บาร์แสงดาวที่เงียบสงัด

ในขณะที่ซือเฟิงและฟิธาเลียเข้ามาในบาร์แสงดาวเพื่อขัดจังหวะการสนทนาของสมาชิกไมโทโลจี้ที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำ มันก็บังเกิดความโกลาหลขึ้นท่ามกลางผู้เล่นที่อยู่ในบาร์

“อึก !! นั่นคือฟิธาเลีย ผู้บัญชาการของกองกำลังดีไวน์ไฮม์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักของเผ่าศักสิทธิ์ไม่ใช่หรอ ?!”

“ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะเริ่มการต่อสู้อีกครั้ง !!!”

“การต่อสู้ ? นี่มันจะเป็นสงครามซะมากกว่า !!! ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีพอที่จะได้ดูเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวเลย !!!”

ผู้เล่นเหล่านี้หลายคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีเครือข่ายข้อมูลมากมาย พวกเขาไม่มากก็น้อยที่ตระหนักถึงการต่อสู้ระหว่างมหาอำนาจต่างๆเรื่องของป้อมปราการแสงดาว ตอนนี้ไมโทโลจี้ได้ริเริ่มเลือกจะต่อสู้ในป้อมปราการแสงดาวแล้ว ดังนั้นสงครามระหว่างมหาอำนาจต่างๆจึงจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเริ่มในเร็วๆนี้ก็ตาม

การปะทะกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาอำนาจต่างๆถือเป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่หายากใน God domain โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นที่จะได้ชมเป็นการส่วนตัว พวกเขาจะสามารถเรียนรู้ได้มากกว่าดูจากบันทึกการต่อสู้เลย

นี่เป็นเหตุผลที่มหาอำนาจต่างๆนั้นล้วนพยายามกันอย่างต่อเนื่องเพื่อจะให้ได้เข้าสู่สนามประลองแห่งความมืด แต่น่าเสียดายที่ถ้าไม่มีคอนเนคชั่นที่เพียงพอ ผู้เล่นทั่วไปก็จะไม่มีคุณสมบัติในการจะเข้าสู่สนามประลองแห่งความมืด

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขานั้น การต่อสู้ในสนามประลองแห่งความมืดก็นับว่าไม่มีอะไรเลย

ผู้เข้าร่วมสนามประลองแห่งความมืดจากมหาอำนาจต่างๆส่วนใหญ่นั้นจะไม่เคยทุ่มพลังออกมาทั้งหมด แต่สถานการณ์ตอนนี้นั้นมันจะแตกต่างออกไป เพื่อรักษาสิทธิ์ในการปกครองป้อมปราการแสงดาว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี
ในขณะที่ผู้เล่นที่อยู่ในบาร์นั้นกำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สมาชิกของไมโทโลจี้ก็หันมามองซือเฟิงอย่างเย็นชา ตอนนี้พวกเขาทุกนนั้นกระตือรือร้นที่จะเริ่มการต่อสู้อย่างมากแล้ว

เมื่อรู้สึกได้ถึงความเป็นปรปักษ์ของผู้เล่นในชุดเสื้อคลุมสีดำนั้นฟิธาเลียก็รู้สึกปวดหัวมากๆ

เธอพยายามโน้มน้าวให้ซือเฟิงรวบรวมกำลังคนก่อนที่จะมาเผชิญหน้ากับสมาชิกของไมโทโลจี้ แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับเลือกจะมุ่งหน้ามาที่บาร์แสงดาวทันทีที่ได้ยินเกี่ยวกับมาถึงของพวกเขา ซือเฟิงนั้นเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่ได้รับสิทเหนือ
คฤหาสถ์ชลอร์ดของป้อมปราการ หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา มันจะทำให้การป้องกันป้อมปราการในอนาคตของพวกเขายากขึ้นมากๆเลยทีเดียว

มหาอำนาจต่างๆนั้นได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเข้ามาในป้อมปราการแสงดาวแล้ว หากป้อมปราการสูญเสียเจ้าของไปอย่างกระทันหัน มันจะทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมาก และแม้แต่กองกำลังของเผ่าศักสิทธิ์ก็จะยังไม่สามารถหยุดพวกเขาได้

ในท้ายที่สุดเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามซือเฟิงมาที่บาร์แสงดาว และได้แต่ติดต่อผู้เล่นที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเธอให้มาพบกันระหว่างทาง

อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดอีกครั้ง และเลือกจะต่อสู้กับไมโทโลจี้ก่อนที่คนของเธอจะมาถึง ….

ขณะนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดมากกว่าสามสิบคน !!!

แถมคนเหล่านี้นั้นก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดทั่วไปเลย พวกเขาไม่เพียงแต่จะสามารถปกปิดออร่าของพวกเขาไว้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขาทั้งหมดยังรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ หากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ตัดสินใจจะประสานงานกันโจมตีมาที่เป้าหมายเดียว ผลที่ตามมา มันจะเป็นดั่งฝันร้ายแน่นอน

“คุณนี่ช่างกล้าหาญจริงๆเลยนะ ไอ้เวร !!!!” แอสซาซินที่ถือดาบสั้นกล่าวอย่างเย้ยหยันซือเฟิง “แสดงให้ฉันเห็นหน่อยสิว่าคุณมีพลังมากเท่าปากคุณไหม !!!”

ก่อนที่แอสซาซินจะก้าวไปข้างหน้า ชายหนุ่มผมสีเงินที่อยู่ข้างๆเขาก็ยื่นมือออกมาขวางทาง
“คุณคือหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมสินะ !!!” ชายหนุ่มผมสีเงินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขออนุญาติแนะนำตัวเองก่อน ฉันคือซิลเวอร์โกสต์ รองผู้บัญชาการกองกำลังที่หนึ่งซึ่งเป็น
กองกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของในไมโทโลจี้”

“เขาคือคนที่ทำลายแผนการของรองหัวหน้ากิลโคลท์ชาโด้วใช่ไหม ?”

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมก่อนหน้านี้ เขาถึงกล้าจะพูดอย่างกล้าหาญ”

“เขานั้นกล้าหาญจริงๆ เขามาที่นี่โดยไม่มีผู้ติดตามเลยด้วยซ้ำ หรือว่าเขาตั้งใจจะมาประณีประณอม ?”

หลังจากได้ยินคำพูดของซิลเวอร์โกสต์ เหล่าสมาชิกของไมโทโลจี้ที่เหลือก็เริ่มรับรู้ได้ทั้งหมด เพราะเป้าหมายครั้งนี้ที่พวกเขาได้รับคำสั่งมาคือให้ค้นหา ซือเฟิง และทำการเจรจาต่อรอง

“เนื่องจากผู้บัญชาการฟิธาเลียมากับคุณ ฉันแน่ใจว่าเธอน่าจะบอกคุณเกี่ยวกับข้อเสนอของฉันแล้ว คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ?” ซิลเวอร์โกสต์ถามอย่างอดทน ขณะที่มองไปยังฟิธาเลีย ก่อนที่จะหันมาจ้องมองยังซือเฟิง

ซิลเวอร์โกสต์นั้นได้ต่อสู้กับฟิธาเลียมาเป็นการส่วนตัวแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาด แถมเธอยังมีเหล่าองครักษ์ส่วนตัวที่เป็นผู้เล่นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดล้อมรอบเธออีก ซึ่งโดยปกติเธอและทีมองครักษ์ส่วนตัวของเธอไม่ควรจะมีปัญหาในการเอาชนะทีมผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม หนึ่งร้อยคนได้เลย

น่าเสียดายที่ทีมของฟิธาเลียนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้ว่าฟิธาเลียจะมีความแข็งแกร่งอย่างมาก แต่เธอก็จะไม่รอดแน่นอน หากถูกลูกน้องของเขาราวสิบคนรุม

ภัยคุกคามที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของป้อมปราการแสงดาวที่พวกเขาจะต้องกลัวนั้นคือกองกำลังนรกของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ เพราะไม่เพียงแต่กองกำลังนี้จะประกอบปด้วยผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม สามร้อยคน แต่พวกเขายังมีความแข็งแกร่งมาเป็นพิเศษเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากทีมของเขาตั้งใจจะก่อความวุ่นวายในป้อมปราการแห่งนี้จริงๆ แม้แต่กองกำลังนรกก็จะไม่พลังเพียงพอที่จะหยุดพวกเขาได้

“ฉันไม่มีเหตุผลที่จะต้องพิจารณามัน เนื่องจากสภาสิบแปดปีกนั้นมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ เราก็มีความแข็งแกร่งพอจะรักษามันไว้ได้ หากคุณต้องการต่อสู้ก็เข้ามากันได้เลย !!!” ซือเฟิงกล่าวอย่างสงบ ขณะที่มองไปยังซิลเวอร์โกสต์

“ช่างโชคร้ายจริงๆ” ซิลเวอร์โกสต์นั้นทำได้เพียงแค่ถอนหายใจให้กับคำตอบของซือเฟิง

“ทำไมคุณยังเสียเวลาพูดกับเขาอยู่ล่ะ ผู้บัญชาการ ?” แอสซาซินกล่าวพลางหัวเราะเยาะ “ปล่อยให้ทีมของฉันเป็นผู้จัดการเขาเอง ถ้าเราไม่สอนบทเรียนให้กับเขา เขาจะถือว่าไมโทโลจี้ไร้อำนาจต่อหน้าเขาได้ !!!”

“ถูกต้อง !! ถ้าเราไม่แสดงความแข็งแกร่งของเราให้เขาเห็น เขาจะคิดว่าที่เราจากไปก่อนหน้านี้เพราะกลัวเขา !!!” สมาชิกที่เหลือของไมโทโลจี้พยักหน้า

การมาเยี่ยมชมป้อมปราการแสงดาวครั้งก่อนพวกเขานั้นมันเป็นเพียงรูปแบบของการทักทายเท่านั้น ตอนนี้ซือเฟิงได้ปฎิเสธความปราถนาดีของพวกเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอดกลั้น ในความเป็นจริง ถ้าพวกเขายังคงแสดงท่าทีเฉยเมย ซือเฟิงจะถือว่ากิลพวกเขาเป็นแค่เรื่องตลก กับของหลอกเด็กด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ ฉันจะปล่อยให้หน้าที่นี้เป็นของทีมนาย แต่ทำให้รวดเร็วหน่อยล่ะ คนอื่นๆนั้นให้ความสนใจกับสถานการณ์อยู่ และเราจะถอยทันทีเมื่อมังกรศักสิทธิ์เข้ามาใกล้ !!!” ซิลเวอร์โกสต์กล่าวอนุญาติให้สิททีมของแอสซาซินหนุ่มดำเนินการ

“ขอบคุณผู้บัญชาการ !!! ฉันจะรีบจบการต่อสู้นี้โดยไวที่สุด !!!” แอสซาซินหนุ่มตอบด้วยสีหน้ากระหาย ก่อนที่เขาจะหันไปหาซือเฟิงและพูดต่อว่า “คุณช่างกล้าหาญและหยิ่งผยองมากจริงๆ !!! มาดูกันว่าคุณจะมีดีอย่างคำพูดคุณไหม !!!”

ทันใดนั้นอักษรรูนศักสิทธิ์ก็สว่างขึ้นทั่วร่างของแอสซาซิน และห่อหุ้มสมาชิกของไมโทโลจี้อีกสามคนไว้ข้างหลังเขา

ออร่าที่ทรงพลังนั้นเริ่มแผ่ออกมาจากแอสซาซินหนุ่ม และมันก็แข็งแกร่งขึ้นในทุกวินาทีที่ผ่านไป และหลังจากผ่านไปสามวินาทีออร่าของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากขนาดนี้สามารถเข้าครอบงำคนในบาร์ได้ทั้งหมดเลย

“ออร่าของเขาทรงพลังมากแค่ไหนกัน ?”

“นี่มันเกือบจะรุนแรงมากพอๆกับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณในเลเวลเดียวกันเลยนะ !!!”

ลูกค้าของบาร์ต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อมองไปยังแอสซาซินหนุ่ม

“นี่คือหนึ่งในรากฐานของไมโทโลจี้งั้นหรอ ?” สถานการณ์นี้ทำให้ชายผู้โหดเหี้ยมจากหัวใจพายุตกตะลึง

แม้ว่าออร่าจะไม่ได้บอกถึงความแข็งแกร่งทั้งหมดของผู้ที่มีมัน แต่อย่างน้อยมันก็สามารถจะบอกความแข็งแกร่งของผู้ที่มันได้ในระดับหนึ่งเลย

ในระยะนี้ของเกม ผู้เล่นขั้นสามนั้นยังคงจะต้องดิ้นรนเพื่อเอาชนะลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ในเลเวลเดียวกัน และในหุบเขาดาวนั้น ผู้เล่นก็ไม่สามารถจะใช้สกิลเบอเซิกร์ได้ด้วย หากผู้เล่นมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณ ในเลเวลเดียวกัน พวกเขาจะสามารถเคลื่อนที่ผ่านหุบเขาดาวได้อย่างไร้ขีดจำกัดด้วยซ้ำ และด้วยพลังแบบนี้แม้แต่การฆ่าแท๊งเกอร์ขั้นสาม มันก็จะทำได้ง่ายเหมือนกับตบแมลงวัน

ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่ได้เอาจริงอีกงั้นหรอ ? ฟิธาเลียมองไปยังฉากนี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงออร่าที่รุนแรงของแอสซาซิน เธอก็เริ่มสิ้นหวัง

เธอนั้นหวังว่าผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรก และผู้เชี่ยวชาญอีกห้าคนของสภาสิบแปดปีกที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว มันจะเพียงพอในการปราบปรามผู้เชี่ยวชาญที่บุกเข้ามาของไมโทโลจี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นผู้เล่นในชุดเสื้อคลุมสีดำตรงนี้แล้ว เธอก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันน่าหัวเราะมากๆ

ผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมากพอๆกับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณในเลเวลเดียวกันนั้นจะสามารถต่อสู้กับมอนสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ได้สบายๆเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว เทคนิคการต่อสู้ของผู้เล่นนั้นทำให้พวกเขาสามารถผลักดันการต่อสู้ไปจนถึงขีดจำกัดได้ และมันก็อาจจะเกินกว่านั้นด้วยซ้ำ

นอกเหนือจากมังกรศักสิทธิ์ของป้อมปราการแสงดาวแล้ว มันจะไม่มีใครในป้อมสามารถที่จะหยุดแอสซาซินตรงหน้าเธอได้เลย

“วงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูง ?” ซือเฟิงพึมพำ เมื่อเขาเห็นอักษรรูนศักสิทธิ์เคลือบร่างกายของแอสซาซินหนุ่ม
“ดูเหมือนคุณจะรู้มากจริงๆ !!! แต่ยังไงมันก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก !!!” แอสซาซินหนุ่มเลียริมฝีปากของเขาก่อนจะพูดต่อว่า “ตอนนี้ฉันจะสอนคุณว่าการตัดสินใจแบบนี้ของคุณมันโง่แค่ไหน !!!”

จากนั้นแอสซาซินก็ก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไปทันที ตอนนี้ทั้งเขาและออร่าของเขาไม่สามารถจะตรวจพบได้เลยภายในบาร์ และมันก็ราวกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนตั้งแต่แรก

“ฉันเดาว่าหัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีกจะตายแน่นอนในครั้งนี้ …” โครว์ ผู้บัญชาการของหัวใจพายุกล่าวพลางหลับตาลง

แอสซาซินหนุ่มคนนี้นั้นไม่เพียงแต่จะมีค่าสถานะพื้นฐานเทียบเคียงได้กับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณ แต่เขายังสามารถจะปกปิดออร่าของเขาได้อย่างสมบูรณ์ด้วย โครว์นั้นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงออร่าของชายหนุ่มผู้นี้เลย และด้วยความสามารถแบบนี้แอสซาซินผู้นี้จึงจัดว่าแทบจะเป็นอมตะเลยในหมู่ผู้เล่นขั้นเดียวกัน

การต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญนั้นมักจะรวดเร็วมากๆจนไม่สามารถมองเห็นได้ทันด้วยตาเปล่า ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงมักจะต้องพึ่งพาประสาทสัมผัสทั้งห้าของพวกเขาในระหว่างการต่อสู้ ไม่งั้นคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะเข้าครอบงำพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้แอสซาซินหนุ่มได้หายไปแล้ว และผู้เล่นนั้นก็ไม่สามารถจะพึ่งพาสายตาของพวกเขาเพื่อตามให้ทันกับความเร็วที่น่ากลัว และการพยายามจะทำจริงๆนั้นมันก็นับเป็นเรื่องตลกอย่างมาก

เราจะจัดการกับศัตรูที่ไม่สามารถถูกตรวจพบได้อย่างไร ?

อย่างไรก็ตามในขณะที่แอสซาซินของไมโทโลจี้หายตัวไป ซือเฟิงก็ไม่ได้รีบร้อนใดๆนัก ก่อนที่เขาจะเฉือนคิลลิงเรย์เข้าไปที่อากาศที่ว่างเปล่า

ตู้ม !!

ทันใดนั้นเสียงของโลหะที่กระทบกันก็ดังขึ้นในบาร์แสงดาว และผลกระทบอันรุนแรงนี้มันก็ทำให้พื้นที่โดยรอบแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยผู้เล่นทุกคนในระยะสามสิบหลาจากนักดาบนั้นก็ต้องถูกบังคับให้ถอยกลับไปเลยจากคลื่นกระแทก

หลังจากที่ทุกคนได้ยินเสียง และได้รับผลของการปะทะกันครั้งนี้ พวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีร่างๆหนึ่งปลิวเข้าไปกระแทกกับกำแพงทางด้านขวาของซือเฟิง เยื้องไปหน่อย ซึ่งร่างนี้นั้นมันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกแอสซาซินหนุ่มที่หายไปเมื่อครู่ ….