การเก็บความจำด้วยการรับรู้จิตวิญญาณ, ผลงานของหนังสือพันเล่ม
“คนรุ่นหลัง?”
ฝูงชนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำนั้น
จางจิ่วเซี่ยวอายุมากกว่าคุณไม่ใช่หรือ*?*
ชายหนุ่มอายุ 20 ปีคนหนึ่งเรียกผู้ที่แก่กว่าว่า ‘คนรุ่นหลัง’…เอาเถอะ ในแง่ของอาวุโส จางจิ่วเซี่ยวเป็นลูกศิษย์ของเขา การเรียกแบบนี้จึงไม่ถือว่าผิดอะไร เพียงแต่…
มันให้ความรู้สึกที่ประหลาดชอบกล!
อีกอย่าง…
“จางจิ่วเซี่ยวเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดเท่านั้น ถึงสายเลือดของเขาจะบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่เคยร่ำเรียนเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่เป็นแก่นสารของตระกูลจางมาก่อน พ่อเกรงว่า…” เซียนดาบชิงพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
เป็นเพราะการประลองที่จัดขึ้นในตระกูลจางที่ทำให้จางจิ่วเซี่ยวฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 ขั้นต้น และในระหว่างช่วงเวลานั้น ทางตระกูลจางก็ได้ทุ่มเททรัพยากรให้กับการบ่มเพาะเขา ด้วยเหตุนี้ ผ่านไปไม่นาน จางจิ่วเซี่ยวก็ยกระดับวรยุทธขึ้นเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดได้สำเร็จ
ด้วยระดับวรยุทธที่มี ถือได้ว่าเขาเป็นนักรบที่โดดเด่นที่สุดในบรรดานักรบรุ่นเดียวกันของตระกูลจาง แต่คู่ต่อสู้ที่เขาจะต้องเผชิญเป็นถึงอัจฉริยะจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์, ถานไท่เจี้ยนขุย!
แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงไปอีก เพราะจางจิ่วเซี่ยวมาจากครอบครัวสาขา จึงไม่เคยมีโอกาสได้เข้าถึงมรดกตกทอดที่เป็นแก่นสารของตระกูลจาง
ไม่ว่าจะมองอย่างไร จางจิ่วเซี่ยวก็ไม่น่าจะมีโอกาสมากนัก
เรื่องนี้มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเป็นเดิมพันแต่จางเซวียนกลับทำราวกับเป็นเรื่องไม่สำคัญทำแบบนี้จะดีหรือ*?*
จางเซวียนไม่ใส่ใจคำแนะนำที่ดังขึ้นรอบตัว เขาโบกมือและสั่งการ “ไม่มีปัญหาหรอกน่ะ เชิญตัวเขามา!”
“ขอรับ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งโค้งคำนับเพื่อรับคำสั่งขณะเดินออกจากห้องโถงใหญ่ ไม่ช้าก็กลับมา พร้อมกับชายหนุ่มที่ถูกพูดถึง
“ท่านอาจารย์!” จางจิ่วเซี่ยวรี่เข้าหาจางเซวียนและโค้งคำนับอย่างงาม
“อือ ผมเชื่อว่าผู้อาวุโสที่ 9 คงบอกกล่าวคุณถึงสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ผมอยากให้คุณเป็นตัวแทนของตระกูลจางในการดวลกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ และขอบอกให้คุณรู้ไว้ด้วยว่าผมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้!” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลัง
“ผมแพ้ไม่ได้?” จางจิ่วเซี่ยวขมวดคิ้ว “ท่านอาจารย์ ผมเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จเมื่อวานนี้เอง จึงยังขัดเกลาวรยุทธไม่ได้เต็มที่…”
เขารู้เรื่องราวจากผู้อาวุโสที่ 9 แล้วระหว่างทางที่เดินมา และรู้ดีว่าการดวลกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นั้นสำคัญขนาดไหน หากเขาแพ้ คงต้องกลายเป็นตัวกาลกิณีของตระกูลจางแน่!
“คุณยังขัดเกลาวรยุทธได้ไม่เต็มที่หรือ? เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย” จางเซวียนลุกขึ้นยืนและสั่งการจางจิ่วเซี่ยว “นั่งลง!”
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
จางจิ่วเซี่ยวไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ของเขากำลังจะทำอะไร แต่รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่สั่งการโดยปราศจากเหตุผล จึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นโดยไม่รีรอ
จางเซวียนเดินอ้อมไปด้านหลังจางจิ่วเซี่ยว เขายื่นมือออกมาและวางลงบนศีรษะของอีกฝ่าย
จางจิ่วเซี่ยวประหลาดใจเล็กน้อยกับการกระทำของจางเซวียน เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่ามีกระแสพลังงานอุ่นๆไหลเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมาจากฝ่ามือนั้น
กระแสพลังงานอุ่นนี้ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ขจัดสิ่งอุดตันและซ่อมแซมร่างกายบางส่วนที่บอบช้ำของเขาซึ่งเป็นผลมาจากการฝ่าด่านวรยุทธที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน
ในชั่วพริบตา วรยุทธของเขาก็กลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์แบบกับสมอง จิตวิญญาณ และกายเนื้อ ความคลาดเคลื่อนในการควบคุมวรยุทธหายวับไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้พลังปราณไหลเวียนได้อย่างราบรื่นตามใจปรารถนา จางจิ่วเซี่ยวรู้สึกราวกับตัวเองเป็นนักรบผู้ช่ำชองซึ่งสำเร็จวรยุทธขั้นนี้มาหลายปีแล้ว
“เอ่อ…”
หนานกงหยวนเฟิงกับถานไท่เจินชิงมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ทั้งคู่แทบไม่เชื่อสายตา
นี่ไม่ใช่การถ่ายทอดวรยุทธ จึงไม่ถือว่าผิดกฎ
สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังทำคือผสานวรยุทธของลูกศิษย์ของเขาให้กลมกลืนกันกับกายเนื้อและจิตวิญญาณโดยใช้ศาสตร์ลับบางอย่าง เป็นการกระทำที่บอกได้เลยว่าการพูดนั้นง่ายกว่าการทำมาก
เพราะนอกจากจะต้องมีพลังปราณที่บริสุทธิ์อย่างน่าทึ่งและสามารถควบคุมพลังงานของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขาต้องเข้าใจสภาวะร่างกายของลูกศิษย์อย่างถ่องแท้ด้วย
สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่มีผู้เชี่ยวชาญมากมาย แต่ไม่มีใครสักคนที่ทำแบบนี้ได้ อันที่จริง แม้แต่นักปราชญ์โบราณก็คงไม่กล้าอวดอ้างอย่างมั่นใจว่าพวกเขาจะทำมันได้สำเร็จ!
แต่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดคนหนึ่งทำสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย…
หัวหน้าตระกูลจางจะเก่งกาจไร้เทียมทานไปหน่อยไหม?
“เอาล่ะ ตอนนี้คุณคงขัดเกลาวรยุทธระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ส่วนเรื่องมรดกตกทอดของตระกูลจาง…” จางเซวียนย่นหน้าผากเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ครู่ต่อมา เขาก็เงยหน้ามองถานไท่เจินชิง จากนั้นก็ประสานมือและโค้งคำนับให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย “ผู้อาวุโสถานไท่ ลูกศิษย์ของผมเพิ่งกลับสู่ตระกูลจางได้ไม่นาน จึงเชี่ยวชาญในเทคนิควรยุทธของครอบครัวสาขาเท่านั้น ถ้าคุณให้เวลาผมสักระยะหนึ่ง ผมจะถ่ายทอดบางกระบวนท่าให้เขา ด้วยวิธีนี้ เขาจะพร้อมกว่าเดิมสำหรับการดวลกับลูกศิษย์ของคุณ”
“คุณจะถ่ายทอดบางกระบวนท่าให้กับลูกศิษย์ของคุณตอนนี้หรือ?”
ขนาดคนรักษากิริยาอย่างถานไท่เจินชิงก็ยังอดชะงักไม่ได้กับคำขอของจางเซวียน
กฎเกณฑ์แห่งเวลานั้นเป็นที่รู้กันว่าเป็นนามธรรมและยากที่จะทำความเข้าใจ ซึ่งก็จะยากขึ้นไปอีกหากเป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาซึ่งแตกแขนงมาจากกฎเกณฑ์ของเวลา แม้แต่ลูกศิษย์ของเขาก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีภายใต้คำชี้แนะของเขากว่าจะเข้าใจหลักการพื้นฐานของมัน แต่ชายหนุ่มบอกว่าจะตั้งต้นสอนลูกศิษย์ของเขาตอนนี้
เอาจริงๆสิ*?*
จางเซวียนคิดว่าถานไท่เจินชิงกำลังกังวลว่าเขาจะใช้เวลานานเกินไป จึงพูดเสริมพร้อมกับยิ้มให้ “ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ใช้เวลานานหรอก หนึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว”
“หนึ่งชั่วโมง…” ถานไท่เจินชิงยิ่งจังงังหนักกว่าเดิมหลังจากได้ยิน
หมอนั่นจะเรียนอะไรได้ภายในเวลาชั่วโมงเดียว?
อีกอย่าง คู่ต่อสู้ที่จะต้องเผชิญก็คือลูกศิษย์ของเขาซึ่งเป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายใน!
ไม่ใช่ถานไท่เจินชิงคนเดียวที่งงงันกับคำขอซึ่งดูเหลวไหล หนานกงหยวนเฟิงกับบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็มองหน้ากันอย่างงุนงง
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเข้ามาใกล้อีกนิด อยากเห็นว่าจางเซวียนจะถ่ายทอดศิลปะแห่งกาลเวลาให้กับลูกศิษย์ของเขาภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงได้อย่างไร แต่ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงร้อนรนของเซียนดาบชิง
“เซวียนเอ๋อ ลูกเพิ่งกลับตระกูลจางได้เพียง 2 วันนะ! ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของตระกูลเลย แล้วจะเอาอะไรถ่ายทอดให้จิ่วเซี่ยว?”
“….” หนานกงหยวนเฟิงกับถานไท่เจินชิงถึงกับเซ
ลงท้าย แม้ตัวชายหนุ่มเองก็ยังไม่ได้เชี่ยวชาญในศิลปะแห่งกาลเวลาเลยด้วยซ้ำ แต่กล้าประกาศว่าจะถ่ายทอดมันให้กับลูกศิษย์ของเขาภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง
เอาจริงๆสิคุณบอกพวกเราหน่อยได้ไหมว่าในสมองของคุณคิดอะไรอยู่?
หัวหน้าตระกูลจางปัญญาอ่อนขนาดนี้เลยหรือ*?*
“ไม่มีปัญหา ผมศึกษามันตอนนี้เลยก็ได้…ผู้อาวุโสที่ 8, คุณถือกุญแจหอสมุดของตระกูลจางนี่ ผมอยากให้คุณนำหนังสือเทคนิควรยุทธและหนังสือเทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดของตระกูลมาที่นี่ ตอนนี้เลยนะ” จางเซวียนสั่งการ
“ขอรับ ท่านหัวหน้า”
ผู้อาวุโสที่ 8 รีบออกไปจากห้องโถงใหญ่ ครู่ต่อมาเขาก็กลับมาอีกครั้ง ด้วยการสะบัดข้อมือ หนังสือจำนวนมากที่อัดแน่นอยู่บนชั้นหนังสือก็ปรากฏต่อหน้าฝูงชน มันมีจำนวนมากมายมหาศาล รวมแล้วก็หลายแสนเล่ม
เหตุผลที่ตระกูลจางสามารถบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญติดต่อกันได้หลายชั่วคนและรักษาตำแหน่งของตัวเองในฐานะตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ไว้ได้ก็เป็นเพราะมรดกตกทอดที่มีมากมายของพวกเขา หนังสือเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่ถูกสะสมมาหลายต่อหลายปีนั้นถือเป็นภาพอันน่าประทับใจ
อันที่จริง ผู้อาวุโสที่ 8 นำหนังสือมาเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะเวลาที่มีจำกัด เขาจึงไม่อาจนำมาทั้งหมดได้
“ผมรบกวนคุณด้วยนะ” จางเซวียนหันไปขอบคุณผู้อาวุโสที่ 8 ก่อนจะหันกลับมามองหนังสือที่อยู่ตรงหน้า
เขาใช้การรับรู้จิตวิญญาณกวาดไปทั่วทั้งชั้นหนังสืออย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมา หนังสือหลายแสนเล่มก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศและพลิกหน้าของมันเองโดยอัตโนมัติ
“นี่มัน…การเก็บความจำด้วยการรับรู้จิตวิญญาณ ผลงานของหนังสือพันเล่ม? ทำได้อย่างไร?”
ถานไท่เจินชิงนัยน์ตาเบิกโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ
“การเก็บความจำด้วยการรับรู้จิตวิญญาณนั้นคือการที่นักรบจะต้องแบ่งการรับรู้จิตวิญญาณของเขาเป็นเศษเสี้ยวมากมายนับไม่ถ้วน เพื่อเข้าซึมซาบและเก็บรายละเอียดในหนังสือเล่มต่างๆไว้เป็นความทรงจำในเวลาพร้อมๆกัน”
“แม้แต่ขงซือเหยาซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีสติปัญญาปราดเปรื่องที่สุดในสำนักแห่งขงจื๊อก็ทำได้เพียงแค่เก็บความจำจากหนังสือพร้อมกันทีเดียว 3,000 เล่ม เพียงเท่านั้นก็เป็นวีรกรรมที่ไม่มีใครทำลายสถิติได้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมาแล้ว…”
“แต่ชายหนุ่มคนนี้พลิกหน้าหนังสือทีเดียวหลายแสนเล่มพร้อมๆกัน การรับรู้จิตวิญญาณของเขาจะต้องทรงพลังขนาดไหน?”
หนานกงหยวนเฟิงอ้าปากค้าง
นักรบระดับเซียนขั้น 2 ทุกคนสามารถใช้การรับรู้จิตวิญญาณของตัวเองจดจำข้อความในหนังสือได้อย่างรวดเร็ว แต่เรื่องนี้จะแตกต่างออกไปมากหากเป็นการจดจำข้อความในหนังสือพร้อมกันทีเดียวหลายเล่ม เพียงแค่อ่านหนังสือพร้อมกัน 2 เล่ม นักรบผู้นั้นก็จะต้องแบ่งแยกสมาธิระหว่างหนังสือทั้งสองเล่มแล้ว และนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักรบขั้นจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่จะทำได้
สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แต่แม้ผู้ที่ปราดเปรื่องที่สุดก็สามารถเก็บความจำจากหนังสือได้พร้อมกันทีเดียว 3,000 เล่มเท่านั้น ส่วนหมอนี่เก็บความจำจากหนังสือได้ทีเดียวพร้อมกันหลายแสนเล่ม…
เขาไม่กลัวว่าหัวสมองจะระเบิดเพราะข้อมูลที่หนักเกินกำลังหรืออย่างไร? ไม่กลัวพิการหรือ?