หนานกงหยวนเฟิงมาถึงตระกูลจาง

ความโอหังของซุนฉางคงอยู่ไม่นานนัก

ในชั่วพริบตา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นสู่กลางอากาศทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร เขาลอยห่างออกไปอย่างช้าๆก่อนจะหายลับตาไป

เห็นหวู่เฉินเพียงแค่ทำให้ซุนฉางลอยหายไป จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่

มันเป็นเรื่องน่าปวดหัวอย่างมากสำหรับเขากับการที่ซุนฉางพยายามจะอวดโอ้สถานภาพของตัวเองทุกครั้งที่มีโอกาส พูดตามตรง เขาอยากจะเทศนาหมอนั่นเรื่องความถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสียเหลือเกิน!

น่าสงสัยมากว่าทำไมคนถ่อมเนื้อถ่อมตัวอย่างเขาถึงมาลงเอยกับพ่อบ้านที่คุยโวโอ้อวดขนาดนี้

เฮ่อออ! อันที่จริง…ในครั้งนั้นเขาก็ควรจะตัดสินใจอย่างระมัดระวังกว่านี้หน่อย

ถ้าต่อไปเขามีโอกาสได้เลือกพ่อบ้านอีกสักคน ก็จะต้องหาคนที่ไว้วางใจได้ อย่างน้อยที่สุดพ่อบ้านของเขาก็ควรจะเหมือนหวู่เฉินที่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง หรือต่อให้เขาหาคนที่มีความสามารถระดับหวู่เฉินไม่ได้ อย่างน้อยพ่อบ้านของเขาก็จะไม่ทำให้เขาอับอายขายหน้าและสร้างปัญหาให้ตลอดเวลาแบบนี้…

ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าซุนฉางติดตามเขามาตั้งแต่ยังอยู่ที่อาณาจักรเทียนเซวียน จางเซวียนจะไม่มีทางทนกับเรื่องแบบนี้เด็ดขาด!

…..

“ท่านหัวหน้า ตระกูลหลัวเพิ่งสถาปนาหัวหน้าตระกูลคนใหม่ ชื่อหลัวเทียนหยา ร่ำลือกันว่าเขาสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว พวกเราเชื่อว่าเหตุผลที่พวกตระกูลหลัวมาเยือนครั้งนี้ก็เพื่อจะให้หลัวเทียนหยาท้าดวลกับคุณ และเรียกศักดิ์ศรีคืนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานหมั้น อันที่จริง…เราได้ยินว่าพวกเขาถึงกับเชื้อเชิญสภาปรมาจารย์มาเป็นคนกลางในการดวลด้วย เพื่อให้แน่ใจเรื่องความชอบธรรม…”

ขณะที่ทุกคนเพิ่งทรุดตัวลงนั่งในห้องโถงใหญ่ ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนและประสานมือพร้อมกับรายงาน

จางเซวียนนวดหว่างคิ้วอย่างเคร่งเครียดเมื่อได้ฟังรายงานขณะตอบว่า “ผมรู้เรื่องแล้ว เหตุผลที่ผมกลับมาก็เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้แหละ!”

“แก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเป็นมรดกตกทอดสูงสุดของตระกูลหลัว ผู้ที่สำเร็จวิชานี้จะสามารถสกัดกั้นมิติได้ ทำให้คู่ต่อสู้อับจนหนทาง แม้แต่พวกเราก็ยังลำบากหากจะต้องรับมือกับอะไรแบบนั้น…เซวียนเอ๋อ ลูกต้องระวังนะ” เซียนดาบชิงแนะด้วยความเป็นห่วง

ตระกูลจางกับตระกูลหลัวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาจึงรู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ของตระกูลหลัวเป็นอย่างดี หากนักรบสักคนสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว ไม่ช้าไม่นานผู้นั้นก็จะขึ้นเป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์

ลูกชายของเขาอาจมีพละกำลังไร้เทียมทานในบรรดานักรบระดับเดียวกัน แต่ก็ยังยากที่เขาจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่สำเร็จความเข้าใจระดับนั้น

“ตระกูลหลัวถูกหยามเกียรติอย่างมากจากการยกเลิกงานหมั้น ในเมื่อพวกนั้นกล้าท้าทายเราอย่างเปิดเผย ก็แปลว่าพวกเขามั่นใจว่าตัวเองจะได้รับชัยชนะ! ตระกูลจางของเราไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับหลัวเทียนหยา แต่เราเพิ่งได้ข่าวว่าเขาเอาชนะได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์” ผู้อาวุโสคนที่เพิ่งรายงานก่อนหน้านี้กล่าวเสริมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เขาเอาชนะได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์? ในที่สุดคนพวกนั้นก็เปิดเผยตัวเองแล้วหรือ?” เซียนดาบเหมิงตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ใช่ ดูเหมือน 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะท้าทายตระกูลหลัวเข้าสู่การดวลโดยมีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเป็นเดิมพัน ขณะที่ตระกูลหลัวกำลังเพลี่ยงพล้ำ ก็พอดีกับที่หลัวเทียนหยาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันและเอาชนะพวกนั้นได้ จากนั้นพวกเขาก็ทดสอบสายเลือดตระกูลหลัวของหลัวเทียนหยา และพบว่ามันมีความบริสุทธิ์ถึงระดับ ‘9’ ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้อาวุโสจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ยกหลัวเทียนหยาให้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลหลัว และจากนั้นก็รีบจัดพิธีสถาปนา” ผู้อาวุโสอธิบาย

ด้วยความสัมพันธ์อันแนบแน่นในอดีต ทั้งสองตระกูลจึงรู้ความเป็นไปของกันและกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหลัวก็ไม่ได้พยายามปิดข่าว ดังนั้น ผู้อาวุโสของตระกูลจางที่ทำหน้าที่สืบข่าวจึงใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมข้อมูล

“เพราะได้รับมรดกตกทอดจากปรมาจารย์ขง พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จึงมีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่ไร้เทียมทานในบรรดานักรบระดับเดียวกัน แม้แต่ยอดขุนพลก็ยังเอาชนะพวกเขาได้ยาก การที่หลัวเทียนหยาเอาชนะพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย ก็แปลว่าเราไม่อาจสบประมาทประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาได้…” เซียนดาบเหมิงขมวดด้วยความกังวล

“เรื่องนั้นน่ะ…” จางเซวียนเกาหัวอย่างลำบากใจ “ถ้าผมจะบอกว่าผมคือหลัวเทียนหยา พวกคุณจะเชื่อผมไหม?”

“เลิกพูดจาเหลวไหลน่ะ หมอนั่นมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดในตระกูลหลัว ลูกจะเป็นเขาได้อย่างไร?” เซียนดาบเหมิงส่ายหน้า

ลูกชายของเธอมีสายเลือดของเธอ นั่นเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ตรวจสอบชัดเจนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จางเซวียนจะมีสายเลือดตระกูลหลัว อีกอย่าง หลัวเทียนหยาคือคนที่ได้รับการทดสอบความบริสุทธิ์ของสายเลือดตระกูลหลัว ซึ่งได้ผลออกมาว่าอยู่ในระดับ ‘9’ จึงไม่มีทางที่ทั้งสองจะเป็นคนคนเดียวกันได้!

“คือ…” จางเซวียนพูดไม่ออก

เขาบอกความจริงแล้วนะ ทำไมไม่มีใครเชื่อเขาเลย?

จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญาและกำลังจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด ก็พอดีกับที่มีลมหอบใหญ่พัดหวีดหวิวอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา

จากนั้น เสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งตระกูลจาง “หนานกงหยวนเฟิงและถานไท่เจินชิงแห่งสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่จาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาเยือนตระกูลจางพร้อมกับศิษย์น้องอีกจำนวนหนึ่ง พวกเราอยากขอพบหัวหน้าตระกูลจาง!”

“พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่? หายดีจากอาการบอบช้ำแล้วหรือ?” จางเซวียนชะงักเมื่อได้ยินคำประกาศ

เขารีบเดินออกจากห้องโถงใหญ่ มีคนอื่นๆตามไปติดๆ

หนานกงหยวนเฟิงลอยตัวอยู่กลางอากาศ ข้างตัวเขาคือชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนล่ำที่มีใบหน้าค่อนข้างจะผิดรูป ส่วนด้านหลังทั้งคู่คือชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวน 8 คน ดูเหมือนจะเป็นลูกศิษย์ของหนานกงหยวนเฟิงและชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนล่ำคนนั้น

“ถานไท่เจินชิง? เขาเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่นี่?” จางเซวียนคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว

นักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ใช้แซ่ที่ได้รับการต่อเติมภายหลังว่าถานไท่ เพราะใบหน้าที่ออกจะผิดรูปของเขา ทำให้ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยตัดสินเขาด้วยรูปลักษณ์ภายนอกและลงเอยด้วยการเข้าใจเขาผิด ทำให้เกิดคำพูดที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป “ตัดสินคนจากภายนอก ก็จะเข้าใจจื้อหยู่ผิด”

จางเซวียนจับตามองคนกลุ่มนี้อย่างถี่ถ้วนด้วยความสงสัย และพบว่าผิวพรรณของหนานกงหยวนเฟิงยังคงซีดเผือดอยู่เล็กน้อย ส่วนศิษย์สายตรงทั้ง 4 ของเขากับคนอื่นๆก็ยังดูไม่แข็งแรงสมบูรณ์นัก เห็นชัดว่าพวกเขายังไม่ฟื้นตัวจากอาการบอบช้ำ

“ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ถึงเราจะสอยพวกนั้นกระเด็นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่อาการบาดเจ็บก็ไม่น่าจะรุนแรงขนาดนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” จางเซวียนสงสัย

 

ถึงเขาจะใช้พละกำลังเต็มพิกัดในการดวลกับหนานกงหยวนเฟิง แต่ก็ไม่ได้เรียกใช้พลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง ดังนั้นความบอบช้ำที่เขาทำให้อีกฝ่ายได้รับนั้นจึงยังมีขีดจำกัด ถึงหนานกงหยวนเฟิงจะปวกเปียกไปบ้างระหว่างการดวลครั้งนั้นเพราะต้องลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 แต่ก็น่าจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่ปลดปล่อยการสกัดกั้นวรยุทธแล้ว

ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมหนานกงหยวนเฟิงถึงยังดูบอบช้ำหนักอยู่?

“ผมคือหัวหน้าตระกูลจาง, จางเซวียน พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ต้อนรับตัวแทนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ เข้ามาคุยกันด้านในเถอะ” รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่เขาจะมัวจังงัง จางเซวียนประสานมือและกล่าวต้อนรับอีกฝ่าย

“ได้เลย!”

เมื่อเห็นว่ามารยาทของจางเซวียนนั้นไร้ที่ติ หนานกงหยวนเฟิงกับคนอื่นๆก็ไม่อาจตำหนิอะไรได้ พวกเขารีบร่อนลงมาจากกลางอากาศ

“เชิญทางนี้” จางเซวียนยิ้มให้ขณะนำทางเข้าสู่ห้องโถงใหญ่

หลังจากได้ที่นั่งตามลำดับขั้นแล้ว หนานกงหยวนเฟิงก็เข้าเรื่องทันที “พวกเรามีเวลาไม่มาก เพราะฉะนั้นจะตรงเข้าประเด็นเลยนะ วิหารแห่งขงจื๊อกำลังจะเปิดเร็วๆนี้ และ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของเราก็หวังว่าจะได้เข้าไปข้างในเพื่อคารวะบรรพบุรุษ พวกเรารู้มาว่าตระกูลจางมีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งเราก็หวังว่าพวกคุณจะมีน้ำใจพอที่จะมอบมันให้เรา วางใจเถอะว่าเราจะไม่เอาเปรียบคุณ เราจะมอบของล้ำค่าที่มีมูลค่าทัดเทียมกับเครื่องรางให้!”

“คุณอยากได้เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานหรือ? เรื่องนั้นคงลำบากหน่อยนะ เพราะตระกูลจางของเราตั้งใจจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อเหมือนกัน เพระฉะนั้น ผมเกรงว่าพวกเราคงไม่อาจตอบรับคำขอของคุณได้!” เซียนดาบชิงตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาที่นี่ก็เพราะเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน!

วิหารแห่งขงจื๊อคือสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงเก็บรักษาทรัพย์สมบัติและมรดกตกทอดที่มีค่าที่สุดของเขาไว้ การพลาดโอกาสที่จะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อก็เท่ากับต้องร่วงลงจากอันดับสูงสุดของตระกูลนักปราชญ์ ยิ่งไปกว่านั้น กว่าตระกูลจางจะได้ครอบครองเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วจะให้พวกเขามอบมันให้คนอื่นอย่างง่ายดายแบบนี้หรือ?

ถึงอีกฝ่ายจะมาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะมาต่อรองกันได้!

ราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะได้การตอบรับอย่างที่เห็น หนานกงหยวนเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้น ผมคิดว่าพวกเราก็คงจะต้องแข่งขันกันแล้วล่ะ ปรมาจารย์ขงสนับสนุนให้เหล่าลูกศิษย์ของเขาแข่งขันกันอยู่เสมอเพื่อจะได้พัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้า ในเมื่อเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเป็นของขวัญที่จะมอบให้กับคนรุ่นหลัง ปรมาจารย์ขงก็คงหวังว่ามันจะตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด มีแต่ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้นที่จะคู่ควรกับการได้รับทรัพย์สมบัติและมรดกตกทอดของเขา!”

“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราก็จะขอท้าทายตระกูลจางอย่างเป็นทางการ หากทายาทตระกูลจางคนไหนที่มีอายุต่ำกว่า 100 ปีสามารถเอาชนะบรรดาลูกศิษย์ของเราในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของเวลาได้…100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของพวกเราก็ขอให้สัญญาว่าจะไม่หยิบยกเรื่องเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานขึ้นมาพูดกับตระกูลจางอีก และพวกเราจะให้เหล่านักปราชญ์โบราณกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการกับตระกูลจางด้วย แต่ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีทายาทตระกูลจางคนไหนสามารถเอาชนะเหล่าลูกศิษย์ของเราในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของเวลา ผมก็คงต้องขอให้คุณส่งมอบเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานมาให้พวกเราดูแล!”

“ลูกศิษย์ของคุณจะท้าทายตระกูลจางของเราเรื่องความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของเวลาหรือ?”

จางเซวียนมองหนานกงหยวนเฟิงและขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่ เป็นลูกศิษย์ของพี่ถานไท่ที่จะเข้าท้าทายทายาทตระกูลจาง!” หนานกงหยวนเฟิงตอบยิ้มๆ