ตอนที่ 110-1 ความรักที่ไม่รู้ประสา

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

มีผู้คนที่จากไปก่อนหน้า หลังจากนั้นก็มีผู้ที่จากไปอีก 

 

 

หลังจากที่ออฮยูลเจจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ฮวางแทจา หรือบีพาอันก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างที่ทุกคนคาดเดาไว้ ฮวางแทจา บีพาอัน ไม่สิ ชองฮยอลเจเริ่มการปกครองแบบแผ่แสนยานุภาพทางการทหารอย่างเต็มที่ เหล่าขุนนางที่เคยต่อต้านการปกครองของชองฮยอลเจในช่วงต้นสมัยการปกครอง ไม่นานก็ได้ประจักษ์ว่าการปกครองของเขานั้นหาใช่การปกครองแบบรวบอำนาจไว้ที่กษัตริย์อย่างโหดเหี้ยม ทว่ามันคือการปกครองที่มุ่งให้มกกุกกลายเป็นอาณาจักรมหาอำนาจ ขุนนางเหล่านั้นจึงได้ยอมรับเขาในที่สุด  

 

 

ชองฮยอลเจที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจากการปกครองแบบรวบอำนาจ ได้มีคำสั่งให้เหล่าพี่น้องของตนที่เคยอยู่ประจำวังทั้งสี่ทิศ ไปปกครองเมืองลูกที่อยู่ไกลโพ้น ที่ว่าส่งให้ไปเป็นกษัตริย์นั้นก็เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรู ความจริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการกำจัดผู้ที่เป็นอันตรายต่อบัลลังก์ให้ออกไปจากตัวเมือง อีกทั้งเขายังตั้งระบอบผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้นอีกด้วย ในอดีตนั้น พระราชวังมกกุกมีผู้สืบทอดสี่คนที่เรียกว่า ซาบังกุง ทว่าในสมัยของชองฮยอลเจนั้นมีเพียงฮวางแทจาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว และเขาคนนั้นก็คือฮวางแทจา โดฮวาน ผู้ที่ถือกำเนิดจากพระชายาฮวางแทจา กโยซึลที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นฮวังฮู รีจิน ที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อยด้วยโรคภัย 

 

 

ชองฮยอลเจนั้นไม่รับภรรยาเพิ่มเหมือนกับจักรพรรดิองค์ก่อนๆ อีกทั้งเขายังไม่ไปเยือนตำหนักของฮวังบีที่มีเพียงหนึ่งเดียวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้หลังจากนั้นเขาไม่มีทายาทเพิ่มอีกเลย มีเพียงฮวางแทจา โดฮวานเท่านั้นที่เป็นสายเลือดโดยตรงของเขา สายเลือดโดยตรงเพียงหนึ่งเดียวของเขานั้นทำให้ชองฮยอลเจยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และระบอบการปกครองแบบรวบอำนาจของเขานั้นก็ยังทำให้มกกุกยิ่งมั่นคง และเนื่องจากชอง 

 

 

ฮยอลเจเป็นจักรพรรดิแห่งประวัติศาสตร์ จึงถูกยกย่องขนานนามว่ามหาจักรพรรดิ ชองฮยอลชอน 

 

 

ชองฮยอลเจที่บรรลุการปกครองที่เป็นไปอย่าวสันติหาได้ปรารถนาสิ่งอื่นใดอีก เขาหวังเพียงให้โดฮวานนั้นเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง แล้วสืบทอดอำนาจต่อจากเขาเพียงเท่านั้น ชองฮยอลเจที่ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยใบหน้าเย็นชาอยู่ทุกเมื่อนั้น ปฏิบัติตัวอย่างเอาใจใส่และอ่อนโยนกับโดฮวานแต่เพียงผู้เดียว และโดฮวานเองก็เคารพบิดาของตนด้วยใจจริง และถือคำของบิดาตนเป็นดั่งคำจากสวรรค์ โดฮวานนั้นเติบโตขึ้นมาอย่างเฉลียวฉลาดและแข็งแรง แม้ชองฮยอลเจจะปลื้มปีติเป็นอย่างมาก ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นภาพของฮวางเซจา รูแฮ ผู้เป็นน้องชายของตนจากโดฮวานที่เติบโตเป็นหนุ่ม แต่เขาก็รักและถนุถนอมโดฮวานยิ่งกว่าผู้ใด และหลังจากที่ชองฮยอลเจขึ้นครองบัลลังก์ได้ยี่สิบปีพอดี เขาก็ได้ประกาศสิ่งหนึ่งโดยที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน 

 

 

“ข้าพเจ้าจะขอลงจากบัลลังก์ และมอบให้ฮวางแทจาเป็นผู้สืบทอด” 

 

 

จักรพรรดิผู้ปกครองแบบรวบอำนาจนั้นจะถือว่าเป็นเทวราช แต่ถึงกระนั้นชองฮยอลเจก็ปกครองมกกุกมาหลายสิบปี และได้รับความรักจากราษฎรอย่างล้นหลาม เพราะฉะนั้นการประกาศสละราชสมบัติของเขาจึงเป็นที่พูดถึงไปทั่วทั้งราชอาณาจักร และไม่นานทุกคนก็ยอมรับจักรพรรดิองค์ใหม่ แต่ชองฮยอลเจที่สละบัลลังก์ไปแล้วก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ เขาช่วยสนับสนุนจักรพรรดิองค์ใหม่อย่างดงยองเจอยู่ข้างหลังโดยตลอด ดงยองเจได้สานต่อสิ่งที่ชองฮยอลเจทำไว้ โดยการทำให้มกกุกกลายเป็นอาณาจักรแห่งวัฒนธรรม ณ ตอนนี้มกกุกเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเกินกว่าใครจะเทียบได้ และดงยองเจที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัฒนธรรมในช่วงเวลาอันรวดเร็วนั้น ก็ได้ถูกยกย่องขนานนามว่าเป็น ‘จักรพรรดิแห่งวัฒนธรรม’ 

 

 

ผ่านไปสี่ปี หลังจากที่ดงยองเจขึ้นครองราชย์ 

 

 

ดงยองเจที่มีอายุยี่สิบเจ็ดปี ที่จะถือว่ายังเยาว์วัยอยู่ก็ได้นั้น แน่นอนว่าด้วยความสามารถที่โดดเด่นของเขาเองก็มีส่วน ทว่าเพราะได้รับแรงสนับสนุนจากแทมุนจัง ผู้เป็นผู้บังคับบัญชาขุนนางฝ่ายพลเรือน จึงทำให้มกกุกเป็นอาณาจักรเรืองอำนาจทางวัฒนธรรมได้ในที่สุด ดงยองเจนั้นให้ความเคารพนับถือแทมุนจังที่มีอายุเกือบห้าสิบปีได้แล้ว เขาให้ความเชื่อใจต่อแทมุนจังมากกว่าแทกงชินที่จะมีอำนาจรองลงมาจากจักรพรรดิเสียอีก ความสามารถของแทมุนจังนั้นโดดเด่นเสียจนมีคำพูดที่ว่าความจริงแล้วผู้นำด้านการพัฒนาวัฒนธรรมนั้นคือ แทมุนจัง และแทมุนจังที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากดงยองเจเป็นอย่างมากนั้น ในวันนี้เขาก็ได้มาร่วมสนทนากับองค์จักรพรรดิเป็นการส่วนตัวอีกแล้ว 

 

 

“ความคิดของแทมุนจังไม่เคยขัดแย้งกับเราเลย” 

 

 

ใบหน้าของดงยองเจเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แทมุนจังที่ได้เห็นรอยยิ้มขององค์จักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่ก้มหน้าลง 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ฮ่าฮ่า เราบอกแล้วอย่างไรว่าให้ทำตัวตามสบาย จะว่าไปแล้วมุนจังบูอินเองก็ดูแลสตรีฝ่ายในได้ดีนัก” 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

แทมุนจังก้มหัวลงครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นมกกุกในอดีต ท่าทางเช่นนี้อาจดูเป็นการกระทำที่เกินความพอดีนัก ทว่าหลังจากสมัยอำนาจของชองฮยอลเจนั้น สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่ควรกระทำ 

 

 

มุนจังบูอินคือ ภรรยาของแทมุนจัง หลังจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแทมุนจังไม่นาน ด้วยฝีมือด้านศิลปะวรรณกรรมอันโดดเด่นที่เป็นที่เลื่องลือของมุนจังบูอิน จึงทำให้ฮวังฮูขอร้องต่อดงยองเจให้นางมาเป็นอาจารย์ให้ มุนจังบูอินที่ในตอนแรกรับหน้าที่เป็นเพียงอาจารย์ของฮวังฮูเพียงเท่านั้น ไม่นานก็กลายเป็นอาจารย์ของเหล่าสตรีฝ่ายในทั้งหมด จนถึงขั้นที่มีคำพูดที่ว่าหากหญิงใดในราชสำนักไม่ได้รับการสั่งสอนจากมุนจังบูอิน นับว่ามิใช่สตรีฝ่ายในอย่างแท้จริง แม้แต่นางสนมที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งก็ยังส่งข้ารับใช้ไปขอร้องให้นางมาช่วยสอน และไม่นานสิ่งเหล่านี้ก็แพร่กระจายไปถึงเหล่าภรรยาของขุนนางทั้งหลาย จนในตอนนี้ได้มีการจัดการชุมนุมขึ้นที่บ้านของแทมุนจังเดือนละครั้ง 

 

 

“เพื่อเป็นการตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยของมุนจังบูอิน ข้าพเจ้าจะแต่งตั้งนางเป็นแทจองมุนบูอินในเร็ววันนี้” 

 

 

“องค์ องค์จักรพรรดิ!” 

 

 

ด้วยความตกใจ แทมุนจังจึงเผลอเงยหน้าขึ้นมองดงยองเจ ทว่าดงยองเจหาได้ต่อว่าแต่อย่างใด เขาทำเพียงแค่ยกยิ้มอ่อนโยนให้แทมุนจังเพียงเท่านั้น  

 

 

บรรดาศักดิ์แทจองมุนบูอินนั้น ต่อให้เป็นภรรยาของแทมุนจังก็ใช่ว่าจะสามารถได้รับการแต่งตั้งได้โดยง่าย สตรีที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแทจองมุนบูอิน บรรดาศักดิ์ที่สูงที่สุดที่เหล่าภรรยาของขุนนางฝ่ายพลเรือนจะได้รับนั้นแทบจะนับนิ้วได้ 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

แทมุนจังที่พยายามเก็บกักความตกใจเอาไว้ รีบลุกขึ้นถวายความเคารพทันที หากดูจากหนวดยาวของแทมุนจังที่มีเริ่มมีหนวดเส้นสีขาวแซมขึ้นมาบ้างแล้วนั้น นับว่าเขานั้นอายุมากพอที่จะเป็นพ่อของดงยองเจได้ ทว่าทั้งคนที่กำลังทำการคารวะอยู่ และคนที่รับการคารวะนั้นกลับมีท่าทีที่คุ้นชินกับการกระทำนี้ 

 

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เราได้ยินว่าแทมุนจังรักภรรยาของตนมาก เห็นทีว่าจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว ในตอนที่เราจะแต่งตั้งแทมุนจังให้เป็นแทกงชิน ท่านปฏิเสธเราถึงเพียงนั้น ทว่าพอเราจะแต่งตั้งภรรยาของท่านให้เป็นแทจองมุนบูอินกลับรับไว้อย่างไม่ลังเล” 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ดงยองเจหัวเราะออกมาเสียงใส และแทมุนจังก็ทำเพียงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น 

 

 

*** 

 

 

ใบไม้ของต้นไม้ที่ตั้งสูงตระหง่านปลิวไหวด้วยแรงลมที่พัดผ่านมาเบาๆ ต้นไม้ต้นใหญ่นั้นชูลำต้นอยู่กลางเนินเขาโค้ง ข้างใต้นั้นมีสตรีรูปโฉมงดงามที่สวมชุดผ้าแพรยืนอยู่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรนางนั้นน่าจะอายุราวๆ สามสิบตอนปลายเป็นแน่ ทว่าความจริงแล้วนางอายุเลยสี่สิบเข้าไปแล้ว และสตรีนางนั้นก็คือภรรยาของแทมุนจังที่เพิ่งได้รับการบรรดาศักดิ์ให้เป็นแทจองมุนบูอินเมื่อไม่นานมานี้  

 

 

ขณะนี้ดงยองแจที่เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่มีภรรยามากมาย และได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นสี่พระองค์อีกครั้งในรอบสี่ปี แตกต่างกับจักรพรรดิองค์ก่อนที่สละราชสมบัติไปอย่างชองฮยอลเจ ที่มีชายารองเพียงแค่หนึ่งคน และมีทายาทเพียงคนเดียวเท่านั้น แทจองมุนบูอินที่รับหน้าที่เป็นอาจารย์ของเหล่าสตรีฝ่ายในนั้น ต้องคอยทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนให้กับเหล่าสตรีในราชสำนักมาอย่างไม่ได้พักผ่อน ในวันนี้เองนางก็แวะเวียนไปที่ตำหนักของฮวังบีลำดับที่สาม และขากลับนางก็แวะมาที่สวนหลังวังฝ่ายนอก นางนัดหมายกับแทมุนจังให้มาพบกันที่นี่หลังจากปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว 

 

 

“บูอิน” 

 

 

เสียงอ่อนโยนดังขึ้นมาตามสายลม แทมุนจังที่เดินมาข้างหลังของแทจองมุนบูอินตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ตรงเข้ามาหานาง แล้วลูบไปที่แก้มของนาง แทจองมุนบูอินที่หลับตารับสัมผัสนั้นอยู่ ยกมือทั้งสองข้างของตนขึ้นวางทาบทับมือของแทมุนจังไว้ 

 

 

“วันนี้ท่านก็ทุ่มเทแรงกายเพื่อมกกุกอีกแล้ว”