แก่นสารของเวลา

“แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจแค่พลิกดูเนื้อหาโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ แต่จดจำอะไรไม่ได้เลย…” หนานกงหยวนเฟิงตั้งข้อสังเกตหลังจากที่เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง

การพลิกดูเนื้อหากับการจดจำเนื้อหาเป็น 2 แนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

สำหรับการพลิกดูเนื้อหา ผู้นั้นก็แค่ต้องกวาดสายตาผ่านหนังสือโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพยายามทำความเข้าใจหรือซึมซับเนื้อหาเหล่านั้น แต่สำหรับการจดจำเนื้อหา จะต้องดำเนินการแปรสภาพเนื้อหานั้นให้กลายเป็นความทรงจำ จึงเป็นธรรมดาที่ทั้งสองอย่างจะมีความยากในระดับที่ต่างกันมาก

ถ้าเป็นแค่การพลิกดูเนื้อหาหนังสือเป็นแสนเล่มพร้อมๆกัน ตัวเขาก็ทำได้

“รอดูก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ได้รู้แล้วว่าเขาเป็นของจริงหรือเปล่า!” ถานไท่เจินชิงตอบ

ทันทีที่ถานไท่เจินชิงพูดจบ หนังสือเป็นแสนเล่มที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย ก่อนจะลอยกลับคืนสู่ชั้นหนังสือ

“ผู้อาวุโสที่ 8, ผมขอรบกวนให้คุณนำหนังสือกลับไปไว้ที่เดิมด้วยนะ” จางเซวียนสั่งการก่อนจะสูดหายใจลึกและหลับตา ดูเหมือนกำลังพยายามซึมซับความรู้ที่เขาเพิ่งได้มาใหม่

“ขอรับ” ผู้อาวุโสที่ 8 ตอบรับขณะเก็บชั้นหนังสือเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขาแล้วรีบออกไป

ราวสิบอึดใจต่อมา จางเซวียนก็ลืมตาและพูดว่า “จิ่วเซี่ยว ก่อนหน้านี้คุณได้ฝึกฝนเทคนิควรยุทธฉบับเรียบง่ายของตระกูลจางแล้ว ด้วยเวลาที่มีจำกัด ผมจะแก้ไขข้อบกพร่องให้ 2-3 ข้อนะ หลักใหญ่น่ะอยู่ที่เทคนิคการต่อสู้และความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของเวลา ผมได้ประมวลหนังสือไว้ 2 เล่มจากหนังสือที่ผมเพิ่งอ่านไป จะถ่ายทอดให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ!”

หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็กระดิกนิ้วและส่งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขาเข้าสู่จิตใต้สำนึกของจางจิ่วเซี่ยว

“เอ่อ…” เมื่อได้รับความรู้ที่ท่านอาจารย์เพิ่งถ่ายทอดให้ จางจิ่วเซี่ยวตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที

กฎเกณฑ์ของเวลานั้นเป็นที่รู้กันว่ามีความเป็นนามธรรมและล้ำลึกยิ่งกว่ากฎเกณฑ์ของมิติเสียอีก ทำให้ทำความเข้าใจได้ยากมาก มีนักรบมากมายที่ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับความพยายามหยั่งถึงกฎเกณฑ์ของเวลา แต่ก็ต้องล้มเหลวอย่างน่ารันทด

ด้วยเหตุผลนี้ที่ทำให้แม้แต่ทายาทตระกูลจางก็ยังเข้าถึงกฎเกณฑ์ของเวลาได้ด้วยการปลุกความสามารถของสายเลือดหรือผ่านทางศิลปะเพลงดาบของตระกูลจางเท่านั้น

จางจิ่วเซี่ยวเคยคิดว่าต่อให้เขามีความถนัดด้านศิลปะของกาลเวลา แต่ก็คงต้องใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะทำความเข้าใจมันได้ แต่หนังสือที่ท่านอาจารย์ของเขาเพิ่งถ่ายทอดให้ถูกเรียบเรียงไว้ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำให้ผู้รับสามารถตีความหลักการพื้นฐานของกฎเกณฑ์แห่งเวลาได้มากขึ้นทีละน้อย และด้วยสิ่งนี้ ความยากในการทำความเข้าใจกฎเกณฑ์แห่งเวลาจึงลดลงมาก

ด้วยความเร็วในการพัฒนาของเขา เขามั่นใจว่าจะสามารถเชี่ยวชาญเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน

แต่ก็โชคร้ายที่นั่นยังคงนานเกินไป

เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้น จางจิ่วเซี่ยวเงยหน้า “ท่านอาจารย์ ผมไม่คิดว่าจะมีเวลาพอให้ผมทำความเข้าใจหนังสือ 2 เล่มนี้ได้หมด…”

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากนำเกียรติยศศักดิ์ศรีมาสู่ตระกูลจาง แต่แม้ท่านอาจารย์จะได้ประมวลหนังสือขึ้น 2 เล่มและถ่ายทอดให้เขาแล้ว เขาก็ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าที่จะเข้าใจมันดีพอและนำมาใช้ในการต่อสู้ได้

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะรีบร้อนกันได้เลย

หนึ่งชั่วโมงเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไป!

“ใจเย็นน่ะ อย่าตื่นตระหนก ปล่อยพลังจากเลือดหยดนี้เข้าสู่ร่างของคุณเสีย!” เหมือนจางเซวียนจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว เขากระดิกนิ้วเบาๆ แล้วเลือดหยดหนึ่งก็ซึมเข้าสู่หว่างคิ้วของจางจิ่วเซี่ยว

มันคือหนึ่งในเลือดหยดที่เข้มข้นที่สุดของตระกูลจาง

วิ้ง!

ทันทีที่หยดเลือดซึมเข้าสู่ร่างของจางจิ่วเซี่ยว มันก็ปล่อยพลังออกมา ทำให้จางจิ่วเซี่ยวเข้าสู่สภาวะพิเศษ

“นี่มัน…การเร่งเวลา?” ถานไท่เจินชิงหรี่ตา

ตอนที่หยดเลือดซึมเข้าสู่ร่างของจางจิ่วเซี่ยว ถานไท่เจินชิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายดำดิ่งเข้าสู่วังวนของกาลเวลา ซึ่งกระแสกาลเวลาที่อยู่ในวังวนนั้นแยกตัวออกจากโลกภายนอก

พูดอีกอย่างก็คือ ระยะเวลา 1 ชั่วโมงของโลกภายนอกหมายถึง 1 วันหรืออาจยาวนานกว่านั้นสำหรับจิตใต้สำนึกของจางจิ่วเซี่ยว

ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลจางเห็นสิ่งที่จางเซวียนทำ เขาตั้งข้อสังเกตด้วยความยำเกรง “เร่งกาลเวลาของจิตใต้สำนึก สิ่งนี้เหมือนกับกลไกของคลังตรวจสอบเลือด”

คลังตรวจสอบเลือดของตระกูลจางทำให้ทายาทตระกูลจางสามารถเร่งเวลาของจิตใต้สำนึกของพวกเขาได้ ส่งผลให้พวกเขาฝึกฝนวรยุทธได้เร็วขึ้น มันมีบทบาทสำคัญในการนำพาเหล่าอัจฉริยะตระกูลจางให้เหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขา

“คลังตรวจสอบเลือดจะเร่งกาลเวลาให้เร็วขึ้นสิบเท่า ขณะที่ท่านหัวหน้าตระกูลสามารถเร่งเวลาได้มากกว่าร้อยเท่า…” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งของตระกูลจางเสริมและกลืนน้ำลาย

“เซวียนเอ๋อใช้หยดเลือดที่เข้มข้นที่สุดของตระกูลจางของเราสร้างค่ายกลเร่งกาลเวลาขึ้นในหัวของจางจิ่วเซี่ยว” เซียนดาบชิงตั้งข้อสังเกตพร้อมกับพยักหน้า

คนอื่นอาจไม่รู้ว่าจางเซวียนกำลังทำอะไร แต่ในฐานะอดีตหัวหน้าตระกูลจางและผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดคนหนึ่ง เขามองออกอย่างง่ายดายว่าลูกชายของตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

ภายใต้สถานการณ์ปกติ การเรียกพลังจากสายเลือดจะต้องใช้พลังจากหยดเลือดของผู้นั้น มีอยู่บ่อยครั้งที่ทายาทของเหล่าตระกูลนักปราชญ์ต้องสูญเสียพลังของสายเลือดไปหลังจากสำแดงเทคนิคการต่อสู้ได้เพียง 1 หรือ 2 เทคนิค

แต่จางเซวียนใช้ศาสตร์ลับเพื่อปรับเปลี่ยนกระแสของกาลเวลาสำหรับจิตใต้สำนึกของจางจิ่วเซี่ยว ด้วยสิ่งนี้ ไม่เพียงแต่อัตราการใช้พลังจากหยดเลือดจะต่ำมาก การเร่งเวลาก็ยังเป็นไปได้เร็วขึ้นอีกหลายเท่า

“ถึงเขาจะเร่งเวลาได้มากกว่าร้อยเท่า แต่ก็น่าจะยังต้องใช้เวลา 2-3 วันเป็นอย่างน้อย จางจิ่วเซี่ยวจะมีพละกำลังพอที่จะเอาชนะถานไท่เจี้ยนขุยได้ภายในเวลาเพียง 2-3 วันหรือ?” ผู้อาวุโสที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ตั้งคำถามอย่างไม่แน่ใจ

แม้วิธีการของหัวหน้าตระกูลของพวกเขาจะน่าทึ่งมาก แต่จางจิ่วเซี่ยวก็แทบจะเริ่มต้นจากศูนย์ ต่อให้มีการเร่งเวลา แต่เพียงแค่ 2-3 วัน จะเพียงพอให้จางจิ่วเซี่ยวเอาชนะถานไท่เจี้ยนขุยได้หรือ?

ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ของตระกูลจางใช้เวลาหลายศตวรรษในการศึกษาศิลปะของกาลเวลา แต่พวกเขาก็แทบไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย

จางเซวียนไม่ใส่ใจความสงสัยของฝูงชน เขากลับไปยังที่นั่งของตัวเองและหลับตา ดูเหมือนจะกำลังซึมซับความรู้ที่เพิ่งได้มาจากหนังสือหลายแสนเล่มนั้น

เหตุผลที่เขาใช้การรับรู้จิตวิญญาณพลิกหน้าหนังสือก็เพื่อปกปิดสายตาของกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และพวกตระกูลจาง เพราะอันที่จริง เพียงแค่กวาดสายตามอง เขาก็ถ่ายโอนหนังสือทั้งหมด จดจำรายละเอียดของมัน และประมวลขึ้นเป็นศิลปะแห่งกาลเวลาเทียบฟ้าได้แล้ว

หนังสือที่เขาถ่ายทอดให้จางจิ่วเซี่ยวนั้นเป็นฉบับเรียบง่าย และตอนนี้ เขากำลังวางแผนว่าจะฝึกฝนฉบับสมบูรณ์

เหล่าบรรพบุรุษตระกูลจางมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเรื่องเวลา…จางเซวียนครุ่นคิดด้วยความยำเกรงขณะศึกษาศิลปะแห่งกาลเวลาเทียบฟ้าที่อยู่ในสมองของเขา

พูดได้เลยว่าบรรพบุรุษหลายคนของตระกูลจางประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องของเวลา ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลจางสามารถก้าวขึ้นเป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ กลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ไม่มีใครเอาชนะได้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา

ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักของพวกเขา พวกเขาสามารถทำความเข้าใจความลับมากมายของกาลเวลาได้

…..

ครู่ต่อมา

บึ้มมม!

จางเซวียนพลันรู้สึกว่าเขาคว้าอะไรบางอย่างที่จับต้องได้ และทุกอย่างดูจะกระจ่างชัดขึ้นมาตรงหน้า ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในสมองของเขาและค่อยๆแข็งแกร่งหนักแน่นขึ้นทีละน้อย

ในเวลาเดียวกัน ปรากฏการณ์แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นที่หอบรรพบุรุษของตระกูลหลัวก็กำลังเกิดขึ้นที่หอบรรพบุรุษของตระกูลจาง โชคร้ายที่สมาชิกทุกคนของตระกูลจางมารอชมการดวลระหว่างจางจิ่วเซี่ยวกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กันหมด จึงไม่มีใครได้เห็นปรากฏการณ์นั้น

วิ้ง!

เมื่อจางเซวียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มีลำแสงเป็นประกายฉายออกจากนัยน์ตาของเขา

ในที่สุดเราก็ทำความเข้าใจแก่นสารของเวลาได้แล้ว*…ดูเหมือนว่าแก่นสารของเวลาของตระกูลจางจะมีศูนย์กลางอยู่ที่แนวคิดเรื่องการเร่งเวลา*

หลังจากทำความเข้าใจแก่นสารของเวลาของตระกูลจางได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว จางเซวียนก็เข้าถึงหลักการของมรดกตกทอดของตระกูลจาง

โดยพื้นฐาน แก่นสารเรื่องเวลาของตระกูลจางจะทำให้ผู้นั้นเร่งกาลเวลาได้ ส่งผลให้สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าที่ใครจะตอบโต้ทัน

เป็นทำนองเดียวกันกับหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของสภาปรมาจารย์ ซึ่ง 1 ปีในนั้นเทียบเท่ากับ 1 เดือนของโลกภายนอก

แม้จะยังมีประสิทธิภาพไม่เท่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความสามารถที่ไร้เทียมทานมาก

เพราะอย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก้าวขึ้นสู่ระดับใหม่

ก่อนหน้านี้ หยดเลือดหยดหนึ่งของตระกูลจางจะสูญสลายไปหลังจากใช้การเร่งเวลา 2 ครั้ง แต่ด้วยความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของเวลาที่เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งกว่าเดิม ทำให้ตอนนี้เราสามารถเก็บหยุดเลือดไว้ในร่างกายและใช้มันได้ตามใจโดยไม่สิ้นเปลืองพลังงาน*! เลือดหยดหนึ่งสามารถปล่อยพลังให้เราใช้งานได้อย่างน้อยก็หลายสิบครั้ง!* จางเซวียนคิดอย่างลิงโลด

ในจำนวนหยดเลือดของตระกูลจาง 3 หยดที่เซียนดาบชิงมอบให้ เขาได้ใช้ไปแล้วหนึ่งหยดในการรับมือกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร และอีกหนึ่งหยดเพื่อเร่งกาลเวลาให้จางจิ่วเซี่ยว ดังนั้นจึงเหลือเพียงหยดเดียว แต่ด้วยความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลาที่ได้มาใหม่ จางเซวียนก็สามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม

เมื่อย้อนคิดดู ก็รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียเลือดหยดแรกไปโดยเปล่าประโยชน์ที่ใช้มันไปกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร

พูดได้ว่าพลังงาน 99% ของมันสูญเปล่าโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย!

แต่ตอนนี้ เขามีความสามารถในการควบคุมกฎเกณฑ์ของเวลาแล้ว นับจากนี้ไป เขาจะใช้พลังงาน ทุกเศษเสี้ยวจากหยดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น ต่อให้ตอนนี้เขาเหลือเลือดอยู่เพียงหยดเดียว แต่ก็เกินพอที่จะให้ใช้ประโยชน์ได้อีกหลายสิบครั้ง!