ตอนที่ 109-2 ตัดใจ

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ชุดสีขาวที่ประดับด้วยเม็ดอัญมณีใสที่ส่องประกายวิบวิบเมื่อต้องแสงไฟจากตะเกียง เสื้อคลุมตัวนอกที่โอบคลุมไหล่บางไว้ พร้อมทั้งกระโปรงผ้าบางเห็นไปถึงข้างในที่ถูกรั้งไว้ด้วยโบผูกหน้าอก ด้านในนั้นมีชายกระโปรงบานซ้อนทับกันอยู่หลายชั้น ผมดำสนิทถูกรวบขึ้นประดับไว้ด้วยปิ่นปักผมมังกรทองและเครื่องประดับที่ปักไว้ด้านข้าง มันเป็นเครื่องประดับรูปดอกไม้และผีเสื้องามสง่า ส่วนปลายของก้านปิ่นที่ถูกดัดอย่างงดงามมีเม็ดอัญมณีประดับอยู่ประปราย ที่ใบหน้าเล็กขาวผ่องนั้นถูกแต่งแต้มด้วยผงสีชาดเพิ่มความมีชีวิตชีวา 

 

 

กริ๊ง กริ๊ง 

 

 

เครื่องประดับหัวสั่นไหวไปมาเมื่อต้องกับลมที่ไม่รู้ว่าพัดผ่านมาจากที่ใด สายลมพัดกระทบกับเหล่าเครื่องประดับอัญมณีจนเกิดเสียงดังกังวาน กลิ่นหอมหวานฟุ้งกระจายออกมาลางๆ จากถุงเครื่องหอมที่ถูกแขวนไว้ในที่ลับสายตา  

 

 

นางนั้นช่างงดงามเสียจนทำให้ข้างในปั่นป่วน และหัวใจแทบแหลกสลาย 

 

 

“เหตุใดจึงต้องสวมเครื่องประดับมากมายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้จะแตะต้องมันอยู่แล้ว” บีพาอันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือเสียงหัวเราะ ไม่สิ มันเป็นน้ำเสียงที่เขาพยายามอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ 

 

 

“ทรงยิ้มเยาะหม่อมฉันหรือเพคะ” 

 

 

“ทำไมเราจะต้องทำอย่างนั้นด้วย” 

 

 

“เพราะหม่อมฉัน…” กโยซึลไม่อาจเอ่ยออกไปได้  

 

 

เสียงหัวเราะเบาๆ ของบีพาอันดังขึ้นหลังจากที่ท้ายเสียงของกโยซึลแผ่วไป ทั่วทั้งตัวของเขาสั่นระริก แม้ว่าตนจะเฝ้าหวังมาตลอดว่าจะได้พบหน้านาง ทว่ามันไม่ใช่ในสภาพนี้ เขาไม่สามารถโอบกอดนางได้ ทว่าในคืนนี้นั้น นางช่างงดงามเหลือเกิน 

 

 

บีพาอันที่กำลังเดินไปที่เบาะรองนั่งหยุดฝีเท้าลง พลันหันตัวเดินเข้าไปใกล้เตียงนอน และหยุดอยู่ตรงหน้ากโยซึล กโยซึลสะดุ้งตัว นางหลับตาแน่นสนิททั้งสองข้าง บีพาอันเผลอยื่นมือออกไปเกลี่ยที่แก้มนาง ผิวของนางนุ่มราวกับเด็กน้อย ริมฝีปากที่ปิดสนิทนั่นฉ่ำวาวด้วยถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงชาด เขาอยากจะยื่นมือไปสัมผัสริมฝีปากที่ตนไม่อาจครอบครองได้ ทว่ามือที่ละล้าละลังของเขาก็เลื่อนไปที่คางของนางเสียก่อน หากเขาได้สัมผัสมัน หากได้สัมผัสความฉ่ำวาวสีชาดนั่น เขาจะสามารถหยุดตัวเองได้หรือไม่ 

 

 

ไม่มั่นใจเลย ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับกโยซึล บีพาอันมักจะไม่หลงเหลือความมั่นใจใดเลยทุกครั้งไป เขาทำเพียงไล้นิ้วเกลี่ยแนวคางเพรียวบางของนางลงมา มือที่เต็มไปด้วยความโหยหาไล้จากติ่งหูไปจนสัมผัสที่หลังคอ หลังจากนั้นเหล่าเครื่องประดับที่กโยซึลสวมอยู่ก็ร่วงลงพื้นทีละชิ้น 

 

 

เคร้ง เคร้ง  

 

 

เครื่องประดับร่วงหล่นอย่างระเกะระกะ บังเกิดเสียงดังก้องไปทั่ว 

 

 

ตึง 

 

 

สุดท้ายปิ่นปักผมมังกรทองที่ปักอยู่บนศีรษะก็ร่วงลงพื้น ปิ่นมังกรที่มักจะปักอยู่บนศีรษะของกโยซึลอยู่เสมอหล่นอยู่ที่ใดที่หนึ่งบนพื้นดังเช่นเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ หลังจากที่เครื่องประดับทั้งหมดถูกปลดออกไป ผมที่ถูกรวบไว้ก็สยายตัวลงบนเสื้อตัวนอกสีขาวราวหิมะ เส้นผมดำยาวปกคลุมลงบนเสื้อตัวนั้นราวกับผ้าห่มอันแสนนุ่มนิ่ม 

 

 

ทันทีที่บีพาอันผลักหน้าผากโหนกนูนของกโยซึลเบาๆ นางก็เอนตัวล้มลงไปข้างหลัง เส้นผมดำขลับกระจัดกระจายไปทั่วเตียง เมื่อถูกผลักอย่างไม่ทันตั้งตัว เสื้อคลุมตัวนอกที่คลุมไหล่อยู่นั้นก็เลื่อนลงเผยให้เห็นไหล่บาง กโยซึลขมวดคิ้วมุ่น แววตาที่สั่นระริกของนางเงยหน้ามองไปที่บีพาอัน ริมฝีปากฉ่ำวาวสีแดงชาดอ้าออกอย่างตื่นตระหนก 

 

 

หากได้โอบกอดนาง ใจของเขาจะสามารถเย็นลงได้หรือไม่ ทว่าหากทำเช่นนั้น กโยซึลจะต้องเจ็บปวดเป็นแน่ เขาไม่สามารถทำให้นางเจ็บปวดได้ ไม่ว่าตนจะต้องถูกแทง ถูกฉีกทึ้ง หรือต้องบาดเจ็บกี่พัน กี่หมื่น กี่ล้านครั้ง เขาก็หวังว่านางจะไม่ต้องได้รับความเจ็บปวดใด เขาอยากจะรั้งตัวนางเข้ามาในอ้อมกอดที่ถูกแช่แข็งจนหนาวเหน็บนี้ แล้วกระซิบคำว่า ‘ข้ารักเจ้า ข้ารักเจ้า’ ทว่าเขาไม่มีความกล้าที่จะทำอย่างนั้นเลย เมื่อคิดว่านางจะยอมรับตนหรือไม่ เขาก็ยิ่งกลัวถูกปฏิเสธ 

 

 

บีพาอันที่มองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งเดินถอยหลังกลับไปนั่งที่เบาะรองนั่ง เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ บีพาอันนั่งเอนหลังกับพนักพิงอยู่ข้างนั้น รอยยิ้มบนริมฝีปากยังไม่จางหายไป ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มของเขานั้นงดงามกว่าครั้งไหน สองตาที่ยังปิดไม่สนิทเผยให้เห็นขนตาสวย สันจมูกแหลมโด่งขึ้น สันกรามชัดพลันเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน ริมฝีปากที่ยกยิ้มอยู่เปิดออก 

 

 

“เด็กคนนั้น” บีพาอันพยายามฝืนพูดออกมา แม้ลำคอจะแห้งผากจนแทบฉีกขาด 

 

 

“หากเป็นหญิง นางจะเป็นแทฮวางจู หากเป็นชาย เขาจะเป็นแทฮวางกุน และต่อไปก็คงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นฮวางแทซน หากเป็นหญิง นางจะได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความเพียบพร้อม สุขสำราญอยู่กับความหรูหราที่ไม่ว่าหญิงใดก็ไม่อาจเทียบได้ หลังจากนั้นก็คงจะออกเรือนกับองค์ชายจากวังใดวังหนึ่ง หรือไม่ก็ขุนนางคนใดคนหนึ่งที่ปกครองเมืองอยู่ หากเป็นชาย เขาจะเป็นฮวางแทจาต่อจากเรา และต่อไปก็คงเดินตามรอยเป็นจักรพรรดิปกครองผู้คน”  

 

 

บีพาอันเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าทุกครั้งที่เขาพูดมันออกไป ภายในริมฝีปากกลับแห้งผาก 

 

 

“เด็กคนนั้นจะถือกำเนิดในฐานะสายเลือดของเรา และจะเติบโตในฐานะสายเลือดของเรา” เขาพยายามควบคุมไม่ให้เสียงสั่น “หากเราเป็นจักรพรรดิ เด็กคนนั้นจะกลายเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ หรือเป็น 

 

 

ฮวางแทจาเพียงผู้เดียว และชายาก็จะกลายเป็นฮวังฮู ส่วนรูแฮก็จะถูกแต่งตั้งให้เป็นชินหวัง และถูกส่งไปปกครองอาณาจักรอันไกลโพ้น” 

 

 

ดวงตาของกโยซึลเบิกโพลง บีพาอันได้ยินเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาราวกับกำลังจะหมดลม เสียงลมหายใจของนางเองก็ทำให้บีพาอันแทบขาดใจเช่นเดียวกัน เขาไม่สามารถพูดสิ่งใดออกไปได้อีก อีกทั้งคืนนั้นก็ยังไม่มีใครหลับลงได้ ช่วงเวลาในความมืดมิดผ่านไปอย่างเงียบงัน ขณะนี้แสงแดดได้ลอดผ่านเข้ามาทางช่องว่างของหน้าต่างแล้ว และเมื่อมันสาดส่องไปยังเบาะรองนั่งจนกระทบบีพาอัน เขาก็ลุกขึ้นทันที แล้วเดินไปยังประตูห้องบรรทม บีพาอันที่กำลังจะเปิดประตูหันกลับไปมองที่เตียงนอนแวบหนึ่ง 

 

 

“อ้อ รู้หรือไม่ว่านามจริงของเราคืออะไร” 

 

 

ภายในปากช่างขมเฝื่อน หลังจากที่บีพาอันได้ยินชื่อ ‘ชันบี’ เป็นครั้งแรกเมื่อ 11 ปีก่อน หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยลืมมันเลยแม้แต่วินาทีเดียว ทว่าเขานั้นช่างโง่เง่านักที่ไม่คิดแม้แต่จะบอกชื่อของตนออกไป และจนถึงตอนนี้กโยซึลก็ยังไม่รู้มัน เจ้าของชื่อที่เขาเฝ้าคะนึงหามาหลายปี ไม่แม้แต่จะรู้ชื่อของเขาด้วยซ้ำ 

 

 

“อัน…ดันมก อัน” บีพาอันพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไป 

 

 

หากว่าในฤดูใบไม้ผลิที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เป็นบีพาอันที่ออกไปรับกโยซึล ไม่ใช่รูแฮ จะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ทว่ามันก็เป็นเรื่องที่สายไปเสียแล้วอย่างน่าเสียดาย บีพาอันใช้เรื่องที่เขาบอกชื่อของตนให้กโยซึลรับรู้เป็นการตัดขาดทุกสิ่ง ดังเช่นในฤดูใบไม้ผลิเมื่อนานมาแล้ว ที่กโยซึลบอกชื่อของนางแล้วจากไป 

 

 

ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว