ขณะเดียวกับที่เสิ่นเวยออกคำสั่งให้เก็บเสบียง จักรพรรดิยงเซวียนเองก็กำลังปรึกษาแผนรับมือในห้องหนังสือจักรพรรดิกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคน
“ในรายงานลับขุนนางเสิ่นบอกว่าฉางข้าวถูกทหารเดนตายซีเจียงเผาแล้ว ขอให้เมืองหลวงจัดสรรเสบียงโดยด่วน ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร” จักรพรรดิยงเซวียนกล่าวถาม
เสนาบดีกรมกลาโหมขมวดคิ้วมุ่น “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เข้าใจ ท่านเสิ่นโหวสู้รบมาทั้งชีวิต เหตุใดถึงสะเพร่าเช่นนี้ได้ ทหารเดนตายซีเหลียงบุกเข้ามาในอาณาจักรต้ายงของเราก็เหมือนเข้ามาในพื้นที่ที่ไร้ผู้คนมิใช่หรือ” ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจอย่างยิ่ง
คนผู้หนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาก็กล่าวคล้อยตาม “นั่นสิ ท่านเสิ่นโหวเป็นท่านแม่ทัพผู้มากประสบการณ์ ว่ากันตามเหตุผลไม่ควรจะเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ได้ กระหม่อมกังวลเป็นอย่างยิ่ง ฝ่าบาทเห็นว่าควรจะเรียกท่านเสิ่นโหวกลับเมืองหลวง สั่งให้ส่งแม่ทัพคนอื่นไปหรือไม่”
จักรพรรดิยงเซวียนนิ่งเงียบ มองอัครเสนาบดีฉินแล้วกล่าว “อัครเสนาบดีฉินคิดเห็นอย่างไร”
อัครเสนาบดีฉินรีบกล่าว “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมกลับคิดว่าตอนนี้ไม่ควรเปลี่ยนแม่ทัพ เปลี่ยนแม่ทัพช่วงเวลาทำศึกจะทำให้ทหารวิตกกังวล” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ทหารเดนตายซีเหลียงสามารถเข้ามาในเขตแดนของเราได้ เกรงว่าจะมีการร่วมมือกับไส้ศึกซีเหลียงในเมือง แม้ท่านเสิ่นโหวจะปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง แต่อย่างไรเสียก็ชนะกองทัพใหญ่ซีเหลียง คุณงามความดียังคงมากล้น ตอนนี้เพียงแต่ขอให้ฝ่าบาทจัดสรรเสบียงไปยังซีเจียงโดยเร็ว แก้ปัญหาเรื่องด่วนให้ท่านเสิ่นโหว”
เสนาบดีกรมกลาโหมกำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน ก็ได้ยินจักรพรรดิกล่าว “อัครเสนาบดีฉินพูดถูก ขุนนางหลี่ กรมพระคลังนำเสบียงออกมาได้เท่าไร” จักรพรรดิยงเซวียนเอ่ยถามเสนาบดีกรมพระคลัง
เสนาบดีกรมกลาโหมเห็นทีท่าก็ทำได้เพียงปิดปากอย่างไม่ยินดี
เสนาบดีกรมพระคลังกล่าวด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ทูลฝ่าบาท กรมพระคลังนำเสบียงออกมาได้ไม่มากนัก ปีที่แล้วทางตะวันออกเกิดความเสียหายจากหนอนและแมลง สองปีที่แล้วทางตอนเหนือก็เกิดภัยแล้ง ท้องพระคลังว่างเปล่าอย่างยิ่ง คำนวณเต็มจำนวนแล้วตีเป็นเสบียงได้เพียงหนึ่งหมื่นต้านพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วของจักรพรรดิยงเซวียนขมวดมุ่น หนึ่งหมื่นต้านเท่าไรเอง ยังไม่พอให้กองทัพซีเจียงกินได้ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ดีว่าท้องพระคลังไม่มีเงินแล้วจริงๆ กลับไม่ได้ตำหนิเสนาบดีหลี่ “ส่งหนึ่งหมื่นต้านไปก่อน เจ้าค่อยคิดหาวิธีรวบรวมอีกครั้ง” ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้กองทัพซีเจียงที่สู้รบไม่มีข้าวกินได้
เสนาบดีหลี่หน้าเหยเกจนแทบจะร้องไห้แล้ว เสบียงหนึ่งหมื่นต้านนี้ยังไม่รู้ว่าจะรวบรวมออกมาอย่างไร ต้องรวบรวมหรือ เขาจะไปรวบรวมที่ไหน คงจะต้องหยิบยืมจากอีกคนไปให้อีกคน สุดท้ายก็ทำให้เกิดรูพรุนไปทั่วทุกด้าน เสนาบดีหลี่รู้สึกว่าการเป็นเสนาบดีกรมพระคลังนี้ช่างอึดอัดใจจริงๆ แต่ฝ่าบาทเอ่ยวาจาแล้ว เขาจะยังพูดอะไรได้อีก “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะคิดหาทางอีกที” ใครให้เขาดูแลกรมพระคลังเล่า กินเงินเดือนราชสำนัก ก็ต้องจงรักภักดีต่อกษัตริย์
จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้า ยิ้มให้เสนาบดีหลี่ “รบกวนขุนนางหลี่แล้ว” หลังจากนั้นเขาก็ถามต่อ “ขุนนางทั้งหลายเห็นว่าควรส่งใครไปคุมการขนส่งเสบียงจึงจะเหมาะสม” แม้ว่าจะถามทุกคน แต่จักรพรรดิยงเซวียนกลับมองอัครเสนาบดีฉิน
อัครเสนาบดีฉินเองก็มีไหวพริบอย่างยิ่ง กล่าว “กระหม่อมขอเสนอเสิ่นซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ สุภาษิตกล่าวว่าสายโลหิตกลมเกลียว ปฏิบัติหน้าที่ย่อมสำเร็จลุล่วง ท่านเสิ่นโหวยืนหยัดสู้รบอยู่ที่ซีเจียง เสิ่นซื่อจื่อเองก็เป็นกังวลอยู่ในเมืองหลวง ฝ่าบาทไม่เห็นใจบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เชื่อว่าเสิ่นซื่อจื่อจะต้องตั้งใจทำหน้าที่ครั้งนี้ได้ดีแน่นอน”
ทว่าเสนาบดีกรมกลาโหมกลับกระโดดออกมาคัดค้าน “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะนัก แม้ว่าเสิ่นซื่อจื่อจะดำรงตำแหน่งอยู่ในกรมกลาโหม แต่ก็ไม่เคยรับหน้าที่ประเภทนี้มาก่อน กระหม่อมคิดว่าส่งผู้ที่มีประสบการณ์ไปจะดีกว่า กระหม่อมแนะนำหย่งติ้งโหวพ่ะย่ะค่ะ”
หย่งติ้งโหวคือจวิ้นหม่าของท่านหญิงหวาคัง เคยนำทัพที่ซีเป่ย
“กระหม่อมกลับคิดว่าแม่ทัพอู่เลี่ยเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว” เสนาบดีกรมอาญากล่าวตามติดๆ “แม่ทัพอู่เลี่ยนำทัพที่ด่านชายแดนมากว่าสิบปีแล้ว แทบจะไม่เคยแพ้พ่าย คุมส่งเสบียงเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ย่อมไม่ยากเกินความสามารถเขาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิยงเซวียนกะพริบตาครู่หนึ่ง กล่าว “ขุนนางทุกท่านพูดมีเหตุผล เรื่องนี้ค่อยว่ากันวันหลัง เตรียมเสบียงให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดทยอยออกจากห้องหนังสือจักรพรรดิ คืนนั้น สวีโย่วคุณชายใหญ่จวนจิ้น
อ๋องก็ปรากฏตัวอยู่ในตำหนักบรรทมของจักรพรรดิยงเซวียนอย่างลับๆ
“อาโย่ว รีบมาวางหมากกับเราหน่อย” จักรพรรดิยงเซวียนเอ่ยเรียก
สวีโย่วเดินเข้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามจักรพรรดิยงเซวียน ทั้งสองคนเริ่มวางหมากลงกระดาน
“อาโย่วคิดว่าส่งผู้ใดไปคุมส่งเสบียงจึงจะเหมาะสมที่สุด” จักรพรรดิยงเซวียนกล่าวถามขึ้นตามอำเภอใจ
“แม่ทัพอู่เลี่ยพ่ะย่ะค่ะ” สวีโย่วเองก็ตอบอย่างสบายๆ
“เอ๋ เหตุใดเล่า” จักรพรรดิยงเซวียนค่อนข้างประหลาดใจ “เรายังคิดว่าเจ้าจะเสนอเสิ่นซื่อจื่อเสียอีก” อย่างไรเสียท่านเสิ่นโหวก็เป็นปู่ของคู่หมั้นผู้นั้นของเขา
ทว่าสวีโย่วกลับกล่าว “เสิ่นซื่อจื่ออยู่ในเมืองหลวงดีกว่า เขาไปแล้วใต้เท้าเสิ่นทั้งสองจะประคับประคองจวนจงอู่โหวไม่ได้” ถึงตอนนั้นจวนจงอู่โหววุ่นวายขึ้นมา จะเป็นการนำปัญหามาให้เด็กน้อยมิใช่หรือ
“อ้อ แล้วเหตุใดจวนหย่งติ้งโหวถึงไม่ได้เล่า ป้าหวาคังของเจ้าเพียงคนเดียวสามารถประคับประคองจวนหย่งติ้งโหวได้” จักรพรรดิยงเซวียนถามด้วยความสนใจใคร่รู้ ราวกับกำลังทดสอบสวีโย่วอยู่
สวีโย่ววางหมากหนึ่งตัวลงแล้วจึงกล่าว “ท่านลุงหย่งติ้งโหวเป็นคนที่มีความอดทน แต่ปีนั้นที่เขานำทัพอยู่ข้างนอกได้รับบาดเจ็บที่ขา ปกติไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเหนื่อยแล้วขาจะเจ็บจนชา ฝ่าบาทสงสารท่านลุงหย่งติ้งโหวเถิด”
จักรพรรดิยงเซวียนหัวเราะร่าฮ่าๆ อันที่จริงในใจเขาก็ตั้งใจจะเลือกแม่ทัพอู่เลี่ย คนผู้นี้คือทหารเสือ เขาไปซีเจียงแล้วยังสามารถช่วยเหลือเสิ่นผิงยวนได้
“อาโย่วอยากไปซีเจียงสักรอบหรือไม่” ตอนนี้อารมณ์ของจักรพรรดิยงเซวียนดีอย่างยิ่ง มองหลานชายอย่างหยอกล้อ กล่าว “นี่คือโอกาสกุมหัวใจหญิงงามที่หาได้ยากเชียวนะ”
สวีโย่วหันหน้ามองจักรพรรดิยงเซวียน ถามกลับ “ฝ่าบาทอยากให้กระหม่อมไปหรือไม่” เขาไตร่ตรองในใจอย่างรวดเร็ว ไปเที่ยวหนึ่งไม่ใช่ว่าไปไม่ได้ เขาอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ใช่ว่าจะได้เจอเด็กคนนั้น ซ้ำยังคิดถึงอยู่เสมอ ไม่สู้ไปซีเจียงสักเที่ยว ถือโอกาสสร้างคุณงามความดีอะไรเล็กๆ กลับมาแล้วก็ขอบำเหน็จจากจักรพรรดิ อย่างไรเสียเขาเองก็เป็นคนที่กำลังจะแต่งงานแล้ว เลี้ยงดูภรรยาก็ต้องใช้เงิน
จักรพรรดิยงเซวียนไม่ตอบว่าอยาก แต่ก็ไม่ได้ตอบว่าไม่อยาก ถามเพียง “อาโย่วอยากไปหรือไม่”
สวีโย่วคิดครู่หนึ่ง กล่าว “ได้” ฟังว่าครั้งนี้กองทัพใหญ่ซีเหลียงมากันอย่างโหดเ**้ยม ไม่รู้ว่าทหารแปดหมื่นนายเหล่านั้นของซีเจียงจะปกป้องเมืองชายแดนไว้ได้หรือไม่ อย่างไรเสียท่านเสิ่นโหวก็เป็นปู่ของเด็กน้อย หากเกิดเรื่องขึ้นกับเขา เด็กน้อยก็ต้องไว้ทุกข์ใช่หรือไม่ ตนอายุยี่สิบสองแล้ว อีกสามปีก็ยี่สิบห้าแล้ว ไม่ได้ ไม่อาจรอถึงตอนนั้นได้เด็ดขาด
วันที่สองแม่ทัพอู่เลี่ยจังเฮ่าหรานก็คุมเสบียงหนึ่งหมื่นต้านออกเดินทาง เพราะว่าสวีโย่วมักจะเก็บตัวเงียบ ดังนั้นคนที่รู้ว่าเขาเองก็อยู่ในขบวนคุมส่งเสบียงครั้งนี้จึงมีไม่เยอะ คนไม่กี่คนนี้คิดเหมือนกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ฝ่าบาทต้องการส่งคุณชายใหญ่ไปแบ่งคุณงามความดีที่ซีเจียง
เย็นวันนี้หลังจากที่สวีโย่วออกเดินทาง รายงานด่วนของซีเจียงก็มาถึงเมืองหลวงอีกหนึ่งฉบับ ท่านเสิ่นโหวถูกธนูยิงหมดสติ ซีเจียงสถานการณ์คับขัน
จักรพรรดิยงเซวียนตกใจจนแทบจะพ่นพระสุธารสชาออกจากพระโอษฐ์ หลังจากนั้นก็รู้สึกโชคดีที่คนที่ส่งไปคุมเสบียงคือแม่ทัพอู่เลี่ยกับอาโย่ว สำหรับหลานชายคนนี้แล้ว เขายังคงวางใจอย่างยิ่ง
เสิ่นหงเหวินได้รับข่าวก็รีบเข้าวังของพบจักรพรรดิยงเซวียน จักรพรรดิยงเซวียนเข้าใจเจตนาในการมาของเขาดี เห็นแก่ท่านเสิ่นโหวจึงเรียกเขามาพบ
“ฝ่าบาท ตอนนี้บิดากระหม่อมที่ซีเจียงเป็นตายไม่อาจรู้ กระหม่อมทราบว่ากระหม่อมกระทำการล่วงเกิน แต่กระหม่อมที่เป็นบุตรชายร้อนใจจริงๆ ฝ่าบาทโปรดอนุญาตให้กระหม่อมนำทหารคุ้มกันในจวนไปเยี่ยมที่ซีเจียงด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นหงเหวินคุกเข่าทั้งคู่ลงพื้นร้องขอวิงวอน
จักรพรรดิยงเซวียนไม่อยากรับปาก แต่เห็นท่าทางที่น่าสงสารของเสิ่นหงเหวินแล้ว ก็นึกถึงเสิ่นผิงยวนที่อายุปูนนี้แล้วแต่ยังจงรักภัคดีต่อตนอยู่ที่ซีเจียง ใจก็อ่อน คล้ายนึกอะไรขึ้นได้กล่าวถาม “บุตรคนโตของเจ้าก็อายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้วใช่หรือไม่ ทักษะการต่อสู้เป็นอย่างไร”
แม้เสิ่นหงเหวินจะไม่เข้าใจว่าจักรพรรดิยงเซวียนมีเจตนาอะไร แต่ก็ยังคงตอบด้วยความซื่อสัตย์ “ทูลฝ่าบาท ปีนี้บุตรคนโตของกระหม่อมอายุสิบแปดปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทักษะการต่อสู้ก็ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็ก ค่อนข้างเก่งกว่าคนทั่วไป”
จักรพรรดิยงเซวียนกล่าว “ให้บุตรคนโตของเจ้าไปแทนเจ้าแล้วกัน เราจะสั่งให้ทหารองครักษ์ห้าร้อยนายติดตามไป จวนโหวในเมืองหลวงยังต้องให้เจ้าดูแล เราไม่อาจส่งเจ้าไปซีเจียงได้เป็นอันขาด”
เสิ่นหงเหวินยังคิดจะร้องขอต่อ แต่จักรพรรดิยงเซวียนกลับแสดงท่าทีว่าได้ตัดสินพระทัยแล้ว เขาจึงทำได้เพียงปิดปากแล้วถอยออกไป
เสิ่นเวยรู้ข่าวว่าพี่ใหญ่จะไปซีเจียง ก็พลันละสายตา ออกจากจวนไปพบท่านตาของนางทันที
สองตาหลานอยู่ในห้องหนังสือไม่รู้ว่ากระซิบอะไรกัน ท้ายที่สุดตอนที่เสิ่นเวยเดินออกมา หร่วนเหิงญาติผู้พี่ของนางก็เก็บของตามนางออกไปด้วยกัน นางปรึกษากับท่านตาเสร็จแล้ว ญาติผู้พี่ก็จะแต่งงานแล้ว ไม่ประสบความสำเร็จสักเรื่องก็คงไม่ได้การ ฉวยโอกาสนี้ให้ญาติผู้พี่ไปสั่งสมประสบการณ์ที่ซีเจียงด้วย สร้างฐานะตำแหน่งจากหายนะ ด้วยฝีมือของญาติผู้พี่แล้วก็น่าจะรักษาชีวิตไว้ได้
ชวีไห่จางสยงและคนอื่นๆ มีความสามารถจริงๆ ไม่ถึงสามวันก็รับซื้อเสบียงสามหมื่นต้านได้ เสิ่นเวยยังไม่ทันไปเรียกทหารคนสนิทผู้นั้น ทหารคนสนิทก็มาหานางก่อนแล้ว
“อะไรนะ ให้ข้าคุมเสบียงไปซีเจียงด้วยตัวเอง?” เสิ่นเวยแทบจะลุกพรวดขึ้นมา มีได้คืบเอาศอกเช่นนี้ที่ไหนกัน มีหรือ มีหรือ นางไม่เพียงแต่ต้องออกเงินเตรียมเสบียง ซ้ำยังต้องเสียแรงเสียเวลาคุมไปซีเจียงด้วยตัวเองอีกหรือ ต่อให้เป็นปู่แท้ๆ ก็ไม่อาจทำร้ายหลานสาวเช่นนี้ได้ เสิ่นเวยใกล้จะโมโหตายแล้ว
ทหารคุ้มกันคนสนิทผู้นั้นคุกเข่าลงบนพื้น กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “ก่อนท่านโหวหมดสติได้ทิ้งคำพูดไว้ให้คุณหนูสี่หนึ่งประโยค ‘เสาหลักถูกทำลาย สิ่งใดเล่าจะรอดชีวิต’ ”
โอวหยางไน่ที่สมควรตายผู้นั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นเงียบๆ คุกเข่าอยู่เช่นนี้ ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว
ไฟโทสะเต็มทรวงของเสิ่นเวยระเบิดออกมาในชั่วพริบตา โบกมือกล่าวอย่างอ่อนแรง “ลุกขึ้นเถอะๆ”
นางย่อมรู้ดีว่าเสาหลักถูกทำลาย สิ่งใดเล่าจะรอดชีวิต หากท่านปู่ไม่อยู่แล้ว จวนจงอู่โหวจะต้องตกต่ำ แม้ว่านางจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก แต่สตรีที่แข็งแกร่งมีอำนาจเช่นนางแต่งเข้าไปในจวนจิ้นอ๋องก็สามารถใช้บารมีข่มเหงผู้อื่นได้มิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีน้องเจวี๋ย จวนจงอู่โหวตกต่ำแล้ว เขาจะทำอย่างไร ท่านปู่คิดว่านางรังแกง่ายนักใช่หรือไม่
ช่างเถอะๆ นางก็ไปซีเจียงด้วยตัวเองสักรอบแล้วกัน นางจะต้องถอนหนวดสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นจนหมดให้ได้
เช้าวันที่สองรถม้าของเสิ่นเวยวิ่งออกจากประตูใหญ่จวนจงอู่โหว นางกำลังไปวัดต้าเจวี๋ยที่ห่างจากเมืองหลวงห้าสิบหกสิบลี้เพื่อขอพรให้ท่านปู่