ซุนฉางอหังการ

“ของล้ำค่า?”

ตอนนั้นเองที่จางเซวียนนึกได้ว่านอกจากจะได้ร่างกายท่อนบนของไอ้โหดมาแล้ว เขายังเพิ่งสังหารนักปราชญ์โบราณไปตัวหนึ่ง

ร่างของนักปราชญ์โบราณเป็นที่หมายปองของใครต่อใครแม้จะกลายเป็นศพไปแล้ว

จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้นขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรทำอย่างไรกับศพนักปราชญ์โบราณตัวนี้ “ถ้าผมหลอมศพของมันให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้ ก็จะมีไม้ตายไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มอีกอย่างในยามคับขัน!”

เพราะได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมา จางเซวียนจึงรู้กรรมวิธีการหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณ หากเขาใช้ศพของนักปราชญ์โบราณตัวนี้เป็นร่างตั้งต้นและหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้สำเร็จ ก็แปลว่าเขาอาจจะมีประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับเดียวกับนักปราชญ์โบราณหากถอดจิตวิญญาณเข้าสิงร่างหุ่นตัวนั้น?

ถ้าทำได้จริง เขาคงไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนอีก!

เรื่องนี้มาได้จังหวะพอดี เพราะเขาเพิ่งใช้หยดเลือดของปรมาจารย์ขงหยดสุดท้ายและหน้าหนังสือสีทองที่เพิ่งได้มาใหม่ไปหมาดๆ ทำให้ขาดแคลนไม้ตายสำหรับช่วงเวลาคับขัน ถ้าเขาหลอมศพนี้ให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้ ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย

“มันเป็นของล้ำค่าจริงๆ ผมจะนำมันไปด้วยนะ” เห็นหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินไม่คิดจะถือกรรมสิทธิ์ในศพของนักปราชญ์โบราณตัวนั้น จางเซวียนจึงโบกมือเพื่อจะนำศพเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติ

แต่เขาก็ต้องตะลึงเมื่อพบว่ามันหนักอึ้งราวกับกำลังเคลื่อนย้ายภูเขา ขนาดจางเซวียนใช้พลังจิตวิญญาณจนเกือบหมด ศพของนักปราชญ์โบราณตัวนั้นยังก็ไม่ขยับ

“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสับสน

ถึงอย่างไร ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เทียบเท่ากับนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว แถมยังผนวกเข้ากับความเข้าใจเรื่องมิติด้วย ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่เขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้แม้เพียงศพร่างเดียวเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติของเขา

“งั้นก็ต้องใช้กำลัง!” จางเซวียนคิดขณะใช้พลังปราณห่อหุ้มศพนั้นไว้แล้วออกแรงดึง “อ้าว ฮะ-เฮ้ย…”

ขนาดใช้พละกำลังเต็มพิกัด ศพก็ไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว!

พละกำลังที่เขาได้จากการเรียกใช้งานหยดเลือดของปรมาจารย์ขงยังไม่หมดฤทธิ์ นั่นหมายความว่าพละกำลังที่จางเซวียนมีอยู่ตอนนี้เหนือชั้นกว่านักรบที่มีวรยุทธขั้นต่ำกว่านักปราชญ์โบราณทุกคน!

“เมื่อสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติแล้ว กายเนื้อของนักรบจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกมาก ทำให้ผู้นั้นสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงต่อหน้าศัตรูที่เขาเผชิญ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้านักรบผู้นั้นฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ระดับนักปราชญ์โบราณได้ ร่างของเขาก็จะได้รับการบ่มเพาะให้หนักแน่นและแข็งแกร่งทนทานมากขึ้นอีก เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณที่จะทำให้เกิดบาดแผลบนศพของนักปราชญ์โบราณ นับประสาอะไรกับจะสังหารนักปราชญ์โบราณที่ยังมีชีวิต ก็เพราะเหตุนี้ นักปราชญ์โบราณจึงเป็นที่ขึ้นชื่อว่ารับมือด้วยได้ยากมาก” เห็นสีหน้าของจางเซวียน หลัวลั่วชิงได้แต่หัวเราะเบาๆ

“นั่นหมายความว่าผมไม่มีทางเก็บศพของนักปราชญ์โบราณตัวนี้เข้าแหวนเก็บสมบัติได้อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนถามด้วยสีหน้าคับข้องใจ

เขายังคงตั้งใจจะหลอมศพนี้ให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณเพื่อใช้เป็นไม้ตายของตัวเอง แต่ถ้าเขาทำไม่ได้แม้แต่จะยกร่างของมัน แล้วจะควบคุมมันได้อย่างไร?

“ในสถานการณ์ปกติ คุณไม่มีทางยกมันได้จริงๆ แต่หอกสวรรค์กระดูกมังกรที่คุณมีน่ะเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ ถึงพละกำลังของมันจะถูกสกัดกั้นไว้ แต่ก็น่าจะสามารถเคลื่อนย้ายศพเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติของคุณได้” หลัวลั่วชิงพูด

“นั่นสิ!” จางเซวียนตบหน้าผากเมื่อนึกได้

เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?

ตอนนี้พละกำลังของเขาอาจไม่มากพอ แต่หอกสวรรค์กระดูกมังกรนั้นเคยเป็นอาวุธของนักปราชญ์โบราณหรันชิวซึ่งแข็งแกร่งที่สุด

แม้แต่หยดน้ำที่มันสะบัดออกมายังมีพละกำลังมากพอจะสังหารนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดได้ สำหรับพละกำลังของตัวมันเอง ก็คงจะมากกว่าตัวเขาในตอนนี้หลายเท่า

ดังนั้น จางเซวียนจึงแตะหอกที่ถืออยู่ แล้วหอกนั้นก็กลายร่างเป็นมังกรตัวมหึมา

ฟึ่บ!

มันยกร่างของนักปราชญ์โบราณตัวนั้นให้ลอยขึ้นจากพื้นได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ย้ายเข้าไปเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติของจางเซวียน

“ทำได้จริงๆด้วย!” เห็นหอกสวรรค์กระดูกมังกรทำสำเร็จ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่

เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้น เขาก็หันกลับไปมองฉีเจินกับคนอื่นๆ

ไม่น่าเชื่อเลยว่าเหล่าผู้หยั่งรู้จะรวมหัวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ให้อภัยไม่ได้!

เปรี้ยงงงง!

เพียงแค่ชั่ววูบของความคิด สายฟ้ามากมายนับไม่ถ้วนก็ฟาดลงมาจากสวรรค์ ฟาดเข้าใส่ฉีเจินกับคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนร้องขอชีวิตดังระงมขณะที่สายฟ้าลงทัณฑ์ร่างของพวกเขาอย่างเกรี้ยวกราด

ด้วยการโบกมือเบาๆของจางเซวียน เพดานรูปกระดองเต่าก็แยกออกจากกันจากแรงปะทะของสายฟ้าเบื้องบน ทำให้เหล่าผู้หยั่งรู้ในสมาคมเป็นเป้านิ่งให้กับการลงทัณฑ์จากสวรรค์

บรรดาผู้หยั่งรู้คือผู้ขโมยความลับของสวรรค์ การมีอยู่ของคนเหล่านี้จึงไม่ได้การยอมรับจากโลก แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังอาจหาญที่จะรวมหัวกันกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเพื่อนำความพินาศมาสู่เผ่าพันธุ์ของตัวเอง…ช่างรนหาที่ตายจริงๆ!

ขณะที่สายฟ้ากำลังกวาดล้างสมาคมผู้หยั่งรู้ จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่าความคิดของเขาแจ่มใสและปลอดโปร่งขึ้นอย่างชัดเจน ยากที่จะอธิบายความรู้สึกนั้น แต่เขารู้ได้เลยว่าหอสมุดเทียบฟ้ากำลังแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย

จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็นำตราหยกสื่อสารออกมาและสั่งการปรมาจารย์จานให้พาเหล่าผู้อาวุโสของปูชนียสถานนักปราชญ์มาที่นี่

ไม่ช้า ปรมาจารย์จานกับปรมาจารย์เก่อและพรรคพวกก็มาถึง

“ผมจะส่งมอบผู้หยั่งรู้กลุ่มนี้ให้คุณ พวกเขามีความผิดที่รวมหัวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกลุ่มที่ขโมยรูปปั้นของนักปราชญ์ขุยไป ผมต้องการให้พวกคุณสอบสวนและเค้นให้คนพวกนี้คายเจตนาที่แท้จริงออกมาให้ได้!” จางเซวียนสั่งการอย่างเฉียบขาด

“ขอรับ ท่านหัวหน้าปูชนียสถาน”

ถึงปรมาจารย์จานกับคนอื่นๆจะยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็รีบพยักหน้ารับคำสั่งของจางเซวียน

“ไปกันเถอะ!” จางเซวียนหันไปพูดกับหลัวลั่วชิง

ถึงเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการจับตัวกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุย แต่อย่างน้อยก็ได้เปิดโปงการทรยศของสมาคมผู้หยั่งรู้ ถ้ารู้เป้าหมายที่แท้จริงของคนเหล่านี้ พวกเขาก็จะคาดเดาได้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีแผนการจะทำอะไรต่อไป ซึ่งปูชนียสถานนักปราชญ์ก็มีศักยภาพพอที่จะรับมือกับเรื่องนี้ การมอบหมายให้ปรมาจารย์จานจัดการจึงถือว่าเหมาะสม

เรื่องด่วนในตอนนี้สำหรับจางเซวียนก็คือการกลับสู่ตระกูลจางและคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างตระกูลจางกับตระกูลหลัว ไม่อย่างนั้น รอยร้าวในความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลจะปิดกั้นไม่ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือกันแก้ไขวิกฤตที่กำลังจะเกิดได้

ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธถึงขั้นนักปราชญ์โบราณเริ่มเปิดการโจมตีแล้ว เขาก็ไม่มองโลกในแง่ดีจนถึงขนาดจะคิดว่าตระกูลจางจะสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติการณ์ครั้งนี้ได้โดยลำพัง

ฟึ่บ!

เมื่อออกจากสมาคมผู้หยั่งรู้ ทั้งสามก็เดินทางผ่านเส้นทางของมิติที่หวู่เฉินเปิดทางให้ ใช้เวลาไม่นานก็กลับถึงตระกูลจาง

“เซวียนเอ๋อ ลูกกลับมาแล้ว!”

เมื่อเห็นจางเซวียน เซียนดาบชิงกับคนอื่นๆรีบเข้ามาต้อนรับ

“คุณคงเป็นหลัวลั่วชิง! ฉันคือท่านแม่ของจางเซวียน คุณจำฉันได้ไหม? เราเคยพบกันครั้งหนึ่งที่ตระกูลหลัว แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้พูดอะไรกับคุณมากนัก เราเดินไปด้วยกันเถอะ!” เห็นสาวน้อยที่ลูกชายของเธอพามาด้วย เซียนดาบเหมิงตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น ราวกับจะมีประกายไฟปะทุออกจากดวงตาของเธอ

หลัวลั่วชิงไม่คุ้นเคยกับการได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ใบหน้าของเธอจึงแดงก่ำ เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะแสดงทีท่าอย่างไร เธอจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากจางเซวียน

เห็นหลัวลั่วชิงทำอะไรไม่ถูก จางเซวียนเบือนหน้า แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับความคับข้องใจของเธอ

“เขาคือ…” เซียนดาบชิงมองหวู่เฉินและตั้งคำถาม

เขาได้เห็นกับตาว่าเด็กชายวัยรุ่นคนนี้ทรงพลังขนาดไหนเมื่อตอนอยู่ที่ตระกูลหลัว ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ยิ่งกว่ายินดีที่จะได้ทำความคุ้นเคยและรู้จักกับผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับอีกฝ่าย

“เขาชื่อหวู่เฉิน เป็นบริวารของลั่วชิง” จางเซวียนแนะนำ

ยังไม่ทันที่เซียนดาบชิงจะได้พูดอะไร เสียงห้วนๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “บริวาร? เป็นคนรับใช้หรือ? เข้าใจแล้ว! หลังจากที่นายท่านของเราแต่งงานกับนายหญิงของคุณ คุณก็จะต้องอยู่ใต้อำนาจสั่งการของผมนะ! มาทำความรู้จักกันเถอะ”

ซุนฉางเดินพรวดพราดมาจากที่ไหนสักแห่ง เขาแตะบ่าของหวู่เฉินพร้อมกับยิ้มอย่างย่ามใจ

หลังจากเหตุการณ์ที่สมาพันธ์นานาจักรวรรดิ ซุนฉางก็ถูกบังคับให้เข้ารับการฝึกฝนวรยุทธภายใต้การดูแลของเจิ้งหยางที่สภายอดขุนพล แต่เมื่อจ้าวหย่ากับคนอื่นๆถูกลักพาตัวไป จางเซวียนเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกศิษย์คนอื่นๆของเขา จึงให้เจิ้งหยาง หวังหยิ่ง กับคนอื่นๆย้ายมาพำนักที่ตระกูลจาง

ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ซุนฉางจะต้องย้ายนิวาสถานมาที่ตระกูลจางด้วย

เมื่อรู้ว่านายน้อยที่เขารับใช้อยู่เป็นทั้งหัวหน้าตระกูลจางและหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ ความมั่นใจของซุนฉางก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว หลายคนเห็นเขาเดินอาดๆไปมาทั่วทั้งตระกูลจาง ราวกับเป็นเจ้าของสถานที่นี้เสียเอง

นี่เป็นกิริยาท่าทางที่เขารู้สึกว่าในฐานะพ่อบ้านของหัวหน้าตระกูลนักปราชญ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์, เขาควรจะแสดงออกแบบนั้น

“ผมจะต้องอยู่ใต้อำนาจการสั่งการของคุณ?” หวู่เฉินแทบลมจับเมื่อได้ยินคำนั้น

“ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยปลื้มนะ ไม่เต็มใจจะทำตามคำสั่งของผมหรือ? ให้ผมบอกอะไรคุณสักหน่อยก็แล้วกัน ผมเป็นพ่อบ้านเพียงคนเดียวของนายน้อย ต่อให้ผมสั่งสอนบทเรียนให้คุณ ก็ไม่มีใครกล้าออกรับแทนคุณหรอก!” เมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่เต็มใจของหวู่เฉิน ซุนฉางตบหัวเด็กชายและคำราม

คุณก็เป็นแค่คนใช้*!กล้าดีอย่างไรปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของผม?ลองขมวดคิ้วอีกทีสิแล้วผมจะซ้อมคุณให้คุณลืมไปเลยว่าที่นี่ใครใหญ่**!*

นึกไม่ถึงว่าพ่อบ้านของลูกชายของพวกเขาจะปากกล้าและไว้ใจไม่ได้ขนาดนี้ เซียนดาบชิงเหมิงแทบเข่าอ่อน

เด็กชายวัยรุ่นคนนี้บุกเข้าไปที่ตระกูลหลัวและยืนจังก้าอย่างอาจหาญต่อหน้าการผนึกกำลังของเหล่าผู้อาวุโส แต่เจ้าอ้วนที่เพิ่งสำเร็จวรยุทธระดับเซียนกล้าตบศีรษะของเขา…อยากตายเป็นผีหรือไง?

“….”

จางเซวียนได้แต่กุมขมับด้วยความอับอาย ถ้ามีหลุมมีรูอยู่แถวๆนั้น เขาคงจะกระโจนลงไปเสียแล้ว

เพิ่งไม่นานมานี้เองที่ซุนฉางพบกับความบอบช้ำครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา แล้วมันเรื่องอะไร ที่ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน หมอนั่นก็กลับมาผงาดและอหังการได้ขนาดนี้?