บุกฆ่า

เสียงกีบเท้าม้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เสิ่นเวยกลั้นหายใจ ตั้งใจเงี่ยหูฟัง

 

 

“คุณชาย มีประมาณแปดสิบคนขอรับ คล้ายกับว่าเป็นม้าพันธุ์ดีทั้งหมด” เสี่ยวตี๋คุ้มกันอยู่ข้างกายเสิ่นเวยด้วยความระมัดระวัง กล่าวเตือนเสียงเบา

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า จำนวนคนนี้ไม่ต่างจากที่นางคาดเดามากนัก เพียงแค่นางไม่เชี่ยวชาญเท่าเสี่ยวตี๋ ฟังไม่ออกว่าเป็นม้าพันธุ์ดีหรือไม่ดี

 

 

แทบจะในชั่วพริบตาเสิ่นเวยก็ตัดสินใจได้แล้ว “ศัตรูมีประมาณแปดสิบคน ทุกคนตั้งสติอย่าแตกตื่น ฟังคำสั่งของหัวหน้ากลุ่ม ทหารลับ ประสานงาน”

 

 

ตลอดการเดินทางเสิ่นเวยได้ปรึกษากับทุกคนมาก่อนแล้ว หากการเดินทางครั้งนี้ราบรื่นก็ดีไป หากพบศัตรูเข้าควรจะทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงวางแผนยุทธวิธี แบ่งคนที่สามารถสู้รบได้เป็นกลุ่ม กลุ่มละยี่สิบคน แต่ละกลุ่มเลือกหัวหน้าหนึ่งคน ระหว่างกลุ่มต้องให้ความร่วมมือกัน

 

 

สำหรับการประสานงานของทหารลับก็เป็นเจตนาเห็นแก่ตัวเล็กน้อยของเสิ่นเวย แม้ว่าคนเหล่านี้จะฝึกฝนมานาน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเห็นเลือดมาก่อน พบศัตรูก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้ตื่นตระหนก เสิ่นเวยจึงนำทหารลับยี่สิบนายออกมา ไม่ให้พวกเขาลงมือ เพียงแค่ให้แต่ละคนดูคนสิบคนให้ดี เวลาที่มีอันตรายก็เข้าไปช่วยได้ทันเวลา ไม่ให้พวกเขาเสียชีวิตโดยไม่คาดคิด

 

 

ในเมื่อเสิ่นเวยพาพวกเขาออกมาแล้ว ก็หวังว่าจะสามารถพาพวกเขาทั้งหมดกลับได้อย่างปลอดภัย

 

 

เสียงกีบเท้าม้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในราตรีที่เงียบสงัดประหนึ่งรัวกลอง เสิ่นเวยสายตาดีอย่างยิ่ง สามารถมองเห็นเงาดำรางๆ ข้างหน้าได้ และคนทั้งหมดที่กุมอาวุธแน่นก็เบิกตาโต อารมณ์ฮึกเหิม หัวใจดวงนั้นที่อยู่ในอกคล้ายกำลังจะหลุดออกมา

 

 

ตลอดการเดินทางพวกเขาฝึกซ้อมมาสามครั้งแล้ว ครั้งนี้พบศัตรูเข้าจริงๆ พวกเขาล้วนแต่หวังว่าตนจะสามารถฆ่าศัตรูได้ ไม่เสียหน้าคุณชาย

 

 

ใกล้แล้ว ใกล้เข้ามาแล้ว

 

 

มองเห็นกองทหารม้าที่เร็วราวกับสายลมกำลังจะบดขยี้เข้ามา ได้ยินหัวหน้ากลุ่มหนึ่งกลุ่มสองตะโกนพร้อมกัน “กลุ่มหนึ่งกลุ่มสองยิง” ตามมาติดๆ ก็เป็นกลุ่มสามกลุ่มสี่ กลุ่มห้ากลุ่มหก…ลูกธนูพุ่งไปยังกองทหารม้าราวกับตั๊กแตน

 

 

กองทหารม้าไม่ได้ระวังตัวอย่างสิ้นเชิง ถูกยิงจนรับมือไม่ทัน คนหงายม้าร้อง เสียงโอดครวญดังขึ้นไม่หยุด

 

 

“แย่แล้ว มีข้าศึกกำลังมาก รีบจับอาวุธ” ในฝ่ายศัตรูมีคนตะคอกเสียงดัง พากันเฆี่ยนม้า มีคนฉวยโอกาสช่วงชุลมุนจุดคบเพลิง แม้ว่าจะถูกเสิ่นเวยยิงดับทันที แต่ศัตรูก็ยังคงมองเห็นรถฝั่งนี้ของเสิ่นเวย “สหายพี่น้องบุกเลย ปล้นชิงมันมา” ในน้ำเสียงมีความดีใจ

 

 

เสิ่นเวยตะโกนกล่าว “ล้อม”

 

 

ทุกคนส่งเสียงร้องโผเข้าไปราวกับเสือร้ายที่ลงจากเขา แบ่งกลุ่มเล็กๆ ออกเป็นหน่วย กระจายตัวตามสนามรบ ในด้านจำนวนคนฝั่งเสิ่นเวยเดิมก็ได้เปรียบอยู่แล้ว ยี่สิบคนล้อมตีสิบคนย่อมง่ายดาย อีกทั้งยังรู้จักร่วมมือกัน ยังมีทหารลับที่ตามมาสนับสนุน เติมเต็มจุดอ่อนที่พวกเขาไม่เคยเห็นเลือดไม่มีประสบการณ์ได้เป็นอย่างยิ่ง

 

 

ราตรีมืดสนิดเป็นสีกำบังที่ดีอย่างยิ่ง เพราะว่าเห็นไม่ชัด ดังนั้นจึงไม่มีความรู้สึกพะอืดพะอมที่ต้องมองเห็นภาพแขนขาดขาขาดเหล่านั้นเหมือนตอนกลางวัน ทุกคนยิ่งสู้ก็ยิ่งกล้า จักต้องกำจัดศัตรูให้สิ้นซากจนได้

 

 

เถาฮวาข่มใจไม่ไหววิ่งออกไปนานแล้ว นางกับทหารลับที่ไม่ถูกส่งให้ไปทำหน้าที่หลายคนก็คอยสอดส่องอยู่ข้างๆ โดยเฉพาะ เมื่อเห็นว่ามีคนที่คิดจะหนีก็เข้าไปทุบด้วยกระบอง คุณหนูบอกแล้วว่าห้ามปล่อยให้หนีไปแม้แต่คนเดียว เพื่อเลี่ยงไม่ให้ข่าวลือรั่วไหล นางไม่เข้าใจว่าข่าวลือรั่วไหลคืออะไร เพียงแต่จำคำของคุณหนูจนขึ้นใจ ห้ามปล่อยให้หนีไปแม้แต่คนเดียว

 

 

เหล่าทหารลับเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนี้โหดเ**้ยมเช่นนี้ก็กระตุกมุมปากอีกครั้ง ชายฉกรรจ์เช่นพวกเขาเหล่านี้ยังไม่ฆ่าคนราวกับฆ่าไก่เหมือนเถาฮวาด้วยซ้ำ คุณหนูสี่ไปหาเด็กประหลาดได้จากที่ไหนกัน

 

 

สงครามครั้งนี้แทบจะเป็นการฆ่าเพียงฝ่ายเดียว บดขยี้เต็มกำลัง ชั่วขณะในสนามรบก็มีเสียงร้องโอดครวญไม่หยุด คนที่มีไหวพริบเห็นว่าสิบคนรุมหนึ่งคนได้ ไม่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยจริงๆ ก็ฉวยโอกาสจูงม้าของศัตรูมารวมไว้ด้วยกัน คุณหนูสั่งแล้วว่า นี่คือของที่ยึดได้จากข้าศึก ต้องรู้จักงกเสียบ้าง

 

 

หนึ่งชั่วยามผ่านไปสงครามก็หยุดลง จับพยานมาได้หลายคน ที่เหลือล้วนถูกกำจัด

 

 

คบเพลิงจุดขึ้นแล้ว ส่องราตรีอันมืดมิดให้สว่างราวกับกลางวัน เฉียนเป้าพาคนเก็บกวาดสนามรบ เสิ่นเวยกับโอวหยางไน่ไต่ถามพยานที่จับมาด้วยตัวเอง

 

 

ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าคนกลุ่มนี้คือโจรบนเขาเอ้อร์หลงอะไรสักอย่าง เขาเอ้อร์หลังอยู่ห่างจากเมืองชายแดนซีเจียงประมาณหนึ่งรอยลี้ ครั้งนี้พวกเขาถือโอกาสที่ต้ายงเปิดศึกกับซีเหลียง คิดจะตามมาฉกฉวยผลประโยชน์ข้างหลัง เดิมพวกเขาคิดจะโจมตีกลุ่มขนส่งเสบียงของราชสำนัก ไม่คิดว่าจะพลาดมาเจอเสิ่นเวยกลุ่มนี้แทน เป็นโชคร้ายจริงๆ

 

 

เสิ่นเวยวิจารณ์ในใจ คนแค่นี้ยังคิดจะแย่งชิงเสบียงราชสำนักงั้นหรือ รนหาที่ตายสิไม่ว่า เสิ่นเวยเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ หัวหน้าใหญ่เขาเอ้อร์หลงไม่ถูกกับรองหัวหน้า หัวหน้าใหญ่ส่งรองหัวหน้าออกมาไม่ใช่ว่าส่งมาตายหรือไร

 

 

“รู้ข่าวล่าสุดที่เมืองชายแดนซีเจียงหรือไม่” เสิ่นเวยกล่าวถามตามอำเภอใจ เดิมไม่หวังว่าจะได้ข่าวที่มีประโยชน์อะไร นึกไม่ถึงว่ายังมีพยานเอ่ยปากพูดจริงๆ “สถานการณ์ที่เมืองชายแดนไม่ค่อยดีนัก ตั้งแต่ที่ท่านเสิ่นโหวหมดสติก็ยังไม่ฟื้น กองทัพซีเหลียงโจมตีกำแพงเมืองทุกวันๆ เกรงว่าจะประคับประคองไม่ไหวแล้ว ดังนั้นรองหัวหน้าของพวกข้าจึงพาสหายพี่น้องออกมา ไหนเลยจะไม่ได้หาหนทางรอดชีวิต” เขาเอ้อร์

 

 

หลงอยู่ใกล้เมืองชายแดนอย่างยิ่ง กำแพงเมืองกำลังจะถูกกองทัพใหญ่ซีเหลียงพังแล้ว เขาเอ้อร์หลงเองก็หนีไม่พ้น

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านเสิ่นโหวยังไม่ฟื้น” เสิ่นเวยกล่าวถามหน้านิ่ง

 

 

พยานผู้นั้นก็บอกว่า “โธ่ มีใครไม่รู้บ้าง ทุกคนต่างก็พูดกันเช่นนี้ ตั้งแต่ที่ท่านเสิ่นโหวถูกยิงธนูก็ไม่ปรากฎตัวอีกเลย ยังมีคนบอกว่าท่านเสิ่นโหวตายแล้วด้วยซ้ำ”

 

 

เสิ่นเวยสบตาโอวหยางไน่ปราดหนึ่ง ในแววตาของฝ่ายตรงข้ามมองเห็นความตึงเครียด ท่านเสิ่นโหวไม่ปรากฎตัวนานแล้ว สถานการณ์ไม่ดีแล้ว

 

 

“คุณชาย ห้าคนนี้จะจัดการอย่างไรขอรับ” โอวหยางไน่กล่าว

 

 

เมื่อพยานไม่กี่คนนั้นได้ยินก็ร้องขออ้อนวอนทันที ต้องการให้ไว้ชีวิต เสิ่นเวยนิ่งเงียบ นี่คือโจรที่กุมชีวิตผู้อื่น หากปล่อยพวกเขาไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนถูกพวกเขาทำร้าย สำหรับคนชั่วเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือส่งพวกเขาไปตาย

 

 

เสิ่นเวยบอกเป็นนัย จากนั้นจึงมีทหารลับเข้ามาลากตัวพยานออกไปจัดการ

 

 

เร็วอย่างยิ่งสนามรบก็เก็บกวาดเรียบร้อย เงินติดตัวและของมีค่าต่างก็ยึดมา ศพทั้งหมดโยนเข้าไปในป่า อาวุธและม้าถูกนำไปทั้งหมด ม้าวิ่งหนีไปจำนวนหนึ่ง บาดเจ็บล้มตายอีกจำนวนหนึ่ง จำนวนที่เหลืออยู่รวบรวมได้สามสิบกว่าตัว

 

 

เฉียนเป้านำเงินและของต่างๆ จำพวกจี้หยกมาให้เสิ่นเวยดู เสิ่นเวยยิ้ม โบกมืออย่างใจกว้าง “เอาไปให้ทุกคนแบ่งกันเถอะ” ของแค่นี้นางไม่สนใจ แต่สำหรับทุกคนแล้วกลับเป็นบำเหน็จที่หาได้ยาก นางใช้ข้อเท็จจริงอธิบายเหตุผลแก่ทุกคน ‘ดูสิ ติดตามคุณหนูเช่นข้าก็จะมีเงินอยู่ในมือ’

 

 

เป็นดั่งคาด ทุกคนส่งเสียงร้องยินดี แม้แต่ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บก็รู้สึกไม่เจ็บแล้ว แม้ว่าจะชนะ แต่ฝั่งเสิ่นเวยก็บาดเจ็บเล็กน้อยด้วยเหตุผลต่างๆ กว่าสามสิบคน แต่กลับไม่มีคนบาดเจ็บสาหัส

 

 

ถือโอกาสขณะที่ทุกคนตื่นเต้นดีใจ เสิ่นเวยก็ตัดสินใจเดินทางในคืนนั้น คราวนี้นางตัดสินใจพาคนส่วนหนึ่งไปก่อน เถาฮวา โอวหยางไน่กับเสี่ยวตี๋จำเป็นต้องพาไปด้วย นอกจานี้แล้วนางยังพาทหารลับเจ็ดคนกับเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นที่เก่งกล้าที่สุดสามสิบคนไปพร้อมกัน

 

 

เสิ่นเวยทิ้งรถม้า ขี่ม้าตลอดทั้งวันทั้งคืนเหมือนกับทุกคน ตอนที่ไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็หยุดพักครึ่งชั่วยาม เป็นเช่นนี้ในที่สุดสามวันต่อมาก็มาถึงเมืองชายแดนซีเจียง

 

 

อาทิตย์ตกดินอีกครั้ง อาทิตย์บนท้องฟ้าตะวันตกสีแดงดั่งเลือด

 

 

กองทัพใหญ่ซีเหลียงกำลังโจมตีกำแพงเมือง เสิ่นเวยเฆี่ยนม้าหยุดอยู่บนเนินเขาสูง ทอดสายตาออกไป ทุกๆ แห่งที่สายตากวาดผ่านล้วนแต่เป็นกองทัพซีเหลียงที่แน่นขนัด หากจะไปถึงล่างกำแพงเมืองก็ต้องฆ่าเปิดทาง จะทำอย่างไร หาที่หลบรอกองทัพซีเหลียงถอยทัพ หรือว่าบุกเข้าไปตอนนี้เลย

 

 

“คุณชาย พวกเราบุกเถอะขอรับ!” เสิ่นหู่โถวมองทหารซีเหลียงที่อยู่เต็มพื้นที่ ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

 

 

ตลอดการเดินทางนี้พวกเขาเองก็เคยผ่านหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านเหล่านี้ล้วนแต่เงียบสงัดไร้ผู้คนเหมือนกันทั้งหมด บ้านเรือนพังทลาย ยังมีร่องรอยของการถูกไฟเผา กระทั่งมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งทั่วทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยคนตาย มีคนชรา มีเด็ก มีชายหนุ่มไม่น้อย ศพต่างก็เน่าเปื่อยหมดแล้ว ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งไปทั่ว

 

 

“ถูกต้อง คุณชาย พวกเราบุกกันเถอะ!” คนที่เหลือพากันเห็นด้วย

 

 

เสิ่นเวยหันหลังกลับไปมอง เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยโลหิตแต่ละคู่ๆ และใบหน้าที่แดงก่ำ โลหิตในร่างกายนางเดือดพล่านในชั่วพริบตา ใช่แล้ว ทุกคนล้วนแต่ไม่กลัว เช่นนั้นนางจะยังกลัวอะไร สายตาของนางทอดมองไปยังดาบหมื่นโลหิตที่วางนอนอยู่บนม้า เบื้องลึกภายในใจก็มีความรู้สึกที่แตกต่างเกิดขึ้น ดาบหมื่นโลหิตเงียบเหงามานานแล้ว ครั้งนี้ก็ให้มันได้ดื่มเลือดของคนซีเหลียงแล้วกัน

 

 

“ได้!” เสิ่นเวยหยักหน้าอย่างจริงจัง ทันใดนั้นก็ออกคำสั่ง “ตั้งทัพบุกเข้าไป อย่าแตกกลุ่ม ทหารลับขนาบข้าง ตั้งใจร่วมมือกัน พวกเราเพียงแค่บุกฆ่า อย่าพลีชีพอย่างไร้ค่า”

 

 

พวกเขาเพียงสี่สิบคน บุกเข้าไปในกองทัพใหญ่ซีเหลียงหลายหมื่นนายนี้ชั่วพริบตาก็ถูกปกคลุม ดังนั้นไม่อาจแตกแยกได้เป็นอันขาด รวมตัวบุกฆ่าด้วยกันกลับยังมีแรงสู้รบ

 

 

“ขอรับ ผู้น้อยทราบแล้ว” ทุกคนตอบรับพร้อมกัน

 

 

“เช่นนั้นก็ตามข้ามา!” เสิ่นเวยถือดาบหมื่นโลหิตนำหน้าบุกเข้าไปในกองทัพใหญ่ซีเหลียง เถาฮวากับโอวหยางไน่คุ้มกันอยู่ด้ายซ้ายขวาของนาง ข้างหลังเป็นทหารลับและเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นที่กุมทวนยาวสีเดียวกัน

 

 

ถูกต้อง เป็นทวนยาวสีเดียวกัน ในสนามรบยังจะมีอาวุธใดเทียบเท่าราชาแห่งอาวุธเช่นทวนยาวได้อีก กลุ่มทวนยาวขนาดเล็กกลุ่มนี้เองก็ฝึกฝนมานานกว่าสองปีแล้ว วันนี้ได้แสดงความสามารถเป็นครั้งแรก

 

 

ดาบหมื่นโลหิตของเสิ่นเวยได้ทำการปรับเปลี่ยนแล้ว เพิ่มด้ามยาวหนึ่งด้ามเข้าไป นั่งอยู่บนม้าไม่ต้องออกแรงเป่าฝุ่นก็สามารถฆ่าศัตรูได้อย่างง่ายดาย

 

 

ดาบหมื่นโลหิตของเสิ่นเวยเก่งกาจจริงๆ ทุกๆ ที่ที่ผ่านไป คมมีดกะพริบวาบจักต้องมีศีรษะคนกระเด็นหลุดลอย ทหารซีเหลียงจำนวนมากยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับมาก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางยมโลกอย่างไม่รู้ตัวแล้ว

 

 

เถาฮวาเองก็แสดงพลังองอาจ มือหนึ่งควบม้า มือหนึ่งถือกระบองเหล็กกวาดออกไป ทุกๆ แห่งที่กระบองผ่านไปทหารซีเหลียงก็ล้มลงไม่เว้นแม้แต่คนเดียว

 

 

ทวนยาวของโอวหยางไน่ประหนึ่งมังกรคะนองน้ำ ตวัดขึ้นลง แทบจะฆ่าได้หนึ่งทวนต่อหนึ่งคน ฟาดฟันจนทหารซีเหลียงร้องไห้หาบุพการี

 

 

เด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นที่ตามมาข้างหลังก็ถูกโลหิตสดกระตุ้นจนบ้าคลั่ง ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ อยากฆ่าศัตรูสร้างคุณูปการ อยากเลื่อนตำแหน่งได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ อยากระบายความโกรธแทนท่านโหวและคุณหนู กล้ามเนื้อทั่วร่างของพวกเขาฮึกเหิมขึ้นมา กุมทวนยาวแน่นบุกฆ่าอยู่ในกองทัพซีเหลียง

 

 

ไม่ว่าอย่างไรทหารซีเหลียงก็นึกไม่ถึงว่าข้างหลังจะยังมีคนอีก ถูกสังหารอย่างไม่ทันตั้งตัว กว่าจะตอบสนองกลับมาได้ เสิ่นเวยก็นำคนสังหารนองเลือดแล้ว รุดเข้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง