ข้าศึกโจมตี

คนที่เสิ่นเวยพามาด้วยมีไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน นางพาทหารคุ้มกันเรือนไปมากกว่าครึ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีหลีฮวาเถาฮวารวมถึงพี่สะใภ้เซียงเหมยสองแม่ลูก

 

 

อาจารย์ซูที่เรือนหน้าทิ้งไว้ในเรือนเพื่อประสานงาน อันที่จริงนางอยากพาอาจารย์ซูไปอย่างยิ่ง นี่คือกุนซือมากความสามารถ มีเขาอยู่ข้างกายตนก็สามารถลดการใช้เซลล์สมองไปได้มาก

 

 

แต่ในเมืองหลวงนางก็ต้องเหลือคนที่สามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้หนึ่งคน คนผู้นี้ไม่ใช่อาจารย์ซูก็ไม่มีใครแล้ว

 

 

เถาจือกับเหอฮวาเองก็อยู่ที่จวนเช่นกัน ก่อนไปเสิ่นเวยเรียกคนทั้งสองมาที่ห้อง “ครั้งนี้ข้าไปวัดต้าเจวี๋ย อย่างเร็วก็หนึ่งเดือน อย่างช้าก็สามเดือนจึงจะกลับมาได้ เจ้าสองคนดูแลเรือนของพวกเราได้หรือไม่”

 

 

เมื่อเหอฮวาได้ยินว่าคุณหนูไม่พานางไป ในใจก็ผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินคุณหนูมอบหน้าที่สำคัญให้นางอย่างจริงจังก็พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “คุณหนูวางใจ บ่าวจะดูแลเรือนของพวกเราเป็นอย่างดี”

 

 

ทว่าในใจเถาจือกลับตกใจ อย่างไรเสียนางก็โตกว่าเหอฮวาสองปี ทั้งยังเติบโตมาในเรือน บรรยากาศที่ตึงเครียดในจวนช่วงนี้นางย่อมรู้สึกได้ ตอนนี้ได้ยินคุณหนูบอกว่าจะไม่กลับมาหลายเดือน ในใจก็ยิ่งเครียดเล็กน้อย

 

 

แต่เถาจือก็เป็นคนฉลาด รู้ว่าคุณหนูเห็นความสำคัญของตน จึงกล่าวอย่างตั้งใจ “บ่าวจะช่วยคุณหนูดูแลเรือนเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”

 

 

เสิ่นเวยพอใจ ยกมุมปากกล่าว “แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ในจวน แต่พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลัว วันเวลาจะผ่านไปเช่นไรก็ให้มันผ่านไปเช่นนั้น ไม่ต้องก่อเรื่องสร้างปัญหา แต่หากปัญหาเข้ามาเองก็ไม่ต้องกลัว ขอเพียงแค่พวกเจ้ามีเหตุผล ข้าก็จะรับผิดชอบแทนพวกเจ้าทั้งหมด หากพบเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ก็ไปถามคุณชายจี้ อาจารย์ซูและแม่นมกู้ที่เรือนหน้า”

 

 

คิดครู่หนึ่งเสิ่นเวยก็สั่งอีกหนึ่งประโยค “อาการของเยวี่ยกุ้ยยังไม่ดีขึ้นเลย พักรักษาตัวต่อไป ก่อนหน้านี้ใช้ยาอะไรทานน้ำแกงบำรุงอะไร หลังจากนี้ก็ให้เหมือนเดิม” นางกลัวว่านางไม่อยู่ในจวนจะมีคนปฏิบัติไม่ดีต่อเยวี่ยกุ้ย อันที่จริงเสิ่นเวยอยากพาเยวี่ยกุ้ยไปด้วยอย่างยิ่ง ฝีมือต่อสู้ของนางไม่เลว ไม่อาจเป็นภาระ แต่น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บของเยวี่ยกุ้ยยังไม่ดีขึ้น

 

 

“บ่าวจะจำไว้เจ้าค่ะ” เถาจือกับเหอฮวากล่าวตอบด้วยความเคารพ โดยเฉพาะเถาจือ มือข้างลำตัวกำแน่นอย่างอดไม่ได้ ส่วนลึกในใจมีความตื่นเต้นรางๆ นางรับรู้ได้แล้วว่า นี่คือโอกาสอันดีของนาง ขอเพียงแค่นางสามารถดูแลเรือนเฟิงฮวาในช่วงที่คุณหนูไม่อยู่ได้ หลังจากนี้ในสายตาคุณหนูนางก็จะเท่าเทียมกับหลีฮวาเหอฮวาแล้ว

 

 

เสิ่นเวยเพิ่งจะขึ้นรถม้า เสิ่นเจวี๋ยก็ขวางทางอยู่หน้ารถม้า เสิ่นเวยจนใจ ทำได้เพียงเรียกเข้ามา “ทำไมถึงไม่ไปสำนักศึกษา”

 

 

เสิ่นเจวี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อย มองชุดขาวบนร่างพี่สาว “ท่านพี่จะไปซีเจียงหรือ” สุ่ยเซียนกับแม่นมกู้บอกว่าท่านพี่จะไปขอพรให้ท่านปู่ที่วัดต้าเจวี๋ย แต่เขารู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้ ไปวัดต้าเจวี๋ยไหนเลยจะต้องพาทหารคุ้มกันเรือนไปมากเพียงนี้ ยังมีอาจารย์โอวหยาง เมื่อคืนเขาเห็นอาจารย์เช็ดทวนอยู่

 

 

“ใครบอกเจ้า” เสิ่นเวยประหลาดใจในไหวพริบของเสิ่นเจวี๋ยอย่างยิ่ง เรื่องที่นางจะไปซีเจียงไม่มีข่าวลือปรากฎออกมาแม้แต่นิดเดียว กระทั่งหลีฮวาก็ยังไม่รู้

 

 

“ไม่ต้องสนใจว่าใครบอกข้า ท่านบอกข้ามาว่าใช่หรือไม่” เสิ่นเจวี๋ยจ้อมองพี่สาว ท่าทางหากไม่ได้คำตอบก็สาบานว่าจะไม่หยุด

 

 

ในเมื่อเด็กคนนี้ทายถูกแล้ว เสิ่นเวยก็ไม่คิดจะปิดบังเขา พยักหน้ากล่าว “ใช่! ท่านปู่โดนธนูยิงหมดสติ ข้าไม่วางใจ จะไปดูเสียหน่อย” และถือโอกาสแลกอนาคตที่ดีมาให้เจ้าด้วย ประโยคหลังนี้นางพูดอยู่ในใจ

 

 

“เช่นนั้นข้าก็จะไปด้วย” เสิ่นเจวี๋ยรู้ว่าท่านพี่ตัดสินใจแล้วไม่อาจเปลี่ยนใจ แต่ซีเจียงกำลังสู้รบกัน อันตรายเกินไปแล้ว แม้ว่าท่านพี่จะเก่งอย่างยิ่ง แต่อย่างไรเสียก็เป็นสตรี เขาไม่วางใจ

 

 

“ไม่ได้” เสิ่นเวยปฏิเสธทันที นางสบสายตาที่ดื้อรั้นของน้องชาย ใจอ่อน ตบไล่เขาแล้วกล่าว “ตอนที่ควรจะให้เจ้าไปหากเจ้าไม่ไปข้าก็จะโบยเจ้าให้เจ้าไป แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาให้เจ้าไป หน้าที่ในตอนนี้ของเจ้าคือเรียนหนังสือในเมืองหลวงให้ดี เรียนรู้วิชาจากอาจารย์ซูให้มาก”

 

 

เสิ่นเจวี๋ยยืนนิ่งไม่ขยับ ไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย

 

 

“น้องเจวี๋ย ฟังนะ!” เสิ่นเวยจ้องมองดวงตาของเขา “น้องเจวี๋ยเจ้าต้องรู้ว่าพี่ไม่ได้อยากไป แต่พี่จำเป็นต้องไป เจ้าดูสิว่าคนสองรุ่นในจวนโหวของเรามีคนไหนที่สามารถเป็นเสาหลักได้บ้าง หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านปู่ จวนโหวของพวกเราก็จะล่มสลายทันที ท่านปู่เลือกพี่ก็เพราะหมดหนทางเช่นกัน ใครให้ผู้ชายจวนโหวของพวกเราใช้ไม่ได้เล่า พี่รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงพี่ เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งต้องตั้งใจเรียนให้ดี แต่ก่อนที่เจ้าจะโต ก่อนที่จะเก่ง พี่จะต้องช่วยประคองเจ้าก่อน”

 

 

เสิ่นเจวี๋ยเบ้าตาแดงก่ำ ข้างในมีน้ำตาเอ่อ เขากัดริมฝีปาก ฝืนใจมองพี่สาวที่อันที่จริงก็โตกว่าตนไม่กี่ปี ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ท่านพี่ต้องระวังตัว ข้าจะดูแลเรือนของพวกเราเป็นอย่างดี”

 

 

เสิ่นเวยมองเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ที่ยืดหลังตรง ยิ้มแล้ว รอยยิ้มนั้นงดงามและเปล่งประกายเช่นนั้น

 

 

เสิ่นเจวี๋ยมองรถม้าของพี่สาวค่อยๆ วิ่งออกไปไกล กำปั้นข้างลำตัวก็กำแน่น ท่านพี่ทำเพื่อเขา ท่านพี่ที่เดิมก็ควรจะอยู่ในเรือนไร้ความกังวลกลับต้องไปซีเจียงสถานที่ที่อันตรายเพียงนั้นเพื่อเขา เขาต้องรีบโต ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรังแกพี่สาวของเขาได้

 

 

หลีฮวากับพี่สะใภ้เซียงเหมยมาถึงวัดต้าเจวี๋ยแล้วก็เพิ่งรู้ว่าคุณหนูจะไปซีเจียง ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ “คุณหนู อันตรายเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” ในสนามรบคนฟาดฟันบาดเจ็บนับไม่ถ้วน หากคุณหนูบาดเจ็บขึ้นมาจะว่าอย่างไร

 

 

เสิ่นเวยกล่าว “ข้าตัดสินใจแล้ว แต่ข่าวที่ข้าไม่อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยไม่อาจลือออกไปได้ เดิมข้าก็จะมาขอพรให้ท่านปู่อยู่แล้ว หลังข้าไปพวกเจ้าก็อยู่สวดมนต์ไหว้พระในเรือนเล็ก พยายามออกข้างนอกให้น้อยที่สุด ข้าทิ้งหญิงที่ชำนาญการต่อสู้ไว้ให้พวกเจ้าสี่คน อีกประเดี๋ยวจะมีคนเข้ามา พวกเจ้าก็ปรนนิบัติเหมือนเป็นข้า”

 

 

ขณะที่กำลังพูดก็มีสตรีสวมผ้าคลุมศีรษะผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก สวมชุดเหมือนกับเสิ่นเวย รูปร่างนั้นมองดูแล้วเหมือนเสิ่นเวยเจ็ดแปดส่วน เข้าห้องมาแล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่ทำความเคารพเสิ่นเวย

 

 

“คุณหนู นี่คือ” หลีฮวาตกใจอีกครั้ง

 

 

เสิ่นเวยกล่าวอธิบาย “นี่คือซู่เหนียง หลังข้าไปแล้วนางจะปลอมตัวเป็นข้า ซู่เหนียง ถอดผ้าคลุมหน้าออกให้พวกนางดู”

 

 

ซู่เหนียงเพิ่งจะเอ่ยปาก “เจ้าค่ะ” นางถอดผ้าคลุมผมศีรษะลง หลีฮวากับพี่สะใภ้เซียงเหมยเห็นว่าแม้แต่ปิ่นปักผมบนศีรษะนางก็ยังเหมือนกับของคุณหนู เมื่อมองใบหน้านั้นอีกครั้ง หัวใจที่เป็นกังวลก็วางลงช้าๆ ยังดี ยังดี ยังเหมือนคุณหนูอยู่สองสามส่วน

 

 

เสิ่นเวยเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดจากนั้นก็เตรียมเดินทาง ทว่าหลีฮวากลับดึงแขนเสื้อนางไว้ “คุณหนู ท่านพาบ่าวไปด้วยเถิด ข้างกายท่านต้องมีคนไว้คอยรับใช้” คุณหนูพาไปเพียงเถาฮวา การเดินทางครั้งนี้คาดว่าแม้แต่แกงร้อนก็คงจะไม่ได้ทาน

 

 

“ไม่ได้ เจ้าเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายข้า หากเจ้าไม่อยู่ คนอื่นจะสงสัย” เสิ่นเวยปฏิเสธทันที

 

 

“เช่นนั้นคุณหนูก็พาบ่าวไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ” พี่สะใภ้เซียงเหมยกล่าวอย่างอดไม่ได้ ตั้งแต่ที่คุณหนูช่วยนางสองแม่ลูกไว้ ก็ไม่เคยใจแคบกับพวกนางเลย ทั้งยังไม่ให้นางขายตัวแลกที่ดิน เสียเงินเลี้ยงไว้เช่นนี้ นางเป็นคนรู้บุญคุณ อยากตอบแทนคุณหนูมานานแล้ว

 

 

“ไม่ได้เหมือนกัน ลูกสาวยังเล็ก ห่างเจ้าไม่ได้ อีกทั้งมีเจ้าอยู่ หลีฮวาเจอปัญหาก็ยังมีคนให้ปรึกษา” เสิ่นเวยปฏิเสธเช่นเดียวกัน “เอาล่ะ เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าต้องรีบไปแล้ว พวกเจ้ารักษาสุขภาพด้วย”

 

 

เสิ่นเวยพูดพลางก้าวขาเดินออกไปข้างนอก เสียงตะโกนของหลีฮวายังไม่ทันออกจากปาก นางก็ออกจากประตูเรือนไปแล้ว หลีฮวากระทืบเท้าด้วยความเคียดแค้น เศร้าใจที่สุด

 

 

อย่างไรเสียพี่สะใภ้เซียงเหมยก็อายุมาก เร็วอย่างยิ่งก็ได้สติกลับมา กล่าว “แม่นางหลีฮวา พวกเราทำตามคำสั่งของคุณหนูเถอะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราก็เริ่มถือศีลกินเจ อาหารเจมียายเฉินและคนอื่นไปรับมา ช่วงนี้พวกเราก็อย่าออกจากเรือนเลย แล้วก็คุณหนูซู่เหนียง เชิญท่านอยู่ในห้อง”

 

 

พี่สะใภ้เซียงเหมยสงบลงอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพซู่เหนียงผู้นั้นเหมือนกับว่าเป็นคุณหนู

 

 

ซู่เหนียงผู้นั้นเองก็มีไหวพริบ ไม่เล่นเนื้อเล่นตัวแม้แต่นิดเดียว ย่อคำนับแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องด้านใน

 

 

พี่สะใภ้เซียงเหมยกับหลีฮวาสบตากันปราดหนึ่ง คิดในใจ วันคืนหลังจากนี้คงจะไม่ลำบากนัก