รายงานด่วนซีเจียง

“หัวหน้า ท่านเรียกผู้น้อยมามีเรื่องอันใดหรือ” เหลิ่งเฟยหยางผู้ดูแลตำหนักรื่อเตี้ยนของหอมือสังหารกล่าวถามด้วยความเคารพ

 

 

เซี่ยเฟยหัวหน้าหอมือสังหารยืนอยู่หน้าป่าไผ่ผืนหนึ่ง ร่างสูงสง่า ยังคงสวมหน้ากากสีเงินนั้นอยู่ เขาเงยหน้ามองฟ้า ชั้นเมฆต่ำอย่างยิ่ง เห็นเค้าลางว่ากำลังจะเกิดพายุฝน

 

 

“ผู้ว่าจ้างอักษรเทียนลำดับที่เจ็ดมาหาหรือยัง” เซี่ยเฟยถามด้วยท่าทีคล้ายไม่สนใจ

 

 

เหลิ่งเฟยหยางพยักหน้า “มาแล้วขอรับ หลังทราบว่าภารกิจล้มเหลวกลับไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้เร่งรัดให้พวกเราทำต่อ บอกเพียงแค่ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วจะส่งคนมาสั่ง”

 

 

เซี่ยเฟยตอบอืมคราหนึ่ง ยื่นมือเด็ดใบไผ่เล่น “ถอนตัวจากงานนี้เสีย” เป็นประโยคยืนยันมิใช่ประโยคคำถาม

 

 

เหลิ่งเฟยหยางไม่เข้าใจ “หัวหน้า ผู้น้อยไม่เข้าใจ นี่มันเงินก้อนใหญ่เลยนะขอรับ สิ่งที่พวกเราหอสังหารต้องทำก็แค่การค้าฆ่าคน ขอเพียงผู้ว่าจ้างจ่ายเงิน ก็ไม่มีคนที่พวกเราฆ่าไม่ได้ ครั้งนี้พลาดไปเพียงครั้งเดียว ไม่ถึงขนาดต้องล้มเลิกกระมัง” เหลิ่งเฟยหยางไม่ยินยอมในใจ

 

 

“ถอนเสีย นำเงินหนึ่งแสนตำลึงคืนผู้ว่าจ้างอักษรเทียนลำดับที่เจ็ดเสีย” เซี่ยเฟยออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นกฎของหอมือสังหาร เมื่อฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาก็ต้องชดใช้เงินเท่าตัว

 

 

เนื่องจากเซี่ยเฟยมีอำนาจมาก ต่อให้ในใจเหลิ่งเฟยหยางจะไม่ยินยอม แต่กลับไม่กล้าขัดคำสั่งของเขา “ขอรับ ผู้น้อยทราบแล้ว” แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลตำหนักรื่อเย่ว์ซิงซาน แต่ความเข้าใจที่มีต่อหัวหน้าก็เพิ่งจะแตะมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็ง เพียงแค่ตัวเขาเองก็มีวรยุทธ์ที่ไม่ว่าใครก็คาดเดาไม่ได้ ข้างกายคล้ายมีทหารลับ ส่วนมีอยู่กี่คน เป็นใครบ้างนั้น เขาไม่รู้เลย

 

 

เซี่ยเฟยมองแผ่นหลังที่เดินออกไปไกลของผู้ใต้บังคับบัญชา ละสายตามองขอบฟ้าไกลๆ อีกครั้ง

 

 

กลุ่มมือสังหารสามารถสืบทอดมาได้หนึ่งร้อยปี ไม่อาจแยกออกจากการจัดการและสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมของหัวหน้าทุกรุ่นได้ ตั้งแต่ที่จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าภารกิจอักษรเทียนลำดับที่เจ็ดไม่อาจดำเนินต่อไปได้แล้ว

 

 

เขาเป็นหัวหน้าของหอมือสังหารย่อมรู้ข่าวจำนวนมากที่คนอื่นไม่รู้ คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องผู้นั้นไม่ได้ไร้พิษภัยเหมือนอย่างที่เห็นแต่ภายนอก พูดเช่นนี้แล้วกัน ทั่วทั้งต้ายง คุณชายใหญ่สวีเป็นคนเดียวที่เขาจะไม่ยอมยุแหย่ที่สุด

 

 

ตอนนี้เป้าหมายภารกิจอักษรเทียนลำดับที่เจ็ดเป็นคู่หมั้นของคุณชายใหญ่สวี เขาย่อมต้องถอยหนึ่งก้าว มิเช่นนั้นที่รอเขาอยู่ก็อาจจะเป็นการล้อมปราบของกองทัพและการไล่ล่าสังหารที่ไม่หยุดพัก แค่คิดก็กลุ้มอย่างยิ่งแล้ว

 

 

เฮ้อ ตอนนี้กิจการมือสังหารเองก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ แล้ว พลาดไปเพียงนิดเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพังพินาศกันทั้งหมด ดังนั้นเพียงแค่เป็นมือสังหารอย่างเดียวไม่ได้ ยังต้องขยายอาชีพเสริมอื่นๆ ด้วย อย่างเช่นเขา นอกจากจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มมือสังหารแล้วก็ยังเป็นบัณฑิตน้อยของสำนักราชบัณฑิตที่เข้าไปได้ด้วยการสอบขุนนาง

 

 

จวนอีกแห่งหนึ่งในเมืองหลวง คนผู้หนึ่งที่ท่าทางเหมือนปัญญาชนวัยกลางคนเร่งฝีเท้าเลี้ยวเข้าห้องหนังสือ มือทั้งคู่ยกซองจดหมายในมือขึ้น “นายท่าน กลุ่มมือสังหารถอดถอนสัญญาของพวกเราขอรับ”

 

 

นายท่านผู้นั้นคล้ายคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ตกใจแม้แต่นิดเดียว “ถอนก็ถอนเถอะ” ตั้งแต่ที่จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง เขาก็รู้แล้วว่าการค้าขายครั้งนี้จะต้องทำไม่สำเร็จ น่าเสียดาย พลาดไปแค่นิดเดียว

 

 

“นายท่าน ท่านว่าจะต้อง?” ปัญญาชนวัยกลางคนเสนอความคิดเห็นอย่างไม่ยินยอมเล็กน้อย

 

 

ทว่านายท่านผู้นั้นกลับส่ายหน้า “อย่าเพิ่งบุ่มบ่ามชั่วคราว” เขาจะส่งทหารเดนตายไปลงมือ เพียงแต่ไม่คุ้มค่า ตอนนี้เขายังไม่อยากมีปัญหากับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเพียงแค่เด็กสาว ปล่อยให้นางกระโดดโลดเต้นสักหน่อยจะเป็นอะไรไป พอนางเข้าจวนจิ้นอ๋องแล้ว เกรงว่าไม่ต้องให้เขาลงมือนางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้แล้ว

 

 

ตอนนี้หัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองหลวงก็คือสินสอดก้อนใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง ไม่กี่วันก่อนยังวิพากษ์วิจารณ์คุณหนูสี่จวนจงอู่โหวว่าทำบุญมาดี ถอนหมั้นเพื่อชีวิต ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงสาวชนบทป่วยเรื้อรังแต่ก็ยังถูกจักรพรรดิพระราชทานให้สมรสกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องได้ ต้องมีดวงพลิกชะตาเพียงใด ในขณะที่เสียดายคุณชายจวนจิ้นอ๋องก็พากันคาดเดาไปว่าคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้มีความสามารถอะไร เดาไปเดามาก็พบว่าไม่รู้จักคุณหนูผู้นี้เลยแม้แต่น้อย รู้เพียงแค่ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดนางเคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง จวนแม่ทัพใหญ่ฝั่งมารดาเคยยิ่งใหญ่อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

 

 

หรือว่าจักรพรรดินึกถึงคดีที่ถูกใส่ความของแม่ทัพใหญ่หร่วนจึงละอายใจอยากชดใช้ให้ แต่หากจะชดใช้ก็ควรจะชดใช้ให้กับหลานสาวหลานชายของแม่ทัพใหญ่หร่วน หร่วนเจิ้นเทียนยังมีหลานสาวคนเล็กอยู่อีกหนึ่งคนมิใช่หรือ คำนวณอายุดูแล้วก็น่าจะสิบสามปีได้ ถึงอายุที่พูดเรื่องแต่งงานได้แล้วเช่นกัน

 

 

หรือว่าจักรพรรดิระลึกถึงคุณูปการสูงส่งของท่านเสิ่นโหวจึงอยากตอบแทน แต่จวนจงอู่โหวเพียงแค่รุ่นหลานก็มีถึงหกคนแล้ว มีบ้านใหญ่กันอยู่ข้างหน้า ไหนเลยจะตกมาถึงบุตรสาวบ้านสามได้

 

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเซ็งแซ่ รายงานผลการรบของซีเจียงก็เร่งความเร็วแปดสิบลี้มาถึงเมืองหลวงแล้ว

 

 

ซีเจียงเกิดไฟสงคราม พรมแดนที่ติดต่อกับฝั่งตะวันตกของซีเจียงมีแคว้นเล็กๆ ที่ชื่อว่าซีเหลียง พวกเขาชนเผ่าเร่ร่อน เลี้ยงสัตว์เพื่อทำมาหากิน ปีนี้ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุ่งหญ้าของแคว้นซีเหลียงตายเป็นวงกว้าง ทำให้วัวแกะม้าทั้งหลายตายเป็นฝูงใหญ่ ชั่วพริบตาก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ไม่มีอาหารจะผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างไร

 

 

ด้วยเหตุนี้แคว้นซีเหลียงจึงยอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจน ตัดสินใจบุกต้ายงแคว้นเพื่อนบ้าน ทำศึกชิงเสบียงอาการที่เขตพรมแดนติดๆ กัน ประชาชนต้ายงที่อาศัยอยู่บริเวณพรมแดนก็ประสบภัยพิบัติ ทุกๆ แห่งที่ชาวซีเหลียงผ่านไป หมู่บ้านทั้งหมดล้วนถูกปล้นจนหมด ชายหญิงคนแก่เด็กไม่ถูกฆ่าตายก็ถูกจับไปเป็นทาส

 

 

ท่านเสิ่นโหวที่ตั้งมั่นรักษาซีเจียงย่อมไม่อาจนั่งมองอยู่เฉยๆ ได้ นำคนไปตรวจตราเขตชายแดนด้วยตัวเอง โจมตีขับไล่ชาวซีเหลียงที่ลงมาจากทิศตะวันออกได้หลายกลุ่ม

 

 

ทว่าฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา ไม่รู้ว่าเบื้องบนแคว้นซีเหลียงทำข้อตกลงอะไรไว้ กองทัพใหญ่ของแคว้นซีเหลียงเข้ามาทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว พยายามจะทำลายเขตชายแดนในครั้งเดียว บุกเข้าอาณาเขตแคว้นต้ายง

 

 

ท่านเสิ่นโหวเคลื่อนทัพนำกำลังพล พลางส่งคนนำรายงานการรบไปยังเมืองหลวง

 

 

จักรพรรดิยงเซวียนได้รับรายงานศึกแล้วก็ให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักเองก็ส่งเสียงดังเกรียวกราว มีคนเลือดร้อนม้วนแขนเสื้อขึ้นอยากจะประมือกับซีเหลียงกลางพระตำหนักจินหลวน อีกทั้งยังมีคนคร่ำครึกำลังร้อนอกร้อนใจ กังวลว่าซีเหลียงจะมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง ต้ายงไม่ใช่คู่ต่อสู้ แทนที่จะต้องบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนเพราะสงคราม ไม่สู้ทิ้งเสบียงจำนวนหนึ่งก่อนเพื่อความปลอดภัย

 

 

ชั่วขณะ เหล่าขุนนางก็ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ตำหนักจินหลวนกลายเป็นตลาดสด จักรพรรดิยง

 

 

เซวียนนั่งอยู่บนบัลลังก์สีหน้าเรียบเฉย ทว่ามือที่จับที่วางแขนกลับมีเส้นเลือดดำปูดนูน

 

 

แน่นอนว่าจวนจงอู่โหวย่อมรู้ข่าวนี้แล้ว ซื่อจื่อเสิ่นหงเหวินพาน้องชายสองคนมาปรึกษาหารือกับนายทหารผู้ช่วยทั้งคืน เป็นห่วงความปลอดภัยของบิดาในซีเจียง

 

 

คนทุกระดับชั้นในจวนโหวก็เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตรา กลางดึกก็เพิ่มหน่วยลาดตระเวนสองกะ ไม่อนุญาตให้ดื่มสุราเล่นการพนันฉวยโอกาสจับปลาในน้ำขุ่น ชั่วขณะทั่วทั้งจวนโหวก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้เสิ่นเวยจำใจต้องเลื่อมใสฝีมือของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ อย่างไรเสียก็เป็นลูกสะใภ้ที่ท่านปู่เลือกมากับมือ ในช่วงเวลาสำคัญก็สามารถรับมือได้

 

 

อันที่จริงข่าวที่เสิ่นเวยรู้มากกว่าที่ท่านลุงใหญ่ของนางรู้เล็กน้อย ก่อนที่รายงานศึกจะมาถึงเมืองหลวง ต้ายงกับกองทัพใหญ่ซีเหลียงได้ทำศึกไปหนึ่งครั้งแล้ว ชนะแต่เจียนตาย

 

 

คำคำนี้หมายความว่าอย่างไร เพียงพอให้เสิ่นเวยไปจินตานาการ

 

 

“เจ้าบอกว่าทหารเดนตายซีเหลียงเผายุ้งฉางข้าวของพวกเราหรือ” เสิ่นเวยถามเด็กรับใช้ที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าผู้นั้น คิ้วคู่งามขมวดมุ่น

 

 

“ขอรับ ท่านโหวไม่ทันระวัง ถูกทหารเดนตายซีเหลียงฉวยโอกาส ท่านโหวส่งผู้น้อยเข้าเมืองหลวงมาหาคุณหนูสี่เงียบๆ เพื่อคิดหาวิธี” ทหารคนสนิทท่านเสิ่นโหวที่สวมชุดเด็กรับใช้ผู้นั้นกล่าวอย่างไม่ประจบไม่วางก้าม

 

 

ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือยังว่าเหตุใดถึงพูดว่าชนะแต่เจียนตาย แม้ว่าจะขับไล่การบุกโจมตีของกองทัพซีเหลียงได้แต่เสบียงทหารและม้าก็ถูกพวกเขาเผาหมดแล้ว กองทัพใหญ่จะกินอะไร ไม่มีข้าวกินแล้วจะสู้รบได้อีกอย่างไร เจียนตายจริงๆ

 

 

เสิ่นเวยถอนหายใจหนึ่งครา ได้ยินคำพูดข้างหลังของทหารคนสนิทแล้วก็ดีใจอย่างอดไม่ได้ เรื่องใหญ่เพียงนี้ ท่านปู่ไม่ปรึกษาท่านลุงใหญ่ แต่กลับให้คุณหนูเช่นตนคิดหาวิธี หมายความว่าอย่างไร ก็แค่ถือจี้หยกพังๆ ของเขาอยู่มิใช่หรือ ยังต้องถวายตัวเป็นวัวเป็นม้าด้วยหรือ ข้าไม่เอาแล้วไม่ได้หรือ

 

 

“ข้าจะมีวิธีอะไรได้ เจ้าไปปรึกษาท่านลุงใหญ่จะดีกว่า” เสิ่นเวยไม่อยากยุ่ง ข้าเพิ่งจะมีชีวิตสงบสุขได้เพียงกี่วันเอง คุณหนูใช้ชีวิตสบายใจสบายอารณ์อยู่ ทำไมนางต้องกู้สถานการณ์ราวกับเป็นนักดับเพลิงด้วยเล่า

 

 

สงครามไม่เกี่ยวกับสตรี การสู้รบเป็นงานของบุรุษ ผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นนางจะเข้าร่วมเพื่ออะไร

 

 

ทว่าทหารคนสนิทผู้นั้นกลับไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว “ท่านโหวสั่งผู้น้อยเพียงแค่ว่าให้มาหาคุณหนูสี่ ผู้น้อยมีจดหมายที่เขียนด้วยลายมือท่านโหว คุณหนูโปรดอ่าน”

 

 

เห็นจดหมายที่ส่งขึ้นมา เสิ่นเวยก็ก่ายหน้าผาก นางไม่อ่านได้หรือไม่

 

 

คำตอบแน่นอนว่าไม่ได้ เพราะโอวหยางไน่ที่ยืนอยู่ข้างๆ นางรับจดหมายมายื่นให้นางเรียบร้อยแล้ว เสิ่นเวยถลึงตามองโอวหยางไน่ด้วยความโหดเ**้ยมปราดหนึ่ง คนทรยศ

 

 

โอวหยางไน่สีหน้าเรียบเฉย ทำเหมือนมองไม่เห็น

 

 

เสิ่นเวยรับจดหมายมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉีกเปิดอย่างลวกๆ เนื้อหาในจดหมายเรียบง่ายอย่างยิ่ง มีไม่กี่ประโยค แต่เสิ่นเวยกลับยิ้มออกมาแล้ว ท่านปู่นางเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ มักจะเกาถูกจุดที่นางคันเสมอ

 

 

ตอนนี้ในมือนางต้องการคนก็มีคน ต้องการเงินก็มีเงิน ยังมีงานสมรสอันดีที่จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้ นางเป็นคนที่ไม่ต้องการอะไรแล้วจริงๆ แต่นางเป็นห่วงน้องชายของนางอยู่ ตอนนี้ท่านปู่รับปากเรื่อนอนาคตอันดีของน้องเจวี๋ย นางจึงอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว

 

 

ก็แค่ต้องการเสบียงมิใช่หรือ ในมือนางมีเงินก้อนใหญ่จะซื้อเสบียงไม่ได้ได้อย่างไร ความคุ้มค่าในการซื้อขายนี้ นางตัดสินใจทำแล้ว

 

 

“ได้ เจ้าไปพักก่อนเถอะ ห้าวัน ห้าวันให้หลังข้าจะเอาเสบียงให้เจ้าสองพันต้าน[1]” เสิ่นเวยกล่าว

 

 

อย่างเด็ดเดี่ยว

 

 

ทว่าทหารคนสนิทผู้นั้นกลับไม่ขยับ ลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าว “คุณหนูสี่ เร็วกว่านี้ได้หรือไม่ ผู้น้อยกลัวว่าซีเจียงจะประคับประคองไม่อยู่” กองทัพใหญ่แปดหมื่นนายล้วนพุ่งเป้าไปที่ยุ้งฉางข้าวที่เหลืออยู่ เกรงว่าจะรักษาสภาพได้อีกไม่นาน

 

 

เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ช่วยคนเหมือนช่วยดับเพลิง นางออกแรงอีกหน่อยแล้วกัน “เช่นนั้นก็สามวัน” ความสามารถในการดำเนินงานของพวกชวีไห่จางสยงก็นับว่าไม่เลว

 

 

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นชวีไห่จางสยงเฉียนเป้าที่ตามเสิ่นเวยเข้าเมืองหลวง หรือว่าฝูปั๋วหลีปั๋วที่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลเสิ่นต่างก็ได้รับคำสั่งจากคุณหนูของพวกเขาแล้ว ‘เก็บเสบียง ยิ่งมากยิ่งดี ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ต้องเก็บเงียบๆ ห้ามให้ผู้อื่นสังเกตเห็น’

 

 

 

 

 

 

[1] ต้าน ใช้เป็นหน่วยในการตวงข้าวสารหรือธัญพืช 1 ต้าน = 27 ชั่ง