ถานไท่เจินชิง
“ผมคือถานไท่เจินชิง ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้พบหัวหน้าตระกูลจาง!”
ชายวัยกลางคนใบหน้าผิดรูปที่นั่งอยู่ข้างหนานกงหยวนเฟิงลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับอย่างงาม กิริยามารยาทของเขาจัดว่าไร้ที่ติ แม้การมาเยือนของเขาจะมีเจตนาเพื่อสร้างความขัดแย้ง แต่ ความสุภาพเรียบร้อยของอีกฝ่ายก็ทำให้ยากที่ใครจะไม่ชอบเขา
เพราะฉะนั้น**นี่ก็คือนักปราชญ์ตัวจริง…จางเซวียนตั้งข้อสังเกตในใจ
เขาได้พบทั้งปรมาจารย์และผู้เชี่ยวชาญมากมายตลอดการเดินทาง ซึ่งก็มีบางส่วนที่แสดงออกได้อย่างเหมาะสมและสง่างาม แต่ไม่มีใครเทียบได้กับชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า
เพียงแค่เห็น ก็บอกได้ทันทีว่าเขาคือสาวกปรมาจารย์ขงตัวจริง
“ผู้อาวุโสถานไท่ คุณเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว…” จางเซวียนลุกขึ้นยืนเพื่อทักทายตอบ
“ผมเชื่อว่าน้องหยวนเฟิงคงพูดชัดเจนแล้วถึงเหตุผลแห่งการมาเยือนของพวกเรา มรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงเป็นสิ่งที่พวกเราหวงแหน เราจึงไม่อาจล้มเลิกความคิดนี้ได้ง่ายๆ กลุ่มชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังผมคือศิษย์สายตรงของผมเอง พวกเขาเล่าเรียนกับผมมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราต้องร้าวฉาน ผมขอเสนอให้จัดการดวลเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลา กับตระกูลอันทรงเกียรติของคุณ โดยผู้ที่เข้าดวลจะเป็นทายาทรุ่นหลังของตระกูลจาง และไม่ว่าผลการดวลจะออกมาอย่างไร พวกเราก็เต็มใจจะมอบหินหมึกก้อนนี้ซึ่งครั้งหนึ่งบรรพบุรุษของผมเคยใช้ให้กับตระกูลจาง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการกล่าวคำขอโทษ”
ขณะที่พูดคำนั้น ถานไท่เจินชิงก็สะบัดข้อมือ แล้วหินหมึกสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“นั่นคือทรัพย์สมบัติของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ใช่ไหม?”
เซียนดาบชิงกับคนอื่นๆต่างอัศจรรย์ใจกับของกำนัลนั้น
หินหมึกก้อนนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่แผ่รังสีอันหนักหน่วงทรงพลังราวกับจะสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ ดูเหมือนว่าต่อให้คลื่นรบกวนของมิติและเวลาก็ถูกปราบได้หากหินก้อนนี้ปรากฏ
นี่คือ*…ของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณตัวจริง!* จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ
ดาบที่หนานกงหยวนเฟิงเสนอให้ตระกูลหลัวนั้นเป็นแค่ของล้ำค่าที่ครั้งหนึ่งนักปราชญ์โบราณจื่อร่งเคยใช้ ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณตัวจริง จะบอกว่ามันไม่มีค่าก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ใครๆพากันตาลุก แต่สำหรับหินหมึกที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้เป็นของล้ำค่าที่นักปราชญ์โบราณจื้อหยู่คนนั้นเคยใช้ในช่วงเวลาที่เขามีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุด!
แต่ถึงอย่างไรก็ยังเทียบชั้นกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรของเราไม่ได้อยู่ดี*…*
นอกจากนักปราชญ์โบราณหรันชิวจะแข็งแกร่งกว่านักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ ข้อเท็จจริงที่ว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรเป็นของล้ำค่าที่ใช้เพื่อการสู้รบ ขณะที่หินหมึกเป็นเครื่องมือสำหรับการจารึกอักษร ก็บ่งบอกชัดแล้วว่าวัตถุประสงค์เบื้องต้นของทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันมาก
แต่ถึงอย่างนั้น หากพวกเขาได้หินหมึกก้อนนี้มา ก็จะถือเป็นทรัพย์สมบัติชิ้นใหญ่ที่นำพาโชคลาภมาสู่ตระกูลจาง!
จางเซวียนพูดกับถานไท่เจินชิง “ในเมื่อคุณแสดงความจริงใจออกมาชัดเจนขนาดนี้ ผมก็คิดว่าคงจะเป็นการหยาบคายหากปฏิเสธการดวล”
“ผมขอให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ด้วย” ถานไท่เจินชิงตอบพร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ
“วิหารแห่งขงจื๊อเป็นสถานที่ที่ปรมาจารย์ทุกคนในรุ่นของพวกเราหวังจะได้ไปเยือน ภายใต้กิริยามารยาทอันงดงามและความสุภาพที่แสดงออกมา แต่การแข่งขันก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดก็ย่อมจะได้สิทธินั้นไป!”จางเซวียนโบกมือพร้อมกับส่งยิ้มให้ขณะลุกขึ้นยืน “ไม่ทราบว่าคุณตั้งใจจะใช้การดวลรูปแบบไหน?”
วัตถุประสงค์ในการมาเยือนของอีกฝ่ายก็คือเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน และเห็นชัดว่าพวกเขาไม่คิดจะถอย ในเมื่อเป็นแบบนั้น จะมัวใช้คารมอ้อมค้อมกันไปมาก็ไม่มีประโยชน์ จัดการให้เสร็จสิ้นไปเสียเลยย่อมดีกว่า
“ในเมื่อหัวหน้าจางตัดสินใจแล้ว ผมก็ขอเสนอรูปแบบของการดวลนะ” ถานไท่เจินชิงพยักหน้า “100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของเราแบ่งการดวลออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ชื่อว่าวิชาการและการต่อสู้ การดวลวิชาการจะทำให้ผู้ดวลทั้งสองฝ่ายยังสามารถรักษาสัมพันธไมตรีต่อกันได้ ในขณะที่การดวลการต่อสู้ ต่างฝ่ายจะต้องนำความสามารถของตัวเองออกมาเข้ารับการทดสอบ”
“แล้วการดวลวิชาการกับการดวลการต่อสู้ในวันนี้คืออะไร?”
“ผมมีกระจกเงาแห่งกาลเวลาอยู่บานหนึ่ง เมื่อมันสะท้อนจิตวิญญาณต้นกำเนิดของใครสักคน กระจกเงาก็จะอนุญาตให้สติสัมปชัญญะของผู้นั้นซึมซาบเข้าไปในกระจกได้ ด้านในกระจกมีค่ายกลที่เกี่ยวกับกาลเวลาและกับดักของกาลเวลาฝังอยู่ในนั้นมากมาย ซึ่งผู้เข้าท้าทายจะต้องผ่านไปให้ได้ นี่คือการดวลวิชาการ” ถานไท่เจินชิงพูดขณะที่กระจกเงาสีทองบานหนึ่งปรากฏตรงหน้า
กระจกเงาบานนี้ไม่เหมือนกระจกเงาทั่วไป ผิวหน้าของมันไม่เรียบ มีการหักมุมหลายตำแหน่งซึ่งสะท้อนกันและกัน ทำให้เกิดภาพที่น่าเวียนหัวเหมือนกับกล้องคาไลโดสโคปหรือกล้องภาพลวงตา
“ส่วนการดวลการต่อสู้ พวกเราจะลดระดับวรยุทธลงให้เท่ากับอีกฝ่ายและดวลกันโดยใช้กำลัง ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างยุติธรรม ผู้ที่มีพละกำลังเหนือกว่าก็จะได้ชัยชนะ!”
หลังจากอธิบายการดวลทั้งสองแบบแล้ว ถานไท่เจินชิงก็ทรุดตัวลงนั่งและเฝ้ามองฝูงชนที่อยู่รอบตัวเขาพร้อมกับยิ้ม รอคอยให้ตระกูลจางตัดสินใจ
“ทายาทตระกูลจางของเราไม่เคยเผชิญหน้ากับกระจกเงาแห่งกาลเวลามาก่อน พวกเขาจึงไม่รู้จักกลไกและค่ายกลที่อยู่ในนั้น หากเราเผชิญหน้ากับพวกเขาในการดวลวิชาการ ก็ย่อมเสียเปรียบ ส่วนการดวลการต่อสู้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ขึ้นชื่อในเรื่องเทคนิคการต่อสู้ที่เหนือชั้น ดังนั้น การที่พวกเราจะเอาชนะเขาได้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งเครียด
“ดูเหมือนพวกนั้นจะยื่นข้อเสนอที่ทำให้ตัวเองได้เปรียบนะ?”
“ก็แล้วจะทำอย่างไร ตระกูลจางของเราไม่ได้อ่อนแอก็จริง แต่รากฐานของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นั้นแข็งแกร่งมาก อีกอย่าง พวกเขายังแสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ เราก็จะต้องกระโจนเข้าสังเวียนไปกับพวกเขาอยู่ดี!”
“แล้วเราจะทำอย่างไร?”
เหล่าผู้อาวุโสในห้องนั้นต่างมีสีหน้าไม่สู้ดี
แม้ข้อเสนอในการดวลวิชาการจะดูเหมือนยุติธรรม แต่ความเหลื่อมล้ำของข้อมูลและความรู้ทำให้ตระกูลจางเสียเปรียบมาก ไม่มีทายาทตระกูลจางคนไหนรู้เงื่อนงำหรือแม้แต่เคยเผชิญหน้ากับกระจกเงาแห่งกาลเวลามาก่อน ขณะที่เหล่าศิษย์สายตรงของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ดูจะคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
ต่อให้ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของทั้งสองฝ่ายจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับกระจกเงาแห่งกาลเวลาก็ย่อมมีโอกาสที่จะขจัดอุปสรรคที่อยู่ในนั้นได้ดีและรวดเร็วกว่าผู้ที่ไม่คุ้นเคย
เรื่องนี้ก็เหมือนกับการแข่งวิ่งมาราธอนในถิ่นฐานบ้านเกิดของคนอื่น ต่อให้นักวิ่งทั้งสองมีทักษะทัดเทียมกัน แต่นักวิ่งเจ้าถิ่นที่คุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศและพื้นที่ก็ย่อมได้เปรียบ
เช่นเดียวกันกับการดวลการต่อสู้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้รับมรดกตกทอดโดยตรงจากปรมาจารย์ขงและเหล่าศิษย์สายตรงของเขา ดังนั้นเทคนิคการต่อสู้และศาสตร์ลับที่พวกเขามีอยู่ในมือก็ย่อมเหนือชั้นกว่าของตระกูลจาง
เป็นความจริงที่ว่าตระกูลจางได้รับพรจากสวรรค์ให้มีอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องมากมายตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ก็คงจะเป็นการคาดหวังสูงเกินไปหากคิดว่าจะเอาชนะปรมาจารย์ขงและบรรดาศิษย์สายตรงของเขาได้
พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าจะเป็นการดวลวิชาการหรือการดวลการต่อสู้ ทุกอย่างก็ไม่เข้าทางพวกเขาไปเสียทั้งนั้น
จางเซวียนไม่ใส่ใจความกังวลของฝูงชนที่อยู่รอบตัว เขาตอบอย่างสุขุม “การดวลวิชาการดูน่าสนใจสำหรับผม แต่ว่าก็น่าจะสิ้นเปลืองเวลามาก เราดวลการต่อสู้กันดีกว่า รีบจัดการให้มันเสร็จสิ้นไป!”
“ดวลการต่อสู้? ได้สิ!” ถานไท่เจินชิงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน เขายกมือขึ้น แล้วชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลัง “ชายหนุ่มคนนี้คือถานไท่เจี้ยนขุย เป็นศิษย์สายตรงของผมเอง ปีนี้อายุ 30 ปี ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของเขาจัดว่ายังไม่ลึกซึ้งนัก เพราะฉะนั้น ผมต้องขออภัยด้วยหากทักษะของเขาดูจะขาดความประณีตไปสักหน่อย”
ทันทีที่ถานไท่เจินชิงพูดจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินไปยังใจกลางห้องโถงใหญ่ และหยุดยืนอยู่ตรงนั้น รังสีไร้เทียมทานระเบิดออกจากร่างของเขา แผ่ความกดดันหนักหน่วงใส่ผู้ที่อยู่โดยรอบ
“วรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้น 1-การพักฟื้นภายใน!” เซียนดาบชิงหรี่ตา
สำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ตั้งแต่อายุเพียง 30 ปี นอกจากลูกชายของเขาแล้ว ไม่มีใครอื่นในตระกูลจางที่จะเทียบชั้นกับถานไท่เจี้ยนขุยคนนี้ได้เลย!
อันที่จริง แม้ตัวเซียนดาบชิงเองก็มีอายุเกินกว่านี้มากเมื่อตอนที่เขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1
“ถานไท่เจี้ยนขุย ได้โปรดกรุณาด้วย!” ชายหนุ่มประสานมือและโค้งคำนับ
“เซวียนเอ๋อ ถึงลูกจะมีวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของตระกูลจางอย่างเป็นระบบมาก่อน ถ้าลูกจนมุมล่ะก็ รีบใช้ศาสตร์ลับเลยนะ พ่อหมายถึงศาสตร์ลับที่ลูกใช้ยกระดับพละกำลังขึ้นไปจนถึงขั้นชั่วกัลปาวสานอย่างตอนที่ลูกสู้กับพ่อน่ะ…” เซียนดาบชิงส่งโทรจิตหาลูกชาย
ทายาทตระกูลจางที่มีอายุต่ำกว่า 100 ปีที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลจางก็ย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน
หากจางเซวียนใช้ศาสตร์ลับที่เขาเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง ก็น่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
“เอ่อ…เกรงว่าผมจะใช้ศาสตร์ลับนั้นไม่ได้แล้วล่ะ” จางเซวียนส่ายหน้า
เขาต้องมีหยดเลือดของปรมาจารย์ขงถึงจะเรียกใช้พลังนั้นได้ แต่เขาก็ใช้หยดเลือดทั้ง 3 หยดไปหมดแล้ว พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้เขาไม่เหลือไม้ตายอะไรอีก
“ลูกใช้ศาสตร์ลับนั้นไม่ได้แล้ว?” เซียนดาบชิงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้น…”
ต่อให้อีกฝ่ายลดระดับวรยุทธลงมา ความเหลื่อมล้ำในระดับวรยุทธที่แท้จริงก็ยังส่งผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพการต่อสู้อยู่ดี แม้ลูกชายของเขาจะมีความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่ง แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็คงจะหนักหน่วงไม่น้อย
“ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ใช่คนที่เข้าไปดวลหรอก!” จางเซวียนตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ
“ลูกจะไม่เข้าดวล?” ได้ยินคำนั้น เซียนดาบชิงถึงกับผงะ
คนอื่นๆก็รีบหันมามอง ถ้าคุณไม่ต่อสู้แล้วใครจะสู้?
“แน่นอนว่าไม่ใช่ผม! พวกคุณไม่คิดบ้างหรือว่าจะเป็นการเอาเปรียบแขกของเรามากไปถ้าผมออกโรงด้วยตัวเอง?” จางเซวียนยิ้ม “ผมคิดว่าเราควรมอบโอกาสนี้ให้กับคนรุ่นหลัง…ให้ลูกศิษย์ของผม, จางจิ่วเซี่ยว มาดวลแทนก็แล้วกัน!”