ครั้งนี้เสิ่นเวยนำกำลังคนที่สามารถพาไปได้ทั้งหมดไปด้วย แบ่งเป็นสองเส้นทาง ทางหนึ่งปลอมตัวเป็นหน่วยคุ้มภัย มีจางสยงคุมส่งเสบียงสองหมื่นต้าน อีกทางหนึ่งแต่งตัวเป็นกลุ่มพ่อค้า มีเฉียนเป้า ชวีไห่ กัวซวี่คุมส่งเสบียงหนึ่งหมื่นต้าน
เสิ่นเวยตามกลุ่มของเฉียนเป้าชวีไห่นี้ไป ตอนที่ผ่านหมู่บ้านตระกูลเสิ่นนางก็ทิ้งกัวซวี่ไว้ สงครามครั้งนี้ไม่มีใครรู้ว่าจะนานเพียงใด เสบียงสามหมื่นต้านฟังดูแล้วเยอะอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้วก็เพียงพอให้กองทัพใหญ่แปดหมื่นนายกินใช้ได้แค่หนึ่งเดือน หลังจากหนึ่งเดือนเล่า จะให้ขอแต่ราชสำนักได้อย่างไร!
ดังนั้นจึงยังต้องเหลือคนไว้ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นเพื่อรับซื้อเสบียงต่อ อืม ในห้องลับยังซ่อนเสบียงไว้อยู่จำนวนหนึ่ง หากไม่ได้จริงๆ ก็เอาออกมาใช้ก่อน
เพราะว่าเป็นห่วงสงครามที่ซีเจียง เสิ่นเวยจึงเร่งเดินทางสุดกำลัง สองวันพักหนึ่งครั้ง พวกเขาคนเยอะ สามารถแบ่งกันพักผ่อนได้ แต่ม้ากลับไม่ได้
ช่วงพลบค่ำวันที่หก กลุ่มพ่อค้าหยุดพักที่เนินเขาแห่งหนึ่ง ล่างเนินเขามีแม่น้ำ บนเนินเขามีป่าเขา
ชวีไห่ออกคำสั่ง ให้ทุกคนรีบก่อไฟทำอาหาร ทั้งเนินเขาต่างก็มีเสียงดังอื้ออึง เสิ่นเวยจับมือเถาฮวาลงจากรถม้า นางขยับมือเท้าที่แข็งทื่อเล็กน้อย มองตะวันตกดินสีแดงดั่งเลือดที่ขอบฟ้า
“คุณชาย ดื่มน้ำขอรับ” เสี่ยวตี๋ ทหารลับหญิงที่ปลอมตัวเป็นชายส่งถุงน้ำดื่มเข้ามา ปีนี้เสี่ยวตี๋อายุสิบเจ็ดปีแล้ว หน้าตาธรรมดาอย่างยิ่ง แต่ฝึกฝนวิชาตัวเบาจนยอดเยี่ยม เป็นมือดีในการสืบข่าวสาร
เสิ่นเวยรับเข้ามาดื่มหลายอึกใหญ่ หลังจากนั้นก็ส่งให้เถาฮวาข้างๆ เถาฮวาดื่มอึกใหญ่ ดูท่าแล้วจะกระหายน้ำอย่างถึงที่สุด เสิ่นเวยกระตุกมุมปากเล็กน้อย นางรู้ว่าอันที่จริงเด็กคนนี้กินของว่างบนรถม้าไปเยอะ
“คุณชาย ท่านอยากทานอะไร” เสี่ยวตี๋รับถุงน้ำดื่มเข้ามาแล้วกล่าวถาม
เถาฮวาข้างๆ ตาลุกวาว เสิ่นเวยหัวเราะในใจ จริงๆ เลย ราวกับหิวมาแปดชั่วโคตร ตลอดทางนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีของให้นางกินนี่นา
ขาหมู ของว่างต่างๆ ผลไม้เชื่อม บวกกับวัตุดิบนานาชนิดที่นำมาสองคันรถม้า นี่ล้วนแต่เป็นของที่ชวีไห่ดูแล เขาบอกแล้วว่า ‘ต่อให้ลำบากก็ไม่อาจลำบากคุณหนู เสบียงสามหมื่นต้านเตรียมไว้พร้อมแล้ว จะขาดของคุณหนูได้อย่างไร บุตรสาวจวนโหวที่สูงศักดิ์เช่นคุณหนูจะกินเสบียงเหมือนชายฉกรรจ์ได้อย่างไร’
เสี่ยวตี๋มีฝีมือ มีฝีมือในการเปลี่ยนของไร้ประโยชน์ให้มีประโยชน์ได้ ดังนั้นตลอดเส้นทางนี้แม้เสิ่นเวยจะลำบาก แต่ในด้านอาหารการกินกลับสบายใจอย่างยิ่ง
“แล้วแต่เลย” เสิ่นเวยไม่เรื่องมากแม้แต่นิดเดียว นางเชื่อใจฝีมือการลงครัวของเสี่ยวตี๋
เสี่ยวตี๋คิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “เช่นนั้นผู้น้อยต้มแกงปลาให้คุณชายทานแล้วกัน”
“เอาปลามาจากไหน” เสิ่นเวยสงสัยอย่างยิ่ง นางจำไม่ได้ว่าพวกนางเอาปลามาด้วย ถึงจะเอามา ก็คงจะเป็นปลาแห้งกระมัง
เสี่ยวตี๋ชี้ล่างเนินเขาแล้วกล่าว “นั่นไม่ใช่แม่น้ำหรือ ในนั้นจะต้องมีปลาแน่นอน ผู้น้อยจะไปจับมาสักตัวสองตัว”
“ข้าอยากไปด้วย พี่เสี่ยวตี๋ ข้าอยากไปจับปลาด้วย” เถาฮวาร้องดีใจ ถึงแขนเสื้อเสี่ยวตี๋ขอตามนางไปด้วย เสิ่นเวยยิ้มแย้ม หาพื้นหญ้าสะอาดๆ นั่งลง
กลุ่มพ่อค้าของพวกเขามีหนึ่งร้อยห้าสิบหกสิบคน หนึ่งในสามเป็นคนหนุ่มที่มาจากหมู่บ้านตระกูลเสิ่น พวกเขารู้ว่าครั้งนี้คุณหนูจะพาพวกเขาไปฆ่าศัตรูสร้างคุณูปการในสนามรบ แต่ละคนก็ฮึกเหิม ดีใจอย่างถึงที่สุด
เพราะว่าพลังของแบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เสิ่นเซ่าหย่งเด็กคนนั้นไปซีเจียงก่อนพวกเขาแค่ไม่กี่เดือน ตอนนี้เป็นป่าจ่ง[1]ลำดับเจ็ดแล้ว ตอนที่ฝึกทหารไม่ว่าใครก็ไม่ได้แย่ไปกว่าใคร เสิ่นเซ่าหย่งเด็กคนนั้นยังเป็นป่าจ่งได้ ตนก็ต้องเป็นได้เช่นกัน
ทุกคนพลางพูดพลางหัวเราะพลางยุ่ง เก็บฝืน ล่าสัตว์ ตักน้ำ ก่อไฟ…แบ่งงานกันทำอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนที่เดินผ่านเสิ่นเวยก็เรียกคุณชายด้วยความเคารพ อันที่จริงแต่ละคนต่างก็รู้ดีว่านี่คือคุณหนูของพวกเขา คุณหนูที่มอบชีวิตดีๆ ให้พวกเขา ความเคารพที่พวกเขามีต่อเสิ่นเวยออกมาจากหัวใจ
“คุณชายเหนื่อยหรือไม่” ชวีไห่ยิ้มแย้มเดินมาข้างๆ เสิ่นเวย
เสิ่นเวยเองก็ยิ้ม “ยังไหวอยู่” หลังจากนั้นก็เอียงคอหยอกล้อ “ท่านอาชวีมีกำลังวังชาดียิ่งนัก!” ชวีไห่อายุมากที่สุดในกลุ่มคุมส่งเสบียงทั้งหมด อีกทั้งยังไม่เป็นวรยุทธ์
“คุณชายล้อเล่นแล้ว ผู้น้อยเพียงแค่ชินแล้วก็เท่านั้นเอง” ชวีไห่ยังคงยิ้มแย้ม ตอนเขาวัยเยาว์ก็ติดตามกลุ่มพ่อค้าออกไปข้างนอก ไม่ได้ออกจากบ้านก็แค่ไม่กี่ปีนี้ พื้นฐานที่สร้างไว้ตอนเยาว์ไหนเลยจะทิ้งไปได้ง่ายๆ ประสบการณ์ของเขาโชกโชนอย่างยิ่ง
“ท่านอาชวีว่า ด้วยความเร็วเช่นนี้พวกเราจะถึงซีเจียงเมื่อไร” เสิ่นเวยถาม ฟังว่าม้าเร็ววิ่งจากเมืองหลวงไปซีเจียงใช้เวลาสิบวัน ตอนนี้ก็วันที่หกแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านปู่จะฟื้นแล้วหรือยัง อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง นางร้อนใจเล็กน้อย
“คาดว่าอีกสิบวัน” ชวีไห่คิดแล้วจึงกล่าว
หัวใจเสิ่นเวยด่ำดิ่งลงในชั่วขณะ สิบวัน! สงครามแปรเปลี่ยนในชั่วพริบตา ใครก็บอกไม่ได้ว่าภายในสิบวันนี้ซีเจียงจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด ที่เสิ่นเวยเป็นห่วงที่สุดยังคงเป็นปัญหาเรื่องเสบียง แม้จะบอกว่าราชสำนักเองก็ส่งแม่ทัพอู่เลี่ยนำเสบียงไปให้ซีเจียง แต่พวกเขาก็อาจจะไม่ได้ไปถึงก่อนกลุ่มพ่อค้ากลุ่มนี้ของตน
เสบียงของซีเจียงจะอยู่ได้นานเพียงนั้นหรือไม่
“ท่านอาชวี เร็วกว่านี้อีกได้หรือไม่ ข้ากลัวท่านปู่รอไม่ไหว” เสิ่นเวยมองชวีไห่
ชวีไห่เองก็รู้ว่าซีเจียงรอเสบียงการช่วยเหลืออยู่ ก้มหน้าตริตรองครู่หนึ่ง กล่าว “เช่นนั้นนับตั้งแต่คืนนี้ไปพวกเราเปลี่ยนเป็นสองวันพักครึ่งคืน คาดว่าน่าจะถึงก่อนกำหนดสองสามวัน”
“ได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน” เสิ่นเวยตอบเสียงเด็ดขาด
“ขอรับ อีกประเดี๋ยวผู้น้อยจะออกคำสั่งลงไป” ชวีไห่กล่าวอย่างจริงจัง
ตอนที่ทั้งสองคนพูดคุยกันโอวหยางไน่ก็กอดอกยืนอยู่ไม่ไกลจากเสิ่นเวย เขามองดวงอาทิตย์ตกดินช้าๆ ในใจก็ร้อนรนดั่งไฟสุม เขาเป็นลูกกำพร้าที่ท่านโหวเก็บมาเลี้ยง แม้จะบอกว่าติดตามคุณหนูสี่มา แต่ตอนที่ได้ยินว่าท่านโหวโดนธนูยิงเขาก็อยากจะบินไปสนามรบซีเจียงทันที
บทสนทนาของคุณหนูกับเจ้าของร้านชวีเขาเองก็ได้ยินแล้ว อันที่จริงให้ม้าเร็วเขาหนึ่งตัว ไม่ถึงสิบวัน แปดวันเขาก็สามารถไปถึงซีเจียงได้ แต่ประโยคนี้เขากลับไม่กล้าเอ่ยปากบอกคุณหนูน่ะสิ
กลิ่นหอมที่น่าดึงดูดหนึ่งกลุ่มลอยเข้ามา จู่ๆ เสิ่นเวยก็รู้สึกหิว เงยหน้าตามกลิ่นไป เห็นเสี่ยวตี๋กับเถาฮวาต้มแกงปลาอยู่ หมอหลิ่วข้างๆ ยังชี้อะไรสักอย่างข้างใน
เสิ่นเวยเดินเข้าไป “จับปลาได้จริงๆ ด้วย หอมจริงๆ!” พูดพลางสูดกลิ่น นางรู้สึกหิวกว่าเดิม
เถาฮวาแกว่งไม้แกว่งมือด้วยความตื่นเต้น “คุณชาย คุณชาย พี่เสี่ยวตี๋เก่งจริงๆ จับปลาได้หลายตัวเลย เถาฮวาก็จับได้ตั้งสองตัว”
เสิ่นฮวาหลุดหัวเราะ ประเด็นสำคัญของเด็กคนนี้อยู่ที่ประโยคหลังสินะ “เถาฮวาเก่งมาก วันนี้ข้าได้เถาฮวาช่วยเยอะเลย” เสิ่นเวยชมนางอย่างไม่ฝืนใจเลยแม้แต่น้อย
เถาฮวาก็แย้มยิ้ม ใบหน้าเล็กๆ ที่เดิมไม่อ้วนคล้ายผอมกว่าเดิม กินเยอะเพียงนี้เหตุใดถึงไม่มีเนื้อเลยเล่า เสิ่นเวยเป็นห่วงยิ่งนัก
“ท่านหมอหลิ่วเหนื่อยหรือไม่” เสิ่นเวยถามอย่างเป็นมิตร
หลิ่วซื่อเฉวียนนวดทุบขากล่าวพึมพำ “แก่แล้ว ไหนเลยจะเทียบเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้ได้ แค่นั่งรถผู้น้อยก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างจะแหลกแล้ว” เขากลับพูดความจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราเหมือนเจ้าขุนมูลนาย แต่นอกจากขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรแล้วก็ไม่เคยได้รับความลำบากอะไรมาก่อน
“ลำบากท่านหมอหลิ่วแล้ว” เสิ่นเวยรู้สึกผิดเล็กน้อย บอกว่าจะพาเขามาเสวยสุขในเมืองหลวง ตอนนี้กลับพามาเดินทางลำบาก
ทว่าหลิ่วซื่อเฉวียนกลับกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ดูคุณชายพูดเข้า ครั้งนี้ผู้น้อยสมัครใจมาเอง” ก่อนมาคุณหนูถามความต้องการของเขา เป็นเขายินยอมมาเอง
ในใจชายทุกคนล้วนมีความฝันอยากฆ่าศัตรูตอบแทนแว่นแคว้น ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย หลิ่วซื่อเฉวียนคิดไม่ถึงว่าตนอายุปูนนี้แล้วจะยังได้รับโอกาสเช่นนี้ แม้เขาจะไม่อาจลงสนามรบฆ่าศัตรูด้วยตัวเองได้ แต่เขาก็ชำนาญการรักษา สามารถช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บได้ ถือว่าเป็นการจงรักภัคดีต่อแว่นแคว้นเช่นเดียวกัน
“คุณหนู แกงปลาเสร็จแล้ว ท่านลองชิมก่อน” เสี่ยวตี๋ยกเข้ามาด้วยความเคารพ
เสิ่นเวยรับถ้วยมาทาน ทานคำเล็กช้าๆ ความหอมสดใหม่นั้นกระตุ้นต่อมรับรสชาติของนางทันที ทำให้นางทานอีกคำอย่างอดไม่ได้ “อร่อย! ฝีมือเสี่ยวตี๋พัฒนาอีกแล้ว” เสิ่นเวยชม “มาทานกันให้หมด ตกใจอะไร เถาฮวา ยังต้องให้ข้าตักให้เจ้าอีกหรือ เสี่ยวตี๋เจ้าเองก็ทานด้วยกัน เอาไปให้หมอหลิ่ว ท่านอาชวี เฉียนเป้าคนละถ้วย” เสิ่นเวยกะปริมาณแกงปลาในหม้อ อืม น่าจะพอแบ่งพวกเขา
“เช่นนั้นผู้น้อยไม่เกรงใจแล้ว” หลิ่วซื่อเฉวียนแช่เสบียงแห้งไว้ในแกงปลา ซดน้ำแกงเข้าไปทันที
เสิ่นเวยเองก็เลียนแบบเขา แช่เสบียงแห้งไส้ในแกงปลา กินแกงปลาถ้วยใหญ่ลงท้อง แม้ว่าหน้าผากจะมีเหงื่อออก แต่ร่างทั้งร่างกลับรู้สึกสบายอย่างถึงที่สุด
กินข้าวอิ่มแล้ว ทุกคนก็เตรียมพักผ่อน เรื่องจุกจิกอย่างการเฝ้ายามลาดตระเวนก็ไม่จำเป็นต้องให้เสิ่นเวยเป็นห่วง นางลากกระโจมอย่างง่ายๆ ออกมาจากในรถ พาเสี่ยวตี๋เข้าไปข้างใน เถาฮวาก็นอนอยู่บนรถม้า นางตัวเล็กจึงนอนได้
เดินทางมาสองวัน เสิ่นเวยเหนื่อยจะแย่แล้วจริงๆ หัวถึงหมอนก็ส่งเสียงกรนเบาๆ ออกมาทันที
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร เสิ่นเวยก็ลืมตาอย่างรวดเร็ว นางคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ดังเข้ามาในหูนางรางๆ จากที่ไกลๆ นางตื่นตัวอย่างอดไม่ได้ หลังจากนั้นก็เห็นเสี่ยวตี๋ที่นอนอยู่ข้างๆ ลืมตาทันทีเช่นกัน
เสิ่นเวยส่งสายตาไถ่ถามไปหานาง เสี่ยวตี๋พยักหน้าเบาๆ ยืนยันกับนาง เสิ่นเวยลุกขึ้นออกมาจากกระโจมทันที ตะโกนเสียงดัง “ข้าศึกโจมตี ตั้งแถว ดับไฟ!”
หลังเสียงตะโกนของเสิ่นเวย บริเวณที่ตั้งต่ายก็มีเสียงนกหวีดแหลมเปรียวดังขึ้น ทั่วทั้งค่ายเคลื่อนไหวในชั่วพริบตา
ก่อนจะนอนพักพวกเขาก็รวบรวมรถและม้าทั้งหมดไว้ด้วยกันแล้ว หลังเสียงนกหวีดแจ้งว่าข้าศึกโจมตีดัง ทุกคนก็ลุกขึ้นคลำหาอาวุธยืนประจำตำแหน่งทันที หันหลังเข้าหากันล้อมรถไว้ตรงกลาง
กองไฟดับไหม้หมดแล้ว ทุกคนกุมอาวุธตั้งมั่นพร้อมรบ ตอนนี้ได้ยินเสียงกีบเท้าม้ารางๆ แล้ว
[1] ป่าจ่ง ยศนายทหารระดับล่าง