บทที่ 332 ร่ำรวยเพียงชั่วข้ามวัน
วินาทีแรกที่นกฟีนิกซ์เผยตัวออกมาจากเศษของยันต์เคลือบหยก ขนาดตัวของมันนั้นเล็กแค่เพียงเท่าฝ่ามือเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าร่างกายของมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเพียงชั่วพริบตาร่างสีทองอร่ามของมันก็ขยายขึ้นจนมีขนาดกว่า 100 เมตร
ในเวลานี้ จู้กวงเหยาที่ใกล้จะทำลายค่ายกลได้อยู่แล้วนั้น แต่นกฟีนิกซ์ขนาดใหญ่นี้กลับพุ่งขึ้นขวางการโจมตีของเขาอย่างพอดิบพอดี
เดิมทีเมื่อ ‘นกฟีนิกซ์’ ตัวนี้ออกมาจากยันต์เคลือบหยก มันเองก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าใครที่เป็นเป้าหมายของมันที่มันจะต้องโจมตี เพราะในขณะที่เหวินลู่หยานเรียกมันออกมานั้น นางทำแต่เพียงมอบพลังวิญญาณของนางเพื่ออัญเชิญมันออกมาแค่เท่านั้น นางไม่ได้ใส่ความประสงค์ของนางที่ต้องการสังหารจู้กวงเหยา และคนของเขาลงไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าสวรรค์เป็นใจที่การโจมตีของจู้กวงเหยากลายเป็นการชี้นำให้นกฟีนิกซ์รู้ว่ามันควรจะโจมตีใครกันแน่ มันหันไปเผชิญหน้ากับการโจมตีของจู้กวงเหยา และเปล่งรัศมีสีทองออกมาจากร่างเพื่อทำลายกระบี่จนสลายกลายเป็นเสี่ยง ๆ จากนั้นมันสยายปีกและหมุนตัวควงปล่อยลำแสงสีทองออกจากปีกของมันนับร้อยสาย พลางร่อนผ่านพวกของจู้กวงเหยา ซึ่งกำลังยืนตื่นตะลึงกันอยู่
“ช่างงดงามอะไรเช่นนี้!” จู้กวงเหยาพึมพำกับตัวเอง
หลังจากพึมพำจบประโยค ร่างของจู้กวงเหยาและคนของเขาทั้งหมดก็ถูกห้อมล้อมด้วยลำแสงสีทอง ส่งผลให้ร่างของพวกเขามอดไหม้กลายเป็นจุลเหลือแต่เถ้ากระดูกภายในพริบตา
“นายท่าน ภาพของฟีนิกซ์ตัวนี้ที่อยู่ในยันต์เคลือบหยกมันคือกระบวนท่าที่ถูกวาดขึ้นโดยจิตรกรระดับสูง ที่จดจำภาพของมันมาจากหนึ่งในผู้อาวุโสของภูเขาฟีนิกซ์ที่เคยแสดงทิ้งเอาไว้อย่างใช่ไหม?” โม่เอ๋อถามด้วยสีหน้าโง่งม
นางที่เกิดในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับเหนือล้ำ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นางสามารถบอกได้ว่าฟีนิกซ์ที่ออกมาจากยันต์เคลือบหยกนั้นมันคือภาพวาดของกระบวนท่าที่ถูกบันทึกมาจากผู้อาวุโสผู้หนึ่งที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากจนนางเองก็เดาไม่ออกว่าอยู่ในระดับไหน
ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวของอำนาจที่แสดงออกมาเมื่อครู่ก็คือ ผู้ที่ใช้ภาพนี้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญเท่านั้น
ถ้าหากเมื่อครู่เป็นนางเองที่เป็นคนเปิดใช้งานมัน นางสามารถรับประกันได้ว่าร่างของ จู้กวงเหยาและคนของเขาจะไม่มีแม้แต่เถ้ากระดูกเหลือไว้ให้ดูแม้แต่น้อย
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จะมีก็แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิขึ้นไปของภูเขาฟีนกซ์เท่านั้นที่สามารถใช้กระบวนท่านี้ได้! นี่คือหนึ่งในท่าไม้ตายของคัมภีร์คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งกระบวนท่านี้มันถูกเรียกว่า ระบำฟีนิกซ์เย้ยเก้าสวรรค์”
“โอ้!” โม่เอ๋อพยักหน้าโดยไม่รู้ตัวและไม่ถามอะไรต่อ
หลิงตู้ฉิงที่ตอนนี้กำลังยืนมองผ่านหน้าต่างห้องไปที่เหวินลู่หยานที่กำลังตกตะลึง เขาหันกลับมาและนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นเขาก็นำเตาหลอมโอสถออกมาและเริ่มหลอมโอสถบางอย่าง
ในขณะนี้เหวินลู่หยานรู้สึกตกตะลึงกับฉากต่อหน้าต่อตาของนาง
อำนาจของกระบี่นั่นที่จู้กวงเหยาแสดงขึ้นแม้เพียงแค่รัศมีของมันก็เกือบที่จะทำลายค่ายกลป้องกันได้แล้ว แต่ภาพของนกฟีนิกซ์ที่อยู่ในยันต์เคลือบหยกนี้กลับมีอำนาจเหนือล้ำถึงขนาดที่ทำลายมันได้ แถมยังสามารถสังหารจู้กวงเหยาได้ภายในพริบตา?
นางมองไปที่เศษซากของกระดูกไม่กี่ชิ้นตรงหน้านางราวกับว่านางกำลังฝัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันรวดเร็วและน่าตื่นตะลึงเกินไป เพียงชั่วพริบตาเดียวจากที่สำนักของนางกำลังจะถูกทำลายลงแต่แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างกลับถูกคลี่คลายได้ในชั่วเวลาเพียงพริบตา
ไม่ต้องพูดถึงเหวินลู่หยาน แม้แต่บรรดาคนของหุบเขาบุปผาอนันต์ทั้งหมดของนางก็รู้สึกโง่งมและพูดอะไรไม่ออกกับสิ่งที่พวกเขาเพิ่งได้เห็น
“เจ้าสำนัก มันคือ…” หวงลี่และเหล่าผู้อาวุโสของนางต่างก็มองไปที่เหวินลู่หยานทีละคน “สิ่งนั้นมันคืออะไรกัน…?”
เนื่องจากพวกเขาไม่เห็นยันต์เคลือบหยกที่อยู่ในมือของเหวินลู่หยานตอนที่นางกำลังใช้งานมัน พวกเขาจึงไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับยันต์เคลือบหยก
เหวินลู่หยานตอบกลับด้วยสีหน้าเหม่อลอย “มันคือภาพวาดที่คุณชายหลิงมอบให้กับข้าเพื่อเป็นรางวัลที่สำนักของเราทำตามคำสั่งของเขาเป็นอย่างดี ซึ่งข้ายังได้ยินมาจากสาวรับใช้ที่อยู่ข้างกายของคุณชายว่าภาพนี้ถูกวาดขึ้นโดยจิตรกรระดับตำนาน”
ความสัมพันธ์ของนางกับเหล่าผู้อาวุโสของนางนับได้ว่าแน่นแฟ้นกันเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางจึงบอกพวกเขาตามตรง
จิตรกรในตำนาน? บรรดาพวกผู้อาวุโสต่างรู้สึกตะลึงเมื่อได้ยินคำนี้ “นี่เขาถึงกับมีภาพวาดของจิตรกรอยู่ด้วยงั้นหรือ?”
เหวินลู่หยานหันหน้าไปมองทิศทางห้องของหลิงตู้ฉิง ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมคนเช่นเขาที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่กลับสามารถมีคนรับใช้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ
ถ้าหากนางที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญยังสามารถสังหารจู้กวงเหยาได้ง่าย ๆ เช่นนี้แล้วถ้าหากให้ผู้บ่มเพาะระดับเหนือล้ำเป็นผู้ใช้แทนอำนาจที่ปลดปล่อยออกมาของมันจะรุนแรงไปถึงขนาดไหนกัน?
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลาที่จะคิดถึงเรื่องดังกล่าว
นางมองไปที่กองกระดูกและเดินไปหยิบสมบัติวิเศษกับแหวนมิติที่หล่นอยู่บนกองกระดูก
เหวินลู่หยานรู้สึกตื่นเต้นมากที่มีสมบัติวิเศษถึง 5 ชิ้นหล่นอยู่และแหวนมิติอีก 10 กว่าวง
“เจ้าสำนัก พวกเรารวยแล้ว!” หวงลี่ และคนอื่น ๆ ตื่นเต้นอย่างมากในขณะที่พวกนางพูด
เมื่อครู่สำนักของพวกนางเกือบที่จะถูกพวกของจู้กวงเหยาและผู้อาวุโสของเขาทำลายสำนัก ดังนั้นลืมไปได้เลยที่พวกนางจะคืนสิ่งของเหล่านี้ให้กับสำนักกระบี่วารี และอีกอย่างต่อให้พวกนางคืนสิ่งของเหล่านี้ไปให้กับบรรดาคนของสำนักกระบี่วารี แต่ด้วยการกระทำของพวกนางที่สังหารทั้งเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของพวกเขาไปเป็นจำนวนมาก ต่อให้คืนสิ่งของไปพวกเขาคงก็ไม่มีวันยอมเลิกรากับพวกนางง่าย ๆ แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่พวกนางจะคืนของ!
ขณะนี้ศิษย์คนอื่น ๆ ของหุบเขาบุปผาอนันต์ก็ตื่นเต้นเช่นกันเพราะภาพที่พวกนางเห็นเมื่อครู่มันทำให้รู้ได้ทันทีว่าสำนักของพวกนางแข็งแกร่งขนาดไหน
แม้ว่าพวกนางจะไม่รู้ว่าเจ้าสำนักทำได้อย่างไร แต่ด้วยการมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้คอยปกป้องสำนัก พวกนางมั่นใจว่าในอนาคตคงไม่มีใครที่จะกล้าเข้ามารังแกพวกนางในหุบเขาบุปผาอนันต์อีกแน่นอน
เมื่อรู้สึกสบายใจกับจุดยืนของพวกนางในอนาคตแล้ว ถัดมาทุกคนต่างก็มองไปที่แหวนมิติในมือของเหวินลู่หยานอย่างใจจดใจจ่อ พลางคิดในใจว่าสินสงครามเหล่านี้พวกนางจะได้รับส่วนแบ่งจากมันบ้างหรือเปล่า? ซึ่งความคิดเช่นนี้แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ยังคิดพลางมองไปที่สมบัติวิเศษในมือของเหวินลู่หยานด้วยความรู้สึกโหยหา
เหวินลู่หยานปรับสภาพจิตใจของนางอย่างรวดเร็ว นางเหลือบมองไปที่ผู้คนรอบ ๆ ตัวและพูดว่า “ข้ารู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ความสำเร็จนี้ที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้เกิดมาจากพวกเรา ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายหลิงที่วางค่ายกลและมอบภาพวาดให้พวกเรามา พวกเราทุกคนคงจะหนีไม่พ้นชะตากรรมที่จะต้องถูกกำจัดและถูกข่มเหง ดังนั้นสมบัติเหล่านี้ทั้งหมดที่เป็นสินสงครามที่อยู่ในมือข้ามันก็สมควรที่จะถูกนำไปคืนให้กับคุณชายหลิงเนื่องจากถ้าไม่มีเขา ข้าเองคงไม่มีทางสังหารบรรดาคนจากสำนักกระบี่วารีได้แน่นอนอยู่แล้ว”
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าโดยไม่ออกความเห็นอะไร พวกนางรู้ว่าเหวินลู่หยานพูดถูก แม้ว่าหัวใจของพวกนางจะเต็มไปด้วยความปรารถนา แต่ก็ไม่สามารถหาข้อโต้แย้งอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้ได้
ดังนั้นเหวินลู่หยานจึงนำสมบัติวิเศษทั้ง 5 ชิ้นและแหวนมิติอีก 13 วงไปที่ห้องของ หลิงตู้ฉิง
แต่ก่อนที่นางจะได้เข้ามาในห้องของหลิงตู้ฉิง โม่เอ๋อได้เดินออกมาก่อนและพูดกับเหวินลู่หยาน “นายท่านบอกว่าสิ่งของที่เจ้าได้รับมาทั้งหมดในวันนี้มันจะเป็นของของเจ้าทั้งหมด เนื่องจากพวกเราไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผลการต่อสู้ของเจ้ากับสำนักกระบี่วารีแม้แต่น้อย ดังนั้นมันสมควรแล้วที่เจ้าจะเก็บสิ่งของเหล่านี้เอาไว้กับตัวเอง”
“แม่นางโม่เอ๋อ ถึงแม้ว่าเจ้านายของเจ้าจะไม่ได้ลงมืออะไรก็จริง แต่การที่ข้าสามารถเอาชนะสำนักกระบี่วารีได้นั้นก็มาจากสิ่งของที่นายท่านของเจ้ามอบให้ทั้งนั้น ดังนั้นอย่างน้อย ๆ ข้ารบกวนเจ้าช่วยเอาสิ่งของเหล่านี้ไปให้กับคุณชายหลิงจะได้ไหม อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ข้ามีต่อเขา” เมื่อเหวินลู่หยานพูดจบ นางก็หยิบบรรดาสมบัติวิเศษและแหวนมิติออกมา
โม่เอ๋อตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “นายท่านได้พูดเอาไว้แล้วว่าจะมอบพวกมันให้กับเจ้า ดังนั้นข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์รับมันมาจากเจ้า เจ้าจงเก็บมันไว้กับตัวเองเถอะ และถ้าพวกเจ้าอยากตอบแทนนายท่านของข้าจริง ๆ เจ้าก็แค่รีบ ๆ ทำภารกิจที่นายท่านมอบหมายให้เสร็จไว ๆ แค่นั้นก็พอ”
เมื่อพูดจบ โม่เอ๋อก็เดินกลับเข้าไปในห้อง
ด้านนอกประตู เหวินลู่หยานตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็ไม่ดึงดันอีกต่อไปและรีบจากไปแจกจ่ายสิ่งของให้กับผู้คนในสำนักของนางด้วยความตื่นเต้น