บทที่ 334 คุกคามชีวิต

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 334 คุกคามชีวิต

เหวินลู่หยานยืนก้มหน้าอยู่หน้าประตูห้องของหลิงตู้ฉิง โดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

เนื่องจากไม่มีการร่ายสร้างกำแพงปิดกั้นเสียงในห้อง นางจึงสามารถได้ยินการสนทนาภายในห้องได้อย่างชัดเจน

ในระหว่างที่นางได้ยินบทสนทนาด้านใน นางเองก็หัวเราะเยาะตัวเองตลอดเวลาในความโง่งมของนางที่เคยคิดว่าหลิงตู้ฉิงมาที่หุบเขาบุปผาอนันต์เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าหากหลิงตู้ฉิงมีเจตนาใด ๆ ในทางร้ายกับหุบเขาบุปผาอนันต์ของนาง การต่อต้านที่นางและบรรดาผู้อาวุโสเคยวางแผนกันเอาไว้มันคงเป็นแค่เรื่องตลก

‘นังโง่ เจ้าไม่เห็นงั้นเหรอว่าสำนักกระบี่วารีถูกทำลายอย่างง่ายดายแค่ไหน?’ เหวินลู่หยานหัวเราะเยาะตัวเองในใจ เนื่องจากตอนนี้หญิงชราที่ทำลายสำนักกระบี่วารีได้ด้วยตัวคนเดียว เมื่อเจอกับผู้ที่อยู่ในห้องหญิงชราผู้นั้นยังต้องพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเคารพเลยด้วยซ้ำ

“ท่านหลิง นายท่านของข้าให้ข้ามาแจ้งกับท่านว่าเขาเข้าใจความหมายของท่านและยอมรับเงื่อนไขของท่าน” ซือเสี่ยวฮุยพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยความเคารพ “และนายท่านยังได้ฝากให้ข้ามาถามกับท่านอีกว่า ท่านต้องการความช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่? ถ้าท่านต้องการความช่วยเหลือใด ๆ เพิ่มเติม ท่านสามารถบอกข้าได้ทันที”

นางไม่กล้าดูหมิ่นคนที่มีความสัมพันธ์กับเจ้านายของนาง แม้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านางจะมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำก็ตาม

เนื่องจากนางได้ติดตามเจ้านายของนางมานาน และได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างมามากมาย นางจึงรู้ว่าในบางครั้งนางไม่สามารถตัดสินคนบางคนได้จากระดับการบ่มเพาะของพวกเขา

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ซือเสี่ยวฮุย และพูดว่า “ข้าตั้งใจว่าก่อนที่จะเริ่มแผนการข้าถึงจะค่อยไปพบกับเขา ส่วนสำหรับความช่วยเหลือที่ข้าต้องการ มันคงจะดีมากหากคนทั้ง 3,000 คนของหุบเขาบุปผาอนันต์สามารถที่จะบรรลุวิชาบุปผาสยบมารได้ถึงขั้น 2 เป็นอย่างต่ำ หรือไม่ถ้าเอาให้ดีที่สุดก็ต้องเป็นขั้น 3 ไปเลยเพื่อความแน่นอนในแผนการ ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีก 2 ปีจะถึงกำหนดเวลา ซึ่งข้าเองคิดว่ามันก็น่าจะยังทันเวลาอยู่”

ซือเสี่ยวฮุยพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นเราก็ควรจะให้พวกเขาบรรลุถึงขั้น 3 ถึงจะดีที่สุด ท่านหลิงไม่ต้องเป็นห่วง ต่อจากนี้ข้าจะเป็นคนเคี่ยวเข็ญพวกเขาเอง ข้ามั่นใจว่าภายใต้การดูแลของข้าพวกเขาจะต้องบรรลุไปถึงขั้น 3 ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเมื่อครบกำหนดเวลาเมื่อไหร่แล้วยังมีคนไหนในพวกเขาที่ยังไปไม่ถึงขั้น 3 และไม่สามารถทำงานให้ท่านหลิงและนายท่านได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่”

เหวินลู่หยานที่ยืนอยู่นอกประตู ถึงกับตัวสั่นทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ของซือเสี่ยวฮุย

นี่คือคนที่เพิ่งล้างบางสำนักกระบี่วารีมา เหวินลู่หยานไม่กล้าที่จะสงสัยในคำพูดของซือเสี่ยวฮุยแม้แต่น้อย นางมั่นใจว่าหญิงชราผู้นี้จะทำตามคำที่พูดโดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน หลังจากนี้มันดูเหมือนว่านางจะต้องรีบไปกระตุ้นให้ทุกคนฝึกฝนจนถึงขั้น 3 ให้ได้ มิฉะนั้นพวกนางอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้อย่างไร

ยังไงซะ นางค่อนข้างสงสัยว่า ‘นายท่าน’ คือใคร ทั้งสองคนในห้องไม่สนใจว่าเหวินลู่หยานกำลังฟังอยู่ข้างนอก บางทีพวกเขาอาจจะจงใจให้นางฟังอย่างตั้งใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่เจ้าว่าจงทำให้พวกนางฝึกถึงขั้น 3 ให้ได้” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “นอกเหนือจากนี้ข้ายังไม่มีอะไรให้เจ้าต้องช่วยเหลือ อ๋อ! ยังมีอีกอย่างจิตสังหารของเจ้านี่มันรุนแรงเกินไปจริง ๆ คราวหลังเจ้าจงอยู่ให้ห่าง ๆ ข้าไว้หน่อยก็ดีหรือถ้าจะให้ข้าแนะนำ หากในอนาคตเจ้าไม่ระงับจิตสังหารของเจ้าเอาไว้ เจ้าจะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่แน่นอน”

ซือเสี่ยวฮุยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับคำเตือนของท่านหลิง ข้าจะระวังตัว”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เฮ้อ…เจ้าเองก็เป็นคนน่าเวทนาอีกคนหนึ่งงั้นสินะ ช่างมันก็แล้วกัน มา! เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าเอง! ข้าจะถ่ายทอด ‘วิชาวัชระสงบจิต’ ให้เจ้า วิชานี้มันสามารถชำระจิตสังหารในร่างกายของเจ้าและทำให้เจ้าสงบลงได้ไม่ว่าจะเป็นทั่งในยามรุ่งหรือยามค่ำ”

หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงจึงหยิบคัมภีร์เปล่าขึ้นมาหนึ่งเล่มและเริ่มเขียนเคล็ด ‘วิชาวัชระสงบจิต’ ลงไปและให้โม่เอ๋อส่งต่อให้ซือเสี่ยวฮุย

“ขอบคุณท่านหลิง!” ซือเสี่ยวฮุยมองไปที่ ‘วิชาวัชระสงบจิต’ ด้วยอาการตัวสั่นพลางมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความเคารพ

“เอาล่ะ หากไม่มีอะไรก็ไปได้แล้ว!” หลิงตู้ฉิงโบกมือของเขา

“ผู้น้อยรับทราบ!” ซือเสี่ยวฮุยหันหลังกลับและเดินออกจากห้องของหลิงตู้ฉิง จากนั้นเมื่อนางเห็นเหวินลู่หยานอยู่หน้าประตู นางจึงพูดสั่งขึ้นทันที “หาห้องเงียบ ๆ ให้ข้า ข้าต้องการเก็บตัวฝึกวิชา นอกจากนี้เจ้าเองก็น่าจะได้ยินสิ่งที่ข้าพูดกับท่านหลิงแล้ว การได้มีส่วนช่วยเหล่านายท่านถือเป็นเกียรติสำหรับเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าคงจะฉลาดพอที่จะรู้ว่าอะไรที่ดีต่อตัวเจ้าเองที่สุดในเวลานี้”

เหวินลู่หยานรีบพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำให้ท่านผู้อาวุโสและบรรดาเจ้านายผิดหวังอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องห้องข้าขอเชิญผู้อาวุโสใช้ห้องของข้าในการบ่มเพาะก่อนจะดีกว่า เนื่องจากมันเป็นห้องที่เงียบสงบมากที่สุดในสำนัก เดี๋ยวข้าจะนำทางท่านไปเอง ส่วนเรื่องการฝึกวิชาบุปผาสยบมารหลังจากข้าไปส่งผู้อาวุโสที่ห้องเสร็จ ข้าจะรีบไปเร่งให้ทุกคนฝึกต่อทันที”

เมื่อพูดจบ เหวินลู่หยานจึงพาซือเสี่ยวฮุยไปที่ห้องของนางและดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างภายในห้อง

“หากไม่มีอะไรจำเป็นห้ามรบกวนข้าเด็ดขาด ค่อยมาเรียกข้าก็ต่อเมื่อมีใครที่แข็งแกร่งกว่าเจ้ามารุกรานที่นี่ก็พอ!” ซือเสี่ยวฮุยพูดขึ้นพลางพลิกคัมภีร์ที่หลิงตู้ฉิงมอบให้ และเริ่มอ่านเนื้อหาด้านใน

เหวินลู่หยาน เมื่อได้ยินคำพูดของซือเสี่ยวฮุย นางก็ไม่กล้ารั้งอยู่ต่อไป นางรีบออกมาจากห้องและเดินมุ่งหน้าไปหาเหล่าผู้อาวุโสของนางเพื่อให้เคี่ยวเข็ญเหล่าศิษย์ให้หนักขึ้นในการฝึกวิชาบุปผาสยบมาร

“นายท่าน ทำไมท่านถึงมีวิชาลับมากมายนัก?” โม่เอ๋อถามอย่างสงสัย

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ยิ่งสังหารคนไปมากเท่าไหร่ วิชาที่รู้ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้นยังไงล่ะ”

โม่เอ๋อหน้ามุ่ยและพูดว่า “นายท่านกำลังโกหก ข้าไม่เห็นจะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่อยู่ในตัวท่านเลยแม้แต่น้อย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะเคยผ่านการฆ่าคนมามากมาย”

ด้านล่าง ซือโถวเหวินหยวนและกงหนิวอดไม่ได้ที่จะกลอกตา พวกเขาไม่รู้จะพูดอะไรเกี่ยวกับความไร้เดียงสาของโม่เอ๋อ

หลิงตู้ฉิงยิ้มและไม่สนใจคำพูดของโม่เอ๋อ

เขาหันกลับมาและมองไปที่กงหนิว และพูดกับกงหนิว “ข้ารู้ว่าเจ้าเคยได้ยินตำนานของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับมามากมายและในใจของเจ้าเองก็ต้องการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับด้วย อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของเจ้านั้นต่ำเกินไปและระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้าก็อยู่ที่ขอบเขตนภาเท่านั้น หากเจ้าต้องไปเข้าไปด้านในและเผชิญหน้ากับอัจฉริยะมากมายที่มาจากทั่วทุกสารทิศ เจ้าอาจตกอยู่ในอันตราย”

“แม้ว่าเจ้าจะมีความเร็วที่เป็นเลิศเหนือกว่าคนทั่วไป แต่แน่นอนว่ามันคงมีหลายคนที่สามารถหาวิธีจัดการกับเจ้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับที่มีพื้นที่จำกัด หากเจ้าถูกไล่ต้อนจนไปจนมุมอยู่สักที่จนไม่มีที่ให้หลบหนี ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้าแม้แต่ซือโถวก็สามารถจัดการเจ้าได้โดยง่าย”

“และเจ้าจงเตรียมใจเอาไว้ได้เลยว่าในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับมันจะมีหลายคนที่มีความสามารถพอ ๆ กับซือโถวและมีบางคนที่แข็งแกร่งกว่าซือโถวเลยด้วยซ้ำ”

“ดังนั้นข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้า ถ้าเจ้าต้องการเข้าไปข้าจะมอบสิทธิ์การเข้าไปด้านในให้เจ้าสิทธิ์หนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าอยู่รับใช้ข้ามานาน แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธไม่เข้าไป ข้าจะมอบบางสิ่งบางอย่างให้เจ้าเพื่อเป็นการชดเชยที่เจ้าได้เสียโอกาสนี้”

กงหนิวก้มศีรษะลงเงียบ ๆ เขารู้ว่าในที่สุดเขาจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจอันยากลำบากข้อนี้

ในอดีต เขาไม่แน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงจะมอบสิทธิ์ในการเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้กับเขาหรือเปล่า แต่ตอนนี้หลังจากที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ มันกลับกลายเป็นว่าเขาเองที่ต้องตัดสินใจว่าจะเข้าไปหรือไม่

หลังจากผ่านไปหลายปี แม้ว่าเขาจะพยายามฝึกฝนอย่างหนักแต่ระดับการบ่มเพาะของเขาก็พัฒนามาถึงแค่ขอบเขตนภาระดับ 5

นอกเหนือจากความเร็วของเขาแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้นับว่าแข็งแกร่งอะไรมากมาย

แม้ว่าเขาจะสามารถฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดของขอบเขตนภาได้ก่อนที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจะเปิดขึ้น แต่เมื่อเข้าไปด้านในแล้วเขาจะมีโอกาสที่จะออกจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้โดยที่ยังมีชีวิตรอดออกมาหรือเปล่า?

ยิ่งไปกว่านั้นมันอาจจะมีโอกาสเป็นอย่างสูงที่เขาอาจจะไม่สามารถบรรลุระดับการบ่มเพาะไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตนภาได้ทันเวลาอีกต่างหาก

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดกงหนิวก็ส่ายหัว “การที่ทุกวันนี้ข้าสามารถฝึกฝนมาได้จนถึงขอบเขตนภานั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว และทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณนายท่าน ไม่เช่นนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าจะต้องดิ้นรนไปอีกนานแค่ไหนถึงจะมาถึงอย่างที่เป็นทุกวันนี้ได้ ส่วนเรื่องของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นจริง ๆ แล้วข้าเองก็อยากที่จะเข้าไปจริง ๆ แต่ข้าเองก็รู้ตัวดีว่าข้าไม่มีทั้งโชคและความแข็งแกร่ง ดังนั้นข้าขอตัดสินใจว่าจะไม่รับสิทธิ์ที่มีค่าของนายท่าน แต่ข้าเองก็มีคำขอที่อยากจะขอนายท่าน ข้าอยากจะให้นายท่านให้โอกาสลูกหลานของข้า ช่วยพวกเขาให้ได้มีชีวิตที่ดีไม่ต้องอยู่อย่างคนธรรมดาจะได้หรือไม่?”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ดีแล้วที่เจ้ารู้ขีดจำกัดของตัวเอง ข้าจะสอนทักษะที่สามารถปลุกสายเลือดปีศาจกระทิงอเวจีให้กับคนในตระกูลของเจ้าให้กับเจ้า ตราบใดที่ลูกหลานของเจ้าเริ่มบ่มเพาะ พวกเขาจะสามารถกระตุ้นพลังแห่งสายเลือดได้อย่างอิสระ และเมื่อไหร่ที่ลูกหลานของเจ้าทุกคนต่างก็สามารถปลุกสายเลือดปีศาจกระทิงอเวจีได้ทุกคน เมื่อนั้นตระกูลของเจ้าก็ไม่มีทางหล่นไปอยู่หางแถวอย่างแน่นอน”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เริ่มส่งต่อทักษะการปลุกสายเลือดปีศาจกระทิงอเวจีให้กงหนิว

ซือโถวเหวินหยวนที่มองอยู่ด้านข้างเริ่มรู้สึกอิจฉาและพูดว่า “นายท่าน ทำไมท่านถึงไม่ถ่ายทอดวิชาอะไรให้กับข้าบ้างเลย?”

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน และถามว่า “เจ้ายอมทิ้งโอกาสที่จะเข้าสู่ เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับรึเปล่าล่ะ? ถ้าเจ้ายอม ข้าจะถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”

ซือโถวเหวินหยวตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่บูดเบี้ยว “ถ้าอย่างนั้น ผู้รับใช้ชราผู้นี้ยังคงต้องการเข้าไปเพื่อหาโอกาสก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเหมือนเดิมจะดีกว่า”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก