บทที่ 333 ทำลายสำนักด้วยคนคนเดียว

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 333 ทำลายสำนักด้วยคนคนเดียว

เหตุการณ์ที่สำนักกระบี่วารีโจมตีหุบเขาบุปผาอนันต์ ล้วนอยู่ในการจับจ้องของสำนักอื่น ๆ

ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาสำนักธรรมดาที่จับจ้องอยู่นั้นพวกเขาไม่สามารถแทรกแซงการโจมตีของสำนักกระบี่วารีได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่เฝ้าดูสำนักกระบี่วารีได้รับผลประโยชน์ไปแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

สำหรับสำนักวิญญาณเร้นลับ พวกเขาไม่มีท่าทีใด ๆ เลย

ในตอนแรกทุกคนที่เฝ้าดูพวกเขาแค่รู้สึกสนุนสนานในหายนะของผู้อื่นและรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่พวกเขาต้องปล่อยให้สำนักกระบี่วารีได้รับผลประโยชน์ไปแต่เพียงผู้เดียว

แต่แล้วจู่ ๆโดยที่ไม่มีใครคาดคิดทัน สถานการณ์ก็พลิกกลับจนพวกเขาต้องอ้าปากค้าง

ไม่เพียงแต่หุบเขาบุปผาอนันต์จะปลอดภัย แต่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่เข้าโจมตียังถูกสังหารอย่างแปลกประหลาด

สีหน้าของทุกคนต่างเต็มไปด้วยความตกใจ ขณะที่พวกเขาถอยออกจากบริเวณรอบ ๆ ไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกเขาเกรงว่าจะถูกลูกหลงจนเหลือแต่กระดูกเหมือนกับบรรดาคนของสำนักกระบี่วารี

พวกเขาได้ยินมานานแล้วว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับหุบเขาบุปผาอนันต์ ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ได้เห็นอย่างเต็มตาแล้วถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นว่ามันน่าตื่นตาแค่ไหน

หลังจากที่หลายคนถอยออกไป พวกเขาก็เริ่มมีความคิดอันน่าตื่นเต้นขึ้นมาในใจ เนื่องจากตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเกือบทั้งหมดในสำนักกระบี่วารีถูกฆ่าตาย ดังนั้นความแข็งแกร่งของสำนักกระบี่วารีต้องลดลงอย่างมาก พวกเขาจึงเริ่มวางแผนบุกปล้นสมบัติของสำนักกระบี่วารีที่กำลังอ่อนแออยู่ทันที

จากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เย่หยูหลันก็เป็นอีกหนึ่งคนที่สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณที่เกิดขึ้นข้างนอก นางจึงตั้งใจที่จะรายงานเรื่องนี้ต่อเย่ชิงเฉิง เนื่องจากตอนนี้หลิงตู้ฉิงกำลังเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกนั่น ซึ่งนางเองก็เป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้างเพราะว่าเขามีความสำคัญกับสำนักของนางแถมยังเป็นสามีของคุณหนูของนางอีกต่างหาก

แต่เมื่อนางพยายามที่จะเข้าไปพบกับเยชิงเฉิง นางกลับถูกขัดขวางโดยค่ายกลกระบี่เหินเมฆา ซึ่งทำให้นางไม่สามารถเข้าพบกับเย่ชิงเฉิงได้

“ผู้อาวุโส ท่านไม่ควรรบกวนนายหญิงเย่ในเวลานี้” เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้ม “แต่ถ้าหากท่านจะเข้าพบกับนายหญิงเย่เพราะเรื่องของนายท่าน ท่านก็จงวางใจได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนายท่านแน่นอน”

เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ เย่หยูหลันมองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงและส่ายหัวเล็กน้อย จากนั้นนางก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

ตามความรู้สึกของนาง ความผันผวนของพลังที่เกิดขึ้นด้านนอกเมื่อครู่มันดูรุนแรงมาก หลิงตู้ฉิงจะไม่เป็นอะไรจริง ๆ งั้นเหรอ?

อย่างไรก็ตาม เมื่อนางไม่สามารถเข้าพบกับเย่ชิงเฉิง เพื่อสอบถามความเห็นได้และนางก็ไม่ต้องการไปหุบเขาบุปผาอนันต์เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ความผันผวนของพลังวิญญาณที่เกิดขึ้น ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงรอให้หลิงตู้ฉิงกลับมา

แต่ถ้าจะถามว่าใครที่มีปฏิกิริยารุนแรงที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหุบเขาบุปผาอนันต์ก็คงจะไม่พ้น ลั่วหยุน

เมื่อเขารู้สึกถึงพลังอำนาจของระบำฟีนิกซ์เย้ยเก้าสวรรค์ เขาก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดทันที เมื่อคิดทบทวนได้อยู่ครู่หนึ่งและนึกอะไรบางอย่างได้ออก เขาจึงถามอู่จิ๋ว “หลิงตู้ฉิง ไปที่หุบเขาบุปผาอนันต์ใช่รึเปล่า?”

อู่จิ๋วพยักหน้า “ถูกต้องแล้วนายท่าน และหลังจากที่เขาไปที่หุบเขาบุปผาอนันต์ ที่นั่นก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น”

“เปลี่ยนอะไร?” ลั่วหยุนถามอย่างสงสัย

“เมื่อไม่นานมานี้ สำนักหุบเขาบุปผาอนันต์ได้เริ่มให้บรรดาศิษย์ทำการบ่มเพาะวิชาใหม่ที่เรียกว่าบุปผาสยบมารและพวกเขายังรับสมัครศิษย์เพิ่มเป็นจำนวนมาก แถมเมื่อครู่พวกเขายังสามารถสังหารเจ้าสำนักและบรรดาผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วารีได้ทั้งหมดด้วยภาพวาดของจิตรกร ที่หน้าหุบเขาบุปผาอนันต์” อู่จิ๋วรายงาน

“จิตรกร?” ลั่วหยุนพึมพำ “จงไปนำตัวศิษย์หุบเขาบุปผาอนันต์ที่บ่มเพาะวิชาบุปผาสยบมารมาให้ข้าสักคนเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้รับคำสั่ง อู่จิ๋วจึงรีบวิ่งออกไปทันที จากนั้นไม่นานอู่จิ๋วก็กลับมาพร้อมกับร่างของศิษย์หุบเขาบุปผาอนันต์ที่หมดสติ

“วิชาบุปผาสยบมารงั้นเหรอ? ทำไมกลิ่นอายของเคล็ดวิชานี้มันทำให้ข้ารู้สึกถึง คาถาอำนาจวีรชน ?” ลั่วหยุนพึมพำกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าหลิงตู้ฉิงผู้นี้จะมีที่มาไม่ธรรมดาจริง ๆ และหุบเขาบุปผาอนันต์นี้น่าจะเป็นสำนักที่หลิงตู้ฉิงกำลังให้การสนับสนุนอยู่ ด้วยพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาคงน่าจะรับมือกับวิญญาณปีศาจได้อย่างที่พูดจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเหลือกลุ่มผู้หญิงที่หุบเขาบุปผาอนันต์สักหน่อยก็แล้วกัน!”

เมื่อพึมพำกับตัวเองเสร็จ ลั่วหยุนก็ส่งข้อความทางโทรจิตออกไป จากนั้นต่อมาไม่นานหญิงชราผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาหา

ลั่วหยุนพยักหน้าให้กับหญิงชราและพูดว่า “เสี่ยวฮุย เจ้าจงไปทำลายสำนักกระบี่วารีและส่งสมบัติวิเศษและสิ่งของทั้งหมดของสำนักกระบี่วารีไปยังหุบเขาบุปผาอนันต์ และอย่าลืม ในขณะที่เจ้าทำลายสำนักกระบี่วารีเจ้าต้องระวังไม่ปล่อยให้เมล็ดพันธุ์ปีศาจหลุดรอดไปได้ จากนั้นเจ้าจงอยู่ปกป้องหุบเขาบุปผาอนันต์เป็นเวลา 500 ปี นอกจากนั้นเมื่อเจ้าเจอกับหลิงตู้ฉิง เจ้าจงบอกกับเขาว่าข้าเข้าใจความหมายของเขาและยอมรับเงื่อนไขของเขา และถามเขาด้วยว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรจากข้าอีกรึเปล่า”

“น้อมรับบัญชา นายท่าน!” หญิงชราพยักหน้า จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไป แท้จริงแล้วหญิงชราผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด

ขณะนี้หลายสำนักรอบเมืองหยูหลันต่างยังคงวางแผนที่จะทำลายสำนักกระบี่วารี แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในสำนักกระบี่วารีจะถูกสังหารไปจนเกือบหมด แต่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ที่แข็งแกร่งก็ยังมีชีวิตอยู่ ตัวอย่างเช่นหลิวซ่งที่อยู่ในระดับเหนือล้ำหรือค่ายกลป้องกันสำนักที่ยังคงอยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังคงมีอำนาจเพียงพอที่จะจัดการกับใครก็ตามที่ต้องการจะบุกสำนักกระบี่วารี

แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เนื่องจากจู่ ๆ บรรดาผู้เชี่ยวชาญของสำนักกระบี่วารีกลับถูกผู้เชี่ยวชาญลึกลับกวาดล้างไปจนหมด ก่อนที่พวกเขาจะเคลื่อนไหวอะไรได้

การกวาดล้างนั้นรวดเร็วและแปลกประหลาดมาก

มีบางคนที่เห็นเหตุการณ์ พวกเขาได้เห็นว่าผู้เชี่ยวชาญลึกลับผู้หนึ่งจู่ ๆ ได้พุ่งผ่านค่ายกลป้องกันเข้าไปอย่างง่ายดายและลงมือสังหารศิษย์สำนักกระบี่วารีทั้งหมดโดยไม่ยั้งมือ และจากนั้นผู้เชี่ยวชาญลึกลับผู้นั้นก็ได้กวาดเอาสมบัติและสิ่งของมีค่าทั้งหมดจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อบรรดาสำนักอื่น ๆ ได้ทราบข่าวการกวาดล้างสำนักกระบี่วารีอย่างเลือดเย็น ทุกคนต่างก็มองไปที่หุบเขาบุปผาอนันต์ด้วยสีหน้างุนงงและหวาดเกรง

เนื่องจากล่าสุดสำนักกระบี่วารีนั้นมีข้อพิพาทกับสำนักอยู่เพียงสำนักเดียวนั่นก็คือ หุบเขาบุปผาอนันต์

ทุกคนต่างพึมพำกันในใจ หุบเขาบุปผาอนันต์ทำไมถึงต้องทำอะไรที่โหดเหี้ยมขนาดนี้เชียวหรือ? ก่อนหน้านี้พวกเขาก็สังหารทั้งเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสไปแล้ว แต่นี่พวกเขายังคงเคียดแค้นถึงขนาดต้องการที่จะทำลายล้างสำนักกระบี่วารีทั้งหมดเลยงั้นหรือ?

ความเหี้ยมโหดของหุบเขาบุปผาอนันต์ทำให้สำนักอื่น ๆ ที่อยู่รอบเมืองหยูหลันรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง ทุกคนต่างตัดสินใจตรงกันว่าพวกเขาจะไม่ไปล่วงเกินหุบเขาบุปผาอนันต์เด็ดขาด เว้นแต่พวกเขาจะมีความแข็งแกร่งที่เพียงพอในอนาคต

ในเวลานี้หญิงชราผู้หนึ่งซึ่งมีโลหิตชโลมอยู่ทั่วร่างได้มาหยุดยืนที่ประตูหุบเขาบุปผาอนันต์

เมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวของเลือดจากหญิงชรา เหล่าศิษย์ของหุบเขาบุปผาอนันต์จึงรีบกรูกันออกมาดูและตะโกนถามขึ้น “ท่านผู้อาวุโส ท่านเป็นใครและต้องการอะไรจากสำนักของเรา?”

“ข้าแซ่ซือ หรือพวกเจ้าจะเรียกข้าว่ายายซือก็ได้” หญิงชรา ซือเสี่ยวฮุย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องจะคุยกับเจ้าสำนักของพวกเจ้า”

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่ร่างของซือเสี่ยวฮุยที่เต็มไปด้วยโลหิต เหล่าศิษย์ของหุบเขาบุปผาอนันต์ก็เกิดอาการระแวงและไม่คิดจะรายงานตามคำพูดของหญิงชรา พวกเขากลับเอาแต่ยืนจ้องตั้งท่าระวัง

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ซือเสี่ยวฮุยก็ส่ายหัว จากนั้นนางจึงบินพุ่งผ่านบรรดาศิษย์ของสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์และไปหยุดยืนอยู่กลางลานกว้างของสำนัก

“เหวินลู่หยาน อยู่ที่ไหน จงออกมาพบกับข้า!” ซือเสี่ยวฮุยตะโกน

เหวินลู่หยานปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อนางเห็นร่างอันชุ่มไปด้วยโลหิตของซือเสี่ยวฮุย สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันทีพลางเปิดใช้งานค่ายกลป้องกันของสำนักในชั่วพริบตา และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นใครกันถึงได้กล้าบุกเข้ามาในสำนักของข้าเช่นนี้? หรือว่าเจ้าเป็นคนของสำนักกระบี่วารี?”

ซือเสี่ยวฮุยไม่ได้เอ่ยตอบคำภามใด ๆ แต่นางกลับโยนแหวนมิติหลายร้อยวงไปข้างหน้าเหวินลู่หยาน

“ข้าคือผู้ที่ฆ่าล้างสำนักกระบี่วารีและทรัพย์สมบัติทุกอย่างของพวกเขาต่างอยู่ที่ข้าทั้งหมด เจ้าจงนำพวกมันไปพัฒนาสำนักของเจ้าซะ” ซือเสี่ยวฮุยพูดอย่างเฉยเมย “และด้วยคำสั่งของเจ้านายข้า ข้าจะอยู่ปกป้องสำนักของเจ้าเป็นเวลา 500 ปี!”

เมื่อทุกคนในหุบเขาบุปผาอนันต์ได้ยินคำพูดของซือเสี่ยวฮุย พวกนางทั้งหมดต่างก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว

เนื่องจากพวกนางเองก็ได้ทราบข่าวการฆ่าล้างสำนักกระบี่วารีมาเช่นกันและมันก็เพิ่งผ่านมาได้เพียงไม่เกินชั่วยาม และตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญที่โหดเหี้ยมผู้นั้นกลับมายืนอยู่ตรงหน้าพวกนางมันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกนางจะไม่รู้สึกหวาดกลัวกับตัวตนที่สามารถฆ่าล้างสำนักใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียว แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่พวกนางไม่เข้าใจ พวกนางไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงชราผู้นี้ถึงต้องเอาสิ่งของล้ำค่าของสำนักกระบี่วารีมาให้พวกนาง แถมยังลั่นวาจาไว้ว่าจะปกป้องสำนักของพวกนางเป็นเวลา 500 ปีอีก? ใครกันที่เป็นเจ้านายของนาง?

“ผู้อาวุโส…” เหวินลู่หยานตัวสั่น ไม่รู้จะทำอย่างไร นางไม่สงสัยในคำพูดของซือเสี่ยวฮุย เพราะแหวนมิติหลายร้อยวงที่อยู่ตรงหน้านางสามารถอธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงกลิ่นคาวเลือดที่ยังสดใหม่บนร่างกายของซือเสี่ยวฮุยก็เช่นกัน

“เรียกข้าว่ายายซือเถอะ!” ซือเสี่ยวฮุยพูดขึ้น “แล้วหลิงตู้ฉิงอยู่ที่ไหน? จงพาข้าไปพบกับเขาที”