ถานไท่ยอมแพ้

 

การที่จางเซวียนทำความเข้าใจแก่นสารของเวลาได้สำเร็จนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดการปะทุของพลังงานหรืออำนาจใดๆ แต่ถานไท่เจินชิงก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาได้แต่ขมวดคิ้ว

สำหรับเขา ดูราวกับว่าสถานภาพของหัวหน้าตระกูลจางได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างปุบปับ รังสีที่อีกฝ่ายแผ่ออกมานั้นหนักแน่นและแข็งแกร่ง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าล้ำลึกเกินหยั่ง

“หมดเวลาแล้ว”

1 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการกระดิกนิ้วของจางเซวียน จางจิ่วเซี่ยวก็ตื่นจากภวังค์ เขาสูดหายใจลึก 2-3 ครั้งขณะสำรวจความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้รับ ก่อนจะเดินตรงเข้าหาถานไท่เจี้ยนขุย

จางจิ่วเซี่ยวประสานมือและโค้งคำนับอย่างงาม เขาเอ่ยปากอย่างสุภาพ “ได้โปรดกรุณาด้วย!”

“ได้สิ” ถานไท่เจี้ยนขุยพยักหน้า จากนั้นก็ลดระดับพลังงานในร่างกายลง ในชั่วพริบตา วรยุทธของเขาก็ลดต่ำลงไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 สูงสุด ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับจางจิ่วเซี่ยว

“เริ่มดวลกันเถอะ!” จางเซวียนพูดขณะโบกมืออยู่ด้านข้าง

“โปรดให้คำชี้แนะผมด้วย”

จางจิ่วเซี่ยวก้าวออกไปก้าวหนึ่งโดยไม่รีรอ ก่อนจะหายวับไปทันที ยังไม่ทันที่ใครจะทันได้รู้ตัว เขาก็ไปยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าถานไท่เจี้ยนขุย

ด้วยการปล่อยพลังเบาๆ พละกำลังมหาศาลก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา

“ช่างรวดเร็วและทรงพลัง!”

ตอนแรก ถานไท่เจี้ยนขุยไม่คิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะพัฒนาอะไรได้มากนักหลังจากที่เขาลดระดับวรยุทธของตัวเองแล้ว เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายใน ขณะที่อีกฝ่ายเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดเท่านั้น

แต่การเคลื่อนไหวอย่างว่องไวของจางจิ่วเซี่ยวทำให้เขาไม่ทันระวังตัว ถานไท่เจี้ยนขุยหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณอย่างร้อนรนขณะล่าถอย

ถานไท่เจี้ยนขุยบอกได้ว่าคู่ต่อสู้ของเขายังไม่ได้เข้าถึงแก่นสารของเวลา แต่ก็อยู่ไม่ห่างจากระดับขั้นนั้นมากนัก

สามารถเข้าใกล้แก่นสารของเวลาได้ภายในเวลาชั่วโมงเดียว…มนุษย์ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?

ปฏิกิริยาตอบโต้ของถานไท่เจี้ยนขุยนั้นไม่ช้านัก แต่จางจิ่วเซี่ยวเร็วกว่ามาก เขาปล่อยการโจมตีจากฝ่ามืออีกครั้งและกระดิกนิ้วเบาๆ

ฟิ้วววว!

กระแสดาบฉีพุ่งออกจากนิ้วทั้ง 5 ของเขาพร้อมกัน

กระแสดาบฉีเหล่านี้ดูเหมือนจะพุ่งไปด้วยความเร็วไม่มากนัก แต่อันที่จริง มันไม่ได้ถูกจำกัดด้วยมิติและเวลา จึงสามารถพุ่งตรงเข้าถึงเป้าหมายได้ในชั่วพริบตา ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะปัดป้องได้สำเร็จ

“นี่คือศิลปะเพลงดาบขั้นสูงสุดของตระกูลจาง! ขะ-เขา…” เซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิงมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง

แม้แต่กับพวกเขา ทั้งสองก็ยังต้องผนึกกำลังกันอย่างใกล้ชิดกว่าที่จะสำแดงศิลปะเพลงดาบขั้นสูงสุดของตระกูลจางออกมาได้ จางจิ่วเซี่ยวไม่เคยร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบของตระกูลจางมาก่อน แต่กลับเข้าถึงขั้นนี้ได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง…

แถมยังเป็นกระแสดาบฉีที่พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขาด้วย ไม่ใช่ปลายดาบ…

หนังสือพิสดารพันลึกแบบไหนกันที่ลูกชายของพวกเขาถ่ายทอดให้จางจิ่วเซี่ยว?

แม้ถานไท่เจี้ยนขุยจะล่าถอยอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นกระแสดาบฉีที่ไล่หลังเขามาติดๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ที่เขามีอยู่ เขาก็สามารถสำแดงกระบวนท่าที่ปกป้องตัวเองได้ในวินาทีสุดท้าย ซึ่งก็ลงเอยด้วยการที่กระแสดาบฉีสร้างความเสียหายได้เพียงกับเสื้อผ้าของเขาเท่านั้น

“คราวนี้ตาผมล่ะนะ…” ถานไท่เจี้ยนขุยเคยคิดว่าเขาน่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สบายและสร้างคุณงามความดีครั้งใหญ่ให้กับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่เพียงแค่ปะทะกันครั้งแรก เขาก็เกือบจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว รู้ดีว่าคงเป็นความโง่เขลามากหากยังคงสบประมาทคู่ต่อสู้ของเขาต่อไป สีหน้าของถานไท่เจี้ยนขุยพลันเคร่งเครียดขึ้นมา

โดยไม่บอกไม่กล่าว เขาพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วอันน่าทึ่งเพื่อปล่อยการโจมตี

ด้วยศิลปะของกาลเวลาที่เขาพอมีความเข้าใจอยู่บ้าง ความเร็วในการเคลื่อนไหวนั้นจึงว่องไวอย่างน่าทึ่ง หากมองด้วยตาเปล่า ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไล่ตามการเคลื่อนไหวของเขาได้ทัน หรือต่อให้ใช้การรับรู้จิตวิญญาณก็ตาม ยังไม่ทันที่ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หมัดอันทรงพลังก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าจางจิ่วเซี่ยวแล้ว

แต่ถึงจะเจอกับการโจมตีอย่างกะทันหันจากถานไท่เจี้ยนขุย จางจิ่วเซี่ยวก็ไม่มีอาการหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เขาใช้นิ้ววาดกลางอากาศและสร้างโดมป้องกันตัวที่ทำจากกระแสดาบฉีไว้โดยรอบ ทำให้ปัดป้องการโจมตีของถานไท่เจี้ยนขุยได้สำเร็จ

ถึงตอนนี้ ถานไท่เจินชิงส่ายหน้าอย่างหนักใจและถอนหายใจเฮือก “ดูเหมือนเจี้ยนขุยจะแพ้…”

“แพ้หรือ? คู่ต่อสู้ของเขาเก่งกาจก็จริง แต่เจี้ยนขุยก็ต้านทานไว้ได้นี่” หนานกงหยวนเฟิงถึงกับชะงักกับข้อสังเกตของถานไท่เจินชิง

ในมุมมองของเขา ชายหนุ่มทั้งสองดูจะมีทักษะทัดเทียมกัน อันที่จริง เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดอันทรงพลังของถานไท่เจี้ยนขุย จางจิ่วเซี่ยวก็ดูเหมือนจะถูกบีบให้อยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ ไม่อาจตอบโต้ได้ แล้วทำไมถานไท่เจินชิงถึงพูดว่าถานไท่เจี้ยนขุยกำลังจะแพ้?

“คู่ต่อสู้ของเจี้ยนขุยยังไม่ได้ใช้พลังจากหยดเลือดเลยนะ” ถานไท่เจินชิงโพล่งออกมา

“เอ่อ…” ได้ยินคำนั้น หนานกงหยวนเฟิงตาโตก่อนจะเงียบไป

แน่นอนว่าพวกเขาได้หาข้อมูลเรื่องความสามารถพิเศษของตระกูลจางมาแล้วก่อนที่จะมาท้าทายอีกฝ่าย สำหรับข้อมูลที่ได้มา พวกเขาพบว่าตระกูลจางสามารถเรียกใช้พลังงานจากหยดเลือดเพื่อผลักดันพละกำลังและความเร็วของตัวเองให้เพิ่มสูงขึ้นได้มากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ในเมื่อจางจิ่วเซี่ยวสามารถยืนหยัดเทียมบ่าเทียมไหล่กับถานไท่เจี้ยนขุยได้โดยที่ยังไม่ต้องเรียกใช้พลังงานจากหยดเลือด ก็ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ชนะหากเขาเรียกใช้พลังงานจากหยดเลือดขึ้นมา

“อีกอย่าง ถึงภาพที่ปรากฏจะดูเหมือนว่าจางจิ่วเซี่ยวถูกผลักดันให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องตั้งรับ แต่คุณเห็นหรือเปล่าว่าเขาพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆในระหว่างการต่อสู้? ช่วงแรกเขาแค่ยืนหยัดต้านทานหมัดของเจี้ยนขุย แต่ตอนนี้เขาสามารถตอบโต้กลับได้ถึง 3 หมัดจากจำนวน 10 หมัดนั้น ช้าๆแต่ว่าแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทำความคุ้นเคยกับพละกำลังที่ได้มาใหม่ อันที่จริง ดูเหมือนกับว่าเขาจงใจออมมือให้เจี้ยนขุยด้วยซ้ำ เพื่อจะใช้ประโยชน์จากโอกาสครั้งนี้ในการขัดเกลาอำนาจการควบคุมของเขาและเพิ่มพูนความเข้าใจในศิลปะแห่งกาลเวลาให้มากขึ้น!”

ถานไท่เจินชิงพูดพร้อมกับยิ้มอย่างหมดปัญญา

เขาเกลียดที่จะต้องยอมรับ แต่มันคือเรื่องจริง

ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาได้ยินว่าหนานกงหยวนเฟิงเพลี่ยงพล้ำให้ตระกูลหลัว ก็คิดว่าช่างเหลวไหลสิ้นดีที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่หลังจากได้เห็นกับตาถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ของอัจฉริยะรุ่นหลังของตระกูลจาง ก็พลันรู้สึกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์กลายเป็นดินแดนอันทรงพลังที่พวกเขาไม่อาจสบประมาทได้อีกต่อไป

100 สำนักแห่งนักปราชญ์แยกตัวออกจากโลกใบนี้มาหลายหมื่นปีแล้ว ไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของโลกภายนอก กว่าจะรู้ตัวอีกที พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับกบในบ่อน้ำ!

ได้ยินถานไท่เจินชิงรำพึง หนานกงหยวนเฟิงหันกลับไปมองการดวลอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น การเคลื่อนไหวของจางจิ่วเซี่ยวดูจะพลิ้วไหวราบรื่นขึ้นเรื่อยๆระหว่างที่การดวลดำเนินไป ไม่ช้าเขาก็สามารถตอบโต้หมัดของถานไท่เจี้ยนขุยได้ถึง 7 ใน 10 หมัด

ถึงตอนนี้ ก็ชัดเจนว่าสถานการณ์เริ่มไม่เข้าข้างถานไท่เจี้ยนขุยแล้ว

ในช่วงเวลาหนึ่งระหว่างการโจมตีของถานไท่เจี้ยนขุย จางจิ่วเซี่ยวก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่งและปล่อยหมัดอันทรงพลังเข้าใส่การป้องกันตัวของอีกฝ่าย ถ้าหมัดนั้นเข้าถึงตัวถานไท่เจี้ยนขุยล่ะก็ เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่

ด้วยความปั่นป่วน ถานไท่เจี้ยนขุยรีบถอยออกมาขณะร้องว่า “ผมยอมแพ้!”

เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้ แต่ถึงอย่างไร ก็เห็นชัดแล้วว่าคู่ต่อสู้ของเขามีประสิทธิภาพการต่อสู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แถมด้วยวิธีการที่เหนือชั้นกว่าที่เขาจะรับมือได้ เขาไม่เหลือโอกาสที่จะได้ชัยชนะอีกแล้ว

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าถานไท่เจี้ยนขุยยอมแพ้ จางจิ่วเซี่ยวถอนหมัดออกและหยุดการโจมตี เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้และจ้องมองฝูงชนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อย่างเงียบๆ ดูเหมือนจะเฝ้าคอยอย่างอดทนให้คู่ต่อสู้คนต่อไปปรากฏตัว

“ท่านอาจารย์ ผมเอง!”

รู้สึกได้ถึงการยั่วยุในทีของจางจิ่วเซี่ยว ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก้าวออกมา

“พละกำลังของคุณเหนือกว่าเจี้ยนขุยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อเจี้ยนขุยเอาชนะเขาไม่ได้ คุณก็ไม่มีโอกาสมากนักหรอกนะ” ถานไท่เจินชิงพูดพร้อมกับส่ายหน้า

อันที่จริง พละกำลังของศิษย์สายตรงทั้ง 4 คนของเขาไม่ได้ต่างกันมากนัก ถึงชายหนุ่มคนที่เพิ่งก้าวออกมาจะมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของเวลาเหนือกว่าถานไท่เจี้ยนขุย แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะเอาชนะจางจิ่วเซี่ยวในตอนนี้

ถึงต่อสู้ไป ก็แน่นอนว่าการดวลจะต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของศิษย์สายตรงของเขา

หนานกงหยวนเฟิงก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขาเสนอแนะ “ทำไมคุณไม่ลองลดระดับวรยุทธแล้วไปดวลกับเขาล่ะ?”

ถานไท่เจินชิงครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชำเลืองมองจางเซวียน เห็นสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของชายหนุ่ม เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะส่ายหน้า “ช่างมันเถอะ! แพ้ก็คือแพ้ ต่อให้ผมก้าวออกไป ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกอย่างจะต้องลงเอยแบบเดิม”

พูดตามตรง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจางจิ่วเซี่ยวจะเป็นภัยคุกคาม เขามั่นใจว่าจะเอาชนะชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย…แต่ปัญหาก็คือความพ่ายแพ้ของจางจิ่วเซี่ยวไม่ได้หมายความว่าตระกูลจางจะพ่ายแพ้ไปด้วย!

หัวหน้าตระกูลจางได้ใช้ ‘การเก็บความทรงจำผ่านการรับรู้ของจิตวิญญาณ, ผลงานของหนังสือพันเล่ม’ แถมยังยกระดับความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของเวลาให้กับลูกศิษย์ของตัวเองจนถึงระดับที่เหนือชั้นกว่าศิษย์สายตรงของเขาได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง…

คนที่มีความสามารถระดับนี้ไม่มีทางที่จะอ่อนแอแน่

หากเขาท้าดวล ก็เป็นไปได้ว่าหัวหน้าตระกูลจางจะเปิดการโจมตีเช่นกัน ซึ่งลงท้ายผลก็จะออกมาแบบเดิม ในกรณีเลวร้ายที่สุด เขาอาจต้องกระเด็นออกไปเร่ร่อนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับหนานกงหยวนเฟิงในการดวลกับตระกูลหลัว

ในเมื่อทุกอย่างไม่เป็นใจ ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องทำให้ตัวเองดูย่ำแย่

ถานไท่เจินชิงประสานมือโดยไม่ลังเลและพูดว่า “พวกเรายอมรับความพ่ายแพ้!”

เห็นอีกฝ่ายยอมแพ้หลังจากที่ดวลกันได้เพียงนัดเดียว จางเซวียนประสานมือกลับและยิ้มให้ “ผู้อาวุโส ผมซาบซึ้งมากที่คุณเมตตาลูกศิษย์ของผม!”

เขาคาดหวังไว้เต็มที่ว่าจางจิ่วเซี่ยวจะสามารถเอาชนะถานไท่เจี้ยนขุยได้ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้ายอมรับความพ่ายแพ้แบบนี้

แม้แต่หนานกงหยวนเฟิงก็ยังดิ้นรนไม่น้อยกว่าจะยอมแพ้

“แพ้ก็คือแพ้ ไม่มีความเมตตาหรืออะไรทำนองนั้นหรอก” ถานไท่เจินชิงตอบ เขาสะบัดข้อมือแล้วนำหินหมึกของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่ออกมา จากนั้นก็ประสานมือและกล่าวว่า “ลาก่อน!”

หลังจากรับหินหมึกมาแล้ว จางเซวียนคว้ากระจกเงาแห่งกาลเวลาที่ลอยอยู่กลางอากาศและชำเลืองมองมันแวบหนึ่งก่อนจะส่งคืนให้ถานไท่เจินชิง “กระจกเงาของคุณ”

“ขอบคุณมาก”

ถานไท่เจินชิงรับกระจกเงามาก่อนจะจากไปพร้อมกับคนอื่นๆ ในชั่วพริบตา พวกเขาก็หายลับไป