บทที่ 582 เปลี่ยนภาพลักษณ์
“หลานเซียงแปลว่าอะไรหรือ” โอลิเวอร์ถามด้วยความมึนงง เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับภาษาและวัฒนธรรมทั้งหลายในแต่ละอาณาจักรภายในมิติอื่น แต่เขากลับจนหนทางเมื่อเจอกับคำที่ลูเซียนคิดค้นขึ้น
ลูเซียนตอบอย่างเคร่งขรึมและจริงใจ “แม้ว่าโรงเรียนประเภทนี้จะยึดหลักจากระบบลูกมือฝึกหัด แต่ตัวมันเองก็นับเป็นรูปแบบใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย นักเรียนจะไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด และพวกเขาก็จะได้รับค่าจ้างหลังจากเข้าไปทำงานในโรงงานแปรธาตุ เพียงแต่ว่าค่าจ้างของพวกเขาจะต่ำกว่าและระยะเวลาของสัญญาก็จะยาวนานกว่า ดังนั้น ข้าจึงสร้างศัพท์ใหม่ขึ้นว่า หลานเซียง[1] มันคือชื่อสำหรับโรงเรียนประเภทนี้ที่มีความหมายของคำว่าความฝันอยู่ด้วย”
“ทุกคนคิดเห็นอย่างไรขอรับ”
แอตแลนต์กล่าวยิ้มๆ ด้วยดวงตาปิดสนิท “ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวคิดเรื่องการสนับสนุนโรงเรียนสายสามัญและโรงเรียนสายวิชาชีพ แต่มันมีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่ง ในระบบลูกมือฝึกหัด ตราบใดที่เจ้าได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างลูกมือฝึกหัด คนผู้นั้นจะต้องทำงานกับโรงงานแปรธาตุโดยไม่รับค่าแรงใดๆ เป็นเวลาสิบปี ทั้งหมดที่เราต้องเตรียมไว้ให้ก็คือที่พักและอาหาร ทว่า หลานเซียงนั้น… หลานเซียงต้องการให้โรงงานแปรธาตุจ่ายค่าเล่าเรียนให้ล่วงหน้าและยังต้องรับผิดชอบงานของลูกมือฝึกหัดทั้งหมดหลังจากเรียนจบอีกด้วย ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะยินดีทำเช่นนั้น เว้นแต่ว่าสภากับอาณาจักรต่างๆ จะข่มขู่ให้ทำ”
“ท่านแอตแลนต์ขอรับ ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว ระบบลูกมือฝึกหัดในอดีตไม่อาจสนองความต้องการของโรงงานแปรธาตุในปัจจุบันได้ ข้าไม่คิดว่าท่านต้องให้ข้าอธิบายอะไรเพิ่มเติม มันมองเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าลูกมือฝึกหัดของสภานั้นแทบทั้งหมดกลายเป็นนักเรียนในสำนักศึกษาต่างๆ
“ข้าจะลองพูดคุยกับบริษัทที่ข้าถือส่วนแบ่งอยู่และขอให้พวกเขาลงทุนให้กับหลานเซียงแห่งแรก ภายในสองสามปี เมื่อต้นทุนต่ำลงและตลาดก็ขยายใหญ่ขึ้นภายใต้การสนับสนุนของแรงงานมืออาชีพอย่างต่อเนื่อง โรงงานแปรธาตุอื่นๆ ก็อาจจะขาดแคลนคน เงินลงทุนของบริษัทสำหรับการศึกษาล่วงหน้าจะได้รับคืนจากกำไรที่ได้อย่างไรล่ะขอรับ”
ลูเซียนแสดงท่าทางว่าเขามิได้กำลังบังคับให้ใครทำอะไร การทำให้ผู้คนยอมเสียเงินนั้นเป็นเรื่องยากเสมอ ต้องขอบคุณที่เขาหาใช่เด็กหนุ่มที่ต้องคอยวิ่งเต้นหาที่คุ้มภัยอีกต่อไปแล้ว บัดนี้ เขาได้กลายเป็นสมาชิกของสภาสูงสุดที่มีขุมกำลังและทรัพย์สินเป็นของตนเอง เขาคือผู้ที่สามารถทิ้งคนอื่นๆ ไว้เบื้องหลังและสร้างตัวอย่างให้พวกเขาเดินตามรอยได้
นอกจากนี้ ต้นทุนที่แท้จริงย่อมไม่สูงจนเกินไป เขาสามารถขอให้นาตาซามอบอารามหลวงที่มีอยู่มากมายให้กับเขาเพื่อทำเป็นโรงเรียน และเขาก็จะสร้างภารกิจด้วยคะแนนอาร์คานาเพื่อให้นักเวทและนักเวทฝึกหัดที่จบการศึกษาไปแล้วมารับหน้าที่สอน อีกอย่าง พอเข้าสู่ภาคการศึกษาที่สอง เขาก็สามารถจัดสรรให้นักเรียนไปทำงานในโรงงานแปรธาตุในฐานะ ‘เด็กฝึกงาน’ ในช่วงที่พวกเขามีเวลาว่าง เพื่อที่เงินลงทุนล่วงหน้าส่วนหนึ่งของเขาจะได้รับคืนมาบ้าง
เมื่อเห็นท่าทีของลูเซียน แอตแลนต์และนักเวทคนอื่นๆ ที่ยังไม่เชื่อถือก็ค่อยโล่งอก เขาพยักหน้ายิ้มๆ “เป็นเช่นนั้น ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว ของเก่าๆ ควรจะถูกกลบฝังไปพร้อมกับอดีต ข้าขอเสนอให้สภาสูงสุดลงคะแนนในเรื่อง ‘หลานเซียง’ เราจะเป็นผู้กระตุ้นให้โรงงานแปรธาตุลงทุนแต่จะไม่บังคับพวกเขา อีวานส์ หากเจ้าอยากจะสร้างสักที่ ข้าขอร่วมด้วย”
ดักลาสปรบมือเบาๆ “ข้าเห็นด้วยกับแนวคิดนี้เช่นกัน บริษัทโทรศัพท์และโทรเลขอัลลินและบริษัทอื่นๆ ที่สภาเวทมนตร์เป็นเจ้าของจะลงทุนก่อนเพื่อเป็นตัวอย่าง”
ในเมื่อมิมีการบังคับให้ลงทุน สมาชิกทุกท่านในสภาสูงสุดจึงยกมือขึ้น บรรยากาศเป็นไปในทางราบรื่นกลมเกลียว
“ยังมีปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง เพียงการสนับสนุนจากสภาเวทมนตร์กับคณะผู้ปกครองในอาณาจักรจะเพียงพอต่อการทำให้โรงเรียนสายสามัญเป็นที่นิยมหรือไม่ บรรดานักเรียนจะตกงานหรือไม่หลังจากจบการศึกษา ต้องพึงระลึกไว้ว่าระบบลูกมือฝึกหัดนั้นสามารถตอบสนองความต้องการให้กับทุกคนได้ ยกเว้นโรงงานแปรธาตุ อีกอย่างคือ มันต่างจากนักเรียนของ ‘หลานเซียง’ พวกเขาจะไม่ถูกหล่อหลอมมาให้เข้ากันได้กับโรงงานแปรธาตุนั้นๆ หากว่าพวกเขาต้องเสียเงินมากมายเพียงเพื่อจะค้นพบว่าชีวิตตนเองนั้นมิได้มีการพัฒนาใดๆ เลย ก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะเกลียดชังเราและกลับไปสู่อ้อมกอดของพระเจ้าแห่งสัจธรรม นั่นคงไม่ตรงกับที่เราหวังไว้นัก” แอตแลนต์เป็นผู้ที่เก่งกาจด้านการใคร่ครวญหาสิ่งที่ผู้คนอาจจะคิด
ลูเซียนแย้มยิ้ม “ท่านแอตแลนต์ขอรับ การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยคือปฏิกิริยาลูกโซ่ เมื่อจำนวนแรงงานเฉพาะทางด้านการแปรธาตุมีมากขึ้น ความมั่งคั่งของสังคมก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน และเมื่อของวิเศษที่จะทำให้ระยะห่างระหว่างแต่ละเมืองสั้นลงถูกคิดค้นขึ้น โครงสร้างสังคมทั้งหมดก็จะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างแน่นอน บางที งานเดียวอาจจะแยกย่อยออกเป็นหลายๆ งานที่ต้องใช้ฝีมือ และสิ่งที่เคยอยู่เหนือจินตนาการมากมายในอดีตก็จะกลายเป็นจริง แต่แน่นอนว่า เราจะควบคุมการวัดผลของหลักสูตรสามัญ มันจะเหมาะสมกับสถานะทางสังคมและการเงินของเรา”
“เช่นนั้นข้าก็มิมีคำใดจะคัดค้าน อีวานส์ เจ้าหาใช่คนสะเพร่าเลยสักนิด” แอตแลนต์ไม่รู้อะไรนักเกี่ยวกับการพัฒนาสังคม แต่ ‘ปรมาจารย์แห่งการแปลงกาย’ สหายเก่าของเขาเป็นนักประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม นางเห็นด้วยกับคำทำนายของลูเซียนที่ว่างานต่างๆ ในสังคมจะแบ่งแยกย่อยออกไปอีก หลังจากพูดคุยกับแอตแลนต์เงียบๆ นางก็ทำให้เขาเลิกแคลงใจ
การอภิปรายเรื่องโรงเรียนสายสามัญดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่ และสภาสูงสุดก็ให้หัวข้อนี้ผ่านการพิจารณาของที่ประชุม โดยปักธงไว้อย่างยิ่งใหญ่ว่านี่คือการโจมตีความศรัทธาของศาสนจักร แต่กระนั้นก็เน้นย้ำว่ามันจะต้องไม่ล้ำเส้น
“ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากจะพูดขอรับ” ลูเซียนพบว่าตนเองเริ่มจะเหมือนประธานในที่ประชุมมากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าขอแนะว่าเราควรจะกำหนดให้โรงงานแปรธาตุมีกฎเรื่องการทำงานเกินเวลาและแรงงานเด็กนะขอรับ โรงงานแปรธาตุจะต้องไม่ใช้งานแรงงานมากจนเกินไป ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้ผู้คนเข้าร่วมกับศาสนจักรมากขึ้น จะเป็นการดีที่สุดหากเวลาทำงานจำกัดอยู่ที่สิบชั่วโมงต่อวัน ส่วนเด็กๆ สามารถว่าจ้างมาทำงานได้ แต่งานของพวกเขาควรจะจัดแบ่งให้เหมาะสมตามอายุ…”
เพราะปัญหาทางด้านการลดความซับซ้อนในการผลิตและการสนับสนุน โรงงานแปรธาตุจึงยังพัฒนาไปได้ไม่ไกล และแรงงานก็มีสุขภาพที่ค่อนข้างดี ดังนั้น ลูเซียนจึงเชื่อว่าข้อกำหนดเหล่านี้ควรจะสร้างขึ้นก่อนที่โรงงานแปรธาตุจะหลงระเริงไปกับผลประโยชน์จากการใช้แรงงานจนเกินพอดี หากทำเช่นนี้จะง่ายกว่ามาก
ส่วนแรงงานเด็กนั้นคงทำได้เพียงประนีประนอมอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากยังขาดแคลนระบบมูลนิธิที่ดี เด็กกำพร้าหลายคนจึงจำต้องหางานทำเพื่อมีชีวิตรอด เขาคงมิอาจทำตามความฝันได้โดยไม่สนใจสถานการณ์ความเป็นจริง ซึ่งมีแต่จะทำร้ายเด็กเหล่านี้
“ข้าไม่คิดว่าเราจำเป็นจะต้องคุยเรื่องไร้สาระเช่นนั้นในสภาสูงสุดนะ” ‘แดนป้องกันขั้นสูงสุด’ อะทาแมนหยุดลูเซียนเอาไว้ไม่ให้พูดต่อ “การตั้งข้อกำหนดให้กับโรงงานแปรธาตุและการดูแลคนงานให้ดีขึ้นถือเป็นเรื่องเหมาะสมสำหรับเป้าหมายในการปรับปรุงภาพลักษณ์ของนักเวทก็จริง แต่ทั้งหมดที่เราจำเป็นต้องทำก็คือเสนอแนวคิด เรื่องรายละเอียดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการเถิด”
โอลิเวอร์เองก็เอ่ยแทรกขึ้น “อีวานส์ ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสภาสูงสุดแล้วนะ เจ้าไปบอกให้คณะกรรมการกิจการร่างกฎขึ้นตามแนวคิดของเจ้ามาก่อนแล้วค่อยนำเสนอให้ทุกคนดู เราไม่จำเป็นจะต้องหารือกันเรื่องมาตรายิบย่อยในตอนนี้หรอก เวลาของทุกคนมีค่ามากนะ”
ลูเซียนค้อมศีรษะลงเล็กน้อย บอกเป็นนัยๆ ว่าเขายังคงต้องปรับสภาพกับตัวตนใหม่ของเขาอยู่ เขาหาใช่ผู้ลงมือทำตามคำสั่งอีกต่อไปแล้ว แต่คือผู้เสนอแนะ ผู้พิจารณา และผู้บริหารที่มีสิทธิตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ทว่า หลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของโอลิเวอร์ ลูเซียนก็นึกไปถึงวิธีการที่เขาพยายามโน้มน้าวผู้มีอำนาจในเรื่องปัญหาสภาวะแวดล้อมขึ้นมาอีกครา เขาต้องไปเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับผู้มีตำแหน่งและอิทธิพลมากมายเพื่อให้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกิจการในข้อกำหนดคล้ายๆ กันนี้ ในท้ายที่สุด เขาก็ต้องไปนำเสนอความคิดเห็นในห้องประชุมของคณะกรรมการกิจการและตอบคำถามของพวกเขา ตัวเขาไม่แม้แต่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการการตัดสินใจ ได้แต่เพียงรอผลพิจารณาเท่านั้น แต่ในตอนนี้ โอลิเวอร์กลับบอกเขาว่าให้ปล่อยคณะกรรมการกิจการร่างข้อกำหนดไป ราวกับว่าเรื่องนี้มิได้สำคัญอะไรเลย
‘นี่คือความรู้สึกของการยืนอยู่บนเหนือนักเวททั้งปวงสินะ…’ ลูเซียนอุทานในใจด้วยความรู้สึกหลากหลาย’
ในสภาสูงสุด ประธานคณะกรรมการกิจการคือมหาจอมเวทผู้ดูแลอารักขาอัลลินและจะเปลี่ยนทุกๆ ห้าปี รองประธานคือโอลิเวอร์ อะทาแมน และราชันแห่งสุริยา ผู้มีความเก่งกาจทางด้านการต่อสู้หรือไม่ก็จัดการกิจการภายใน พวกเขาจะเป็นผู้นำการทำภารกิจภายนอกหรือการออกสำรวจไปยังมิติอื่นๆ
ในเมื่อข้อกำหนดของโรงงานแปรธาตุยังไม่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียฉับพลันอันใด สมาชิกสภาสูงสุดคนอื่นๆ จึงมิได้คัดค้าน พวกเขาหารือกันเพิ่มเติมเรื่องการควบคุมดูแลเขตการปกครองของพวกเขา การก่อสร้างป้อมปราการทั้งสามและเรือเหาะอีกหลายลำ
ลูเซียนไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านี้จึงทำเพียงนั่งฟัง อย่างไรเสีย แม้แต่เรือเหาะรูปร่างดูเทอะทะนี้ก็ยังแตกต่างจากภาพที่เขาจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าพวกมันจะบินได้ช้า แต่กลับมีวงแหวนเวทและวงแหวนพลังศักดิ์สิทธิ์มากมายสร้างประทับไว้ ทำให้พวกมันกลายเป็นปราการป้องกันลอยฟ้า การโจมตีทั่วไปมิอาจสร้างความเสียหายให้พวกมันได้เลย นับว่าพวกมันมีข้อได้เปรียบมากมายที่เครื่องบินไม่มี
สำหรับเครื่องบินขนาดใหญ่แล้ว มันหาได้จำเป็นสำหรับนักเวทระดับสูง ส่วนนักเวทที่มีระดับต่ำลงมา รถไฟหัวจักรเวทมนตร์ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการเชื่อมต่อสถานที่ต่างๆ ด้วยรางรถไฟ
การประชุมมาถึงช่วงสุดท้ายโดยที่เขาไม่รู้ตัว ลูเซียนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ทุกท่านขอรับ ณ เวลานี้ เกียรติสูงสุดในทุกๆ สำนักเวทมนตร์เป็นขององค์กรและอาณาจักรต่างๆ แทนที่จะเป็นของสภาเวทมนตร์ ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่ง ในเมื่อตำแหน่งทรงเกียรติสูงสุดของอาร์คานาและเวทมนตร์คือมหาจอมเวทที่ได้รับแต่งตั้งจากสภา เกียรติสูงสุดก็ควรจะเป็นรางวัลที่ทางสภาจัดตั้งขึ้นนะขอรับ แล้วอีกอย่างคือ อาร์คานากำลังพัฒนาก้าวไกลเร็วขึ้นพร้อมกับความสำเร็จที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ มาตรฐานของเราควรจะเข้มงวดกว่านี้ขอรับ ไม่ใช่แค่ว่าผู้มีเกียรติจะต้องมีประวัติความสำเร็จเท่านั้น แต่พวกเขายังจำเป็นต้องมีคำอธิบายเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับความสำเร็จนั้นๆ เป็นของตัวเองอีกด้วย”
“หากว่าทางสภายินดีจัดตั้งรางวัลประเภทนี้ขึ้นมา ข้าจะขอสนับสนุนเงินทุนด้วยส่วนแบ่งหนึ่งในสามของข้าเพื่อกระตุ้นการพัฒนาของอาร์คานาและเวทมนตร์ขอรับ”
หลังจากที่เขากลายเป็นนักเวทชั้นตำนาน วัตถุดิบส่วนใหญ่ที่เขาต้องการก็กลายเป็นของล้ำค่าเกินกว่าจะซื้อหาได้และจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยของชิ้นอื่น ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้วส่วนแบ่งรายได้นั้นไม่มีความสำคัญใดๆ สำหรับลูเซียนเลย เขาจึงคิดนำมาใช้เพื่อชดเชยชื่อเสียงฉาวโฉ่ในฐานะปีศาจบดศีรษะเสียจะดีกว่า
“เจ้ายินยอมใช้ส่วนแบ่งรายได้ถึงหนึ่งในสามเลยหรือ” ดักลาสหันไปมองลูเซียนด้วยความประหลาดใจ
เพราะบริษัทโทรศัพท์และโทรเลขอัลลินยังอยู่ในช่วงก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนแบ่งที่ลูเซียนจะได้รับนั้นจึงมีมากกว่าหนึ่งหมื่นธาเล หนึ่งในสามจากจำนวนนั้นแทบจะเรียกว่าเป็นเงินสนับสนุนก้อนใหญ่เลยทีเดียว
ลูเซียนพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง “ขอรับ นั่นคือความปรารถนาของข้า”
“ทุกคนว่าอย่างไร มีใครจะคัดค้านหรือไม่” ดักลาสมองไปทางคนอื่นๆ โดยเฉพาะแฮททาเวย์ แอตแลนต์ และเฮลเลน
แฮททาเวย์ตอบสั้นๆ “ก็มิใช่เรื่องแย่ที่สภาจะจัดตั้งรางวัล”
อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเอง และมาตรฐานก็สูงมากเสียจนอาจมิมีผู้ใดชนะรางวัลนี้ไปหลายสิบปี ดังนั้น คนอื่นๆ จึงมิได้คัดค้านเมื่อเห็นว่าตอนนี้ดักลาสดูจะสนอกสนใจ
ดักลาสหัวเราะ “ในเมื่อตอนนี้ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน เราก็จะจัดตั้งรางวัลสำหรับสำนักเวทมนตร์ทั้งสิบเอ็ด ส่วนชื่อรางวัล จะเป็นรางวัลลูเซียน อีวานส์ แบ่งแยกย่อยเป็นรางวัลอีวานส์สาขาเวทธาตุ รางวัลอีวานส์สาขาโหราศาสตร์ และอื่นๆ ของรางวัลจะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับแปดขั้นสมบูรณ์แบบ”
……………………………….
[1] คือชื่อโรงเรียนอาชีวศึกษาของประเทศจีนที่มีชื่อเสียงมาก บางครั้งจะเรียกว่า Blue Fly (หลานแปลว่าฟ้า เซียงแปลว่าบิน) แปลเป็นภาษาไทยก็คือ ‘โบยบินไปบนฟ้า’