ยดูแย่ลง เพื่อหวังเอาชนะใจของหญิงสาวผู้นี้

 

ปากของ ฮั่นหยานเมิง ดูคล้ายกาน้ำชาขณะนางบุ้ยปาก  นางหันไปด้วยควาโศกเศร้าในหัวใจ ขณะที่เห็นเพียงแค่ด้านหลังของจวินโม่เซี่ยห่างออกไป  นางกำมือน้อยๆแน่น

 

” ไปตายซะเจ้าชั่ว ! “

 

เซี่ยวฮั่น และ มูซื้อทง เหลือบมองอย่างโหดร้ายพร้อมกัน

 ” เงียบ ! “

 

ทั้งสองจากนครพายุหิมะสีเงินมีสีหน้าไร้อารมณ์  พวกเขาทั้งสองนั้นมีเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน เนื่องจากไม่เคยจะเห็นด้วยในเรื่องเดียวกัน  แต่กระนั้น กลับกลายเป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเขา ที่ทั้งสองเอ่ยในสิ่งเดียวกัน  พวกเขามองหน้ากัน คำรามทางจมูกพร้อมกัน และหันหน้าหนี …. ในเวลาเดียวกัน

 

มูล่งเจี้ยนจวินเงียบปากลงเนื่องด้วยกลัว

 

เห็นได้ชัดว่า เซี่ยวฮั่น รังเกียจ มูล่งเจียนจวิน เพียงแค่มองจากใบหน้าของเซี่ยวฮั่น ก็บอกได้ว่าเขาต้องการจะเตะก้นเจ้าเด็กนี่  สิ่งที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นคือ ฮั่นหยานเมิง เป็นเป้าหมายในหัวใจของหลานชาย และได้รับอนุญาติจากสกุลเซี่ยวให้เป็นสะใภ้  เห็นได้ชัดว่าเขาจักไม่ปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นต่อหน้าของเขา

เด็กๆจากสกุลมูล่งอันต้องต่ำของเจ้า ต้องการจะเคลื่อนไหวเช่นนี้ ?  เจ้าเชื่อจริงๆหรือ ว่าคางคกสามารถกินเนื้อหงส์ได้ ?  เจ้าประเมินความสามารถตัวเองสูงเกินไป

 

สำหรับมูซื่อทง การไล่เตะผู้อื่นในขณะที่พวกเขาย่ำแย่นั้นเป็นเรื่องเลวทราม  ดังนั้น เขาจึงไม่ประเมิน มูล่งเจียนจวิน ดีเกินไป

 

ในขณะที่จวินโม่เซี่ย มาถึงที่นี่ องค์ชายสามอยู่พร้อมกับลูกของ องค์รัชทายาท หยางมู่  ความจริงแล้ว พวกเขาเริ่มก่อปัญหายิ่งขึ้น

 

หยางมู่ น้องผู้น่ารักได้พบกับจวินโม่เซี่ยหลายครั้ง  น่าประหลาดใจ ที่เขาดูมีความสุขกับความเจ็บปวดที่ก้น อันธพาล ตัวโกง และเด็กเสเพลสำหรับพี่ๆ  เขาลงจาก รถม้าอย่างกระตือรือล้น และวิ่งตรงไปยัง หอชนชั้นสูง  สถานที่นี้คุ้นเคยสำหรับเขา เนื่องด้วยเคยมาหลายหนแล้ว

 

องค์ชายหนึ่ง และสองยังคงเฝ้ามองอยู่ใน ราชรถ เนื่องจากพวกเขายังคงคิดว่า สิ่งนี้มิได้สำคัญกับตัวเอง  แต่กระนั้น องค์ชายสามมิได้มีความสุข  ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เขาพยายามไล่กวดพี่ชายทั้งสองนั้นมิอาจทำได้  แม้นว่าความแข็งแกร่งของเขาจะน้อยที่สุดในท่ามกลางสาม และเป็นอีกครั้ง ที่ดูเหมือนว่าจะโชคร้ายสำหรับเขา  เขาพยายามเบียดทั้งสองอย่างหนัก แต่ยังถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง  เห็นได้ชัดว่ามันทำให้เขาหม่นหมอง แม้นในตอนนี้ เขาจะมองตัวเองเป็นองค์ชาย และรู้สึกว่าเขายังไม่สามารถเข้าไปได้  อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยหยางมู่ก็แซงหน้าองค์ชายทั้งสามและกำลังจะเข้าไปด้านในก่อนพวกเขา ตอนนี้เขาจะเหลือเกียรติใดอีก ?

 

เขารับในสิ่งที่เด็กผู้นี้มอบให้  แต่กระนั้น เขาลืมไปว่า สกุลของ องค์รัชทายาทนั้นเป็นหนึ่งในสามผู้ก่อตั้ง หอชนชั้นสูง

 

” นั้นคงมิใช่ลูกพี่ลูกน้องมู่ ?  เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าต้องทักทายญาติผู้พี่เมื่อเจ้าเจอเขา ?  ยิ่งเจ้าอาวุโสขึ้น เจ้าลืมกำพืดกระนั้นหรือ ?  เจ้าเป็นส่วนหนึ่งในราชวงศ์  เจ้าหาได้มีสมบัติผู้ดีและเที่ยวเดินชนผู้คนไปทั่วได้กระนั้น ?  สมาชิกสกุล องค์รัชทายาท นั้นช่างหยาบคายยิ่ง  พวกเขาไม่รู้จักรอคอยเจ้าเหนือหัวก่อนหรือกระไร ? “

องค์ชายสามร่างผอม และใบหน้าขาวเผือกเล็กน้อย  เสียงของเขาฟังคล้ายนุ่มนวลขณะออกมาจากราชรถ  เขายืนยึดมั่นอยู่บนพื้นขณะตำหนิลูกพี่ลูกน้อง

อย่างน้อยยังมีผู้หนึ่งที่ไม่ทิ้งข้าไว้เบื้องหลัง

 

” โอ้ว … คาราวะ … องค์ชายสาม “

หยางมู่ เหลือบมองเขาตระหนก  หยางมู่ ไม่สามารถพูดสิ่งใดได้มาก แต่เขาเกลียดลูกพี่ลูกน้อง องค์ายสามผู้นี้

 

” แล้วองค์ชายสาม ?  องค์ชายหนึ่งและสองก็รออยู่ และเจ้ายังมิได้เอ่ยปากกับเขา  กริยาของเจ้าช่างน่าเกรงกลัว !  เจ้าคิดว่าผู้อื่นต้อยต่ำกว่าเจ้าหระนั้น ?  หรือว่าเจ้ามิเคยศึกษามารยาท ?  อืม ? “

องค์ชายสามมองหยางมู่เย่อหยิ่ง เขาพึงพอใจเนื่องด้วยได้ระบายโทสะ

 

เขารู้ว่าหยางมู่นั้นมิมีนิสัยครหา  นั่นเพราะเขาต้องการผู้ที่มีสถานะเหมาะสมให้เขาสามารถปลดปล่อยโทสะและความรู้สึกได้  หยางมู่ ยังเด็กแต่ฐานะของเขาก็สูงส่ง  ยิ่งไปกว่านั้น เด็กผู้นี้มีท่าทางอ่อนโยน จึงกลายเป็นเป้าหมายที่ดีของเขา  มากไปกว่านั้น แม้นว่า องค์รัชทายาทจะมีอำนาจมากมาย และเป็นเป็นพี่ของเขา เขาก็ยังใช้ชีวิตเรียบง่าย และไม่เคยแสดงความสนใจในเรื่องของ ราชวงศ์เลย  อาจกล่าวได้ว่า อิทธิพลของเขาในราชวงศ์นั้นน้อยนิด  ดังนั้น องค์ชายสามจึงน่าจะละอายต่อหยางมู่ ผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าของเขาโดยไม่ต้องสงสัย  ความจริงแล้ว เขาไม่เคยสนใจถึงเรื่องจริงที่เด็กน้องผู้นี้มีชื่อแซ่เดียวกับเขา

 

ภายในขบวนองค์หญิงหลิงเมิง ชายชุดดำมีสีหน้าหมดหมองมากขึ้นเมื่อได้เห็นสิ่งนี้

 

หยางมู่นั้นเพียงแค่สิบขวบ  เขาจะสามารถทนต่อคำวิพากษ์ที่น่าเกลียดนี้ได้อย่างไร ?  ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่เด็กก็รู้ว่านั่นมิใช่ความผิดของเขา  ดังนั้น มันจึงทำให้รู้สึกผิดตามธรรมชาติ   ด้วยเหตุนั้น ขอบตาของเขาจึงเริ่มแดงขณะน้ำตาเริ่มเอ่อนอง  ไม่นาน มุมปากของเขาเริ่มกระตุก และดูเหมือนว่าเขากำลังจะร้องไห้

 

” นั่นจะมากไปแล้ว พี่สาม !  เด็กนั่นยังมิได้เอ่ยสิ่งใด เหตุใดท่านจึงทำให้เขากลัว ? “

องค์หญิงหลิงเมิงมิอาจทนดูได้อีกต่อไป  ความจริง นางเกือบจะวิ่งออกไปจากราชรถ และพุ่งไปหาพวกเขา  ในขณะนั้นเอง ชายเกราะสีดำผู้ใจเย็นและสงบที่อยู่ด้านหลัง ดึงนางกลับไป

 

” เด็กน้อย ?  เด็กนี่มิได้เข้าใจมารยาทแม้แต่น้อย  พวกเราเป็นสมาชิกราชวงศ์  พวกเราคือชนชั้นสูงแห่ง นครเทียนเชียง เจ้าจะเปรียบเขากับเด้กธรรมดาได้เช่นไรกัน ? ข้าเพียงแค่สั่งสอนเขา เนื่องจากมันสำคัญที่เขาต้องเข้าใจถึงมารยาทการเคารพ  หลังจากนั้น เมื่อเขาต้องรับมือเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง เขาจะได้ไม่ต้องทำตัวแย่ๆ  เขาจักต้องไม่นำความเสื่อมเสียมาสู่ราชวงศ์ “

 

มุมปากขององค์ชายสามยกขึ้นขณะยิ้มเยือกเย็น  เขามิได้ให้ความสำคัญกับน้องสาว หรือจริงจังกับนาง

 

” โอ้ …. โอ้ … โอ้ …. นั่นคงมิใช่องค์ชายสาม ?  กริยาท่านด้อยลงยิ่ง !  ความจริงแล้ว ท่าทางของท่านก็ต่ำช้าลงไปมาก !  ท่านมายืนอยู่นห้าประตูโดยไม่ยอมเข้ามาได้เช่นไร ?  คงมิได้ต้องการให้ สกุลจวิน สกุลถัง และองค์รัชทายาทเสียหน้าใช่ไหม ? “​

 

ทั้งหมดได้ยินเสียงอันแปลกประหลาดขณะจวินโม่เซี่ยเดินออกมา  คิ้วของเขาชี้ขึ้น และมีประกายเจ้าเล่ห์ในดวงตา  เขาก้าวตรงไปอย่างโอ้อวด และหยุดตรงหน้าหยางมู่  ด้วยเท้าข้างหนึ่งอยู่ด้านหน้า และอีกข้างอยู่ด้านหลัง บิดเอวไปฝั่งหนึ่ง และทำท่าทางให้เลิศหรูดูดี

 

ยกมือขึ้นสู่อากาศ ขณะโบกพัดสีทองในมือ  ตอนนี้คือช่วงปลายสาทรฤดู และความร้อนยิ่งยวดที่มีอยู่นั้นหายไปในบัดดล  ความจริงแล้ว อาจจะบอกได้ว่ามันเริ่มเย็นขึ้นเล็กน้อย  ตอนนี้ จวินโม่เซี่ย โบกพัดด้วยท่าทีสง่างาม  เห็นได้ชัดว่าเขาขาดศีลธรรมอย่างชัดเจน  ทุกผู้ที่มองไปยังเขาอดรู้สึกว่าเขาเป็นบ้าไปไม่ได้

 

” นายน้อยสามจวิน องค์ชายผู้นี้กำลังสั่งสอนบทเรียนแก่ลูกผู้น้อง  เรื่องนี้หาเกี่ยวกับเจ้าไม่ “

องค์ชายสามดูหมิ่นคนเลวผู้นี้  ในสายตาของเขา เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงปลิดที่เกาะกินสิ่งที่พ่อแม่ของเขากระทิ้งไว้

 

” เจ้าบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าได้อย่างไร ?  พระองค์สาม ท่านกำลังขัดขวางเจ้าของคนที่สามแห่ง หอชนชั้นสูง  และสั่งสอนเขาไม่รู้จบ  สิ่งนี้ทำให้การประมูลของข้าล่าช้า  แล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าได้เช่นไร ?  สิ่งนี้ไร้เหตุผลกระนั้นหรือ ? “

 

จวินโม่เซี่ย มองไปยังใบหน้าของเขา ในสายตาของนายน้อยจวิน คนผู้นี้สามารถอยู่รอดได้เนื่องด้วยบารมีรุ่นพ่อ  ความจริงแล้ว คนผู้นี้มิอาจอยู่รอดได้ หากเขาจักต้องกระทำมันด้วยตัวเอง  ยิ่งไปกว่านั้น ส่ิงที่ทำให้คนผู้นี้ไร้คุณค่านั้นคือความทะเยอทะยานของเขา หากแต่เขาไม่มีฝีมือใดๆเลย

 

จวินโม่เซี่ยเสแสร้งมักใหญ่โดยการยืดอก  ร่างของเขาเอนไปเล็กน้อย และดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถยืนหยัดได้มั่นคงขณะเขาต่อ

“​เรื่องเล็กน้อยนี้เกี่ยวข้องกับการที่ หอชนชั้นสูง ของข้าจะได้รับเงินสีสาวและทองสีเหลือเปล่งปลั่ง  ความจริงแล้ว เรื่องนี้สำคัญเนื่องจาก เมื่อพวกเราหาเงินมาได้ พวกเราจะจ่ายส่วยแก่นคร  หากเจ้าขัดขวาง มันจึงหมายถึงว่าเจ้า กีดกันส่วยที่นครของเจ้าจะได้รับ  หากเจ้ากีดกันส่วยเหล่านั้น มันยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากมันหมายถถึงความเป็นอยู่ของผู้คน ! เจ้าพยายามล้มล้าระบบนี้กระนั้นหรือ ? “​

 

ขณะที่ปากของนายน้อยจวินกระพือไป น้ำลายของเขากระจายไปทั่ว บางส่วนพุ่งไปยังเสื้อผ้าขององค์ชายสาม รวมถึงหมกที่อยู่บนศรีษะของเขาด้วย

 

องค์ชายสามตัวสั่นเนื่องด้วยโกรธ

” เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระสามานย์อันใดกันจวินโม่เซี่ย ?  เจ้ากำลังคิดว่าข้า ก่อกบฏ จริงๆกระนั้นหรือ ? “

 

จวินโม่เซี่ยสีหน้าเยีนยหยัน

 ” ในที่สุดเจ้าก็ละทิ้งผู้คนในนครเทียนเชียง ?  ผู้คนในนครนี้มอบชีวิตอันหรูหราให้แก่เจ้า หนึ่งในผู้ที่ครองตำแหน่งสูงส่งและมั่งคั่ง … และตอนนี้เจ้ายังต้องการจะก่อกบฏ  เจ้า …. เจ้า …. เจ้า … เหตุใด ?​ เจ้าหาได้มีมนุษยธรรมเลยกระนั้น ? “

 

สีหน้าจวินโม่เซี่ยเต็มไปด้วยความปวดร้าวและขุ่นเคือง

 ” เจ้าถือกำเนิดมาในราชวงศ์  ความจริงแล้ว เจ้าเป็นหนึ่งในองค์ชายผู้สง่างาม แต่เจ้ากลับยังไม่เพียงพอ ?  อย่าบอกข้านะว่าเจ้าประสงค์ให้พี่ของเจ้าทะเลาะกัน ?   เพื่อให้เจ้าปีนขึ้นสู่จุดสูงสุด ?  เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ของสกุลเพื่อสิ่งนี้ ?  ยิ่งมีเชื่อสายราชวงศ์อยู่ในเลือดเนื้อของเจ้าอีกหรือไม่ ? “

 

องค์ชายสามรู้สึกโง่เขลา

เจ้าชั่วนี่พูดอย่างเกลียดชังและทุกข์ทนไม่หยุดหย่อน เขากล่าวโทษข้าอย่างขุ่นเคือง ขณะที่คำต่างๆที่เขาพูดออกมานั้น มากพอให้เห็นว่าเขามีหัวใจที่โหดร้ายและเจตนาที่ไร้ยางอาย  ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าปล่อยให้จวินโม่เซี่ยพูดต่อไป ข้าก็มิอาจรู้ได้ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใดอีก  ความจริงแล้ว การขอบคุณทุกผู้ที่อยู่ใต้สุริโยนี้มิอาจเพียงพอหากข้าต้องใช้ชีวิตเช่นนี้

 

เจ้าชั่วช้านี้มิรู้ที่ต่ำที่สูง … เขากล้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?  เจ้านั่นฟุ่มเฟือยและเสเพล ผู้ที่หาได้รู้ว่าสิ่งใดควรหลีกเลี่ยง !  และเจ้าคิดว่า ข้าเป็นเช่นเดียวกับเจ้ากระนั้นหรือ ?

 

ขณะนั้นเอง องค์ชายสามเริ่มรู้สึกอับอาย ในขณะที่เป็นฝ่ายเขาที่กำลังพ่าย  สิ่งที่แย่คือ หากมีผู้ใดส่งข่าวนี้ไปถึงหูท่านพ่อของข้า …

 

องค์ชายสามก้าวถอยว่องไวขณะปิดปากแน่น  เสียงที่เล็ดรอดออกมาเป็นดั่งการอ้อนวอน

” นายน้อยจวิน … เจ้า … เจ้า … อย่าเอ่ยเช่นนี้ !  เจ้า … เจ้า … เจ้า … ข้าตายแน่ .. ข้าอาจทำผิดไปแล้ว … ข้าจักไม่ขัดขวางเจ้า … “

 

มุมปากจวินโม่เซี่ยยกขึ้นขณะสีหน้าเยือกเย็น  จากนั้นครางหนหนึ่ง และใบหน้าของเขาเริ่มเปล่งปลั่ง

” โว้อาา !  ไม่บ่อยนักที่ได้เห็นองค์ชายสามและองค์หญิงหลิงเมิงมายังโถงอันโสมมของข้าพระองค์เอง  ว้าว ฮ่าฮ่า หอชนชั้นสูง  และข้าจะได้รับความคุมครองจ้าท่าน  ได้โปรดเชิญด้านใน เข้ามาเข้ามา ! “

จากนั้นหันหลัง เขาคำราม

” พวกเจ้ามัวทำสิ่งใดกันอยู่ ?  องค์ชายสามรอคอยเนิ่นนานแล้ว พวกเขายังไม่ทักทายและอัญเชิญเขาเข้าอีก !  ข้าโมโหยิ่ง !  ที่พระองค์ได้รับการละเลย !  นี่เป็น คำกล่าวหาที่ร้ายแรง  ผู้ใดเป็นผู้จัดการ ?  ข้าจักคุ้มกัน พระองค์และองค์หญิงหลิงเมิงเข้าด้านในด้วยตัวเอง ! “​

 

หือ ? คุ้มกันพวกเขาเข้าโถง

 

ทุกผู้มีสีหน้าแปลกประหลาด

เขาต้องการคุ้มกันองค์ชายสามและองค์หญิงเข้าในโถง ?

 

เจ้าคิดจริงๆหรือว่าองค์หญิงและองค์ชายต้องการการเรียนเชิญจริงๆ ?  นั่นเพียงสิ่งที่เจ้าคิด  การเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่า  ตอนนี้ข้าได้เห็นทุกสิ่งอย่าง

 

มีผู้คนยืนอยู่ทั่วทุกทิศ  แม้นจะได้เห็นถึงการกระทำของเขา แต่ไม่ค่อยมีผู้ใดเห็นถึงความเป็นจริง

 

อย่างเช่น ….

 

” เกิดสิ่งใดขึ้น ? “

องค์ชายหนึ่งถามคนของพระองค์ด้วยสีหน้าหม่นหมอง

 

” ยากจะบอกได้ ! “

เงาร่างมีหนวดคล้ายแพะตอบกลับ

” นายน้อยจวินผู้นี้ช่างโอ้อวดยิ่ง  ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นดั่งข่าวลือ  เขาช่างโง่เขลาเบาปัญญาเป็นแน่แท้  แต่กระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ฉลาดล้ำอย่างแท้จริง  หากเจ้าเหนือหัวของพระองค์ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามดึงตัวผู้นี้ไปอยู่ฝ่ายเขา ข้าคาดว่าเขาจักต้องสังเกตุชายผู้นี้ให้ถี่ถ้วน “

อีกผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาพยักหน้าเห็นพ้อง

 

” อืม สหายท่านนี้ มิใช่สิ่งที่ข้าดว่าเขาจะเป็น  ข้าเชื่อว่าเขามิอาจรับมือกับปัญหานี้ได้  ความจริง ข้าเพียงแค่ขำขันเขาดั่งเรื่องตลก  แต่กระนั้น เรื่องนี้จะต้องอยู่ในใจอย่างแน่แท้ “​

องค์ชายโตพยักหน้า และยิ้ม

“กระนั้น วิธีคดโกงเช่นนี้มักทำให้ข้าปวดหัว   เจ้าไม่คิดว่ามันจะคุ้มค่าที่ได้เฝ้ามองเขาอย่างถี่ถ้วนกระนั้นรึ ?  ฮ่า ฮ่า … “

 

ทั้งสองยิ้ม

 

อีกตัวอย่างหนึ่ง …

 

” การเสแสร้งเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายอย่างมาก เหมือนดั่งเช่นอดีต ! “

องค์ชายสองเฝ้ามองจวินโม่เซี่ยจากที่ห่างไกล ขณะที่ไม่พยายามปิดบังความรังเกียจในสายตา

 

เฉิงเคอเฉา กัดฟันเอ่ย

” สิ่งเช่นนี้น่าอัปยศยิ่ง !  นายน้อยแห่งสกุลจวินช่างเหลืออดยิ่งนัก  หากมิใช่เพราะชื่อแซ่สกุล ข้าคงจะสังหารเขาไปเนิ่นนานแล้ว ! “

ดวงตาของเขาเปล่งประกายเยือกเย็นขณะนี้

จวินโม่เซี่ย ข้ามาถึงแล้ว และข้าเห็นว่าเจ้ายังกระทำอวดดีดั่งเช่นแต่ก่อน  ข้าจะให้เจ้าชดใช้เป็นสองเท่าสำหรับความอัปยศครั้งล่าสุด  ข้ารอความตายของเจ้าอยู่ !

 

ด้านข้างของเขา ฝางบูเหวินหนวดขาวเพ่งฌานและเอ่ยเชื่องช้า

” เรื่องวันนี้แปลกยิ่งนัก “

เขาพยักหน้าหลังจากเขาฌานอีกเล็กน้อย

” ​แปลกยิ่ง ! “​

 

ชายชุดดำที่อยู่หลังองค์หญิงหลิงเมิงเอ่นอย่างรวดเร็ว ด้วยเสียงต่ำ

” นี่นายน้อยสามแห่งสกุลจวินที่ลือกัน ?  จวินโม่เซี่ย ?  เขาดูคล้ายไม่ประสาแม้นจะอายุเช่นนี้ ดูเหมือนว่ามิได้เป็นความจริง  เขาช่างเป็นนายน้อยที่น่าสนใจยิ่ง “