ตอนที่ 449 ได้ยินแล้ว

ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง

ถังซีรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นในท่ายอมแพ้ “เปล่าเลย ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น ฉันแค่พูดว่าเป็นทหารก็ไม่ได้แย่ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะเป็นทหารเหมือนกัน” แล้วเธอก็นึกถึงจุดมุ่งหมายที่จะต้องเป็น ‘เทพธิดาผู้มีศักยภาพรอบด้าน’ ให้ได้ เธอสงสัยอยู่ว่าควรจะขออนุญาตคุณปู่ ให้เธอได้เข้าฝึกทางการทหารในกองทัพจะดีหรือเปล่า  

 

 

ทำไมถังซีจึงเกิดมีความคิดเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะการฝึกแบบทหารมีมาตรฐานที่ดีกว่าการออกกำลังกายแบบสมัครเล่น ดังนั้นย่อมต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เธอจึงหวังว่าจะได้เข้ารับการฝึกแบบทหารในกองทัพ หากเป็นไปได้  

 

 

ขอให้เฉียวเหลียวฝึกให้เธออย่างนั้นหรือ 

 

 

เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! ทุกวันนี้แค่เธอเดินเร็วกว่าปกตินิดเดียว เฉียวเหลียงก็กลัวแล้วว่าเธอจะหกล้ม ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยอมฝึกให้เธอ หรือปล่อยให้เธอไปฝึกการต่อสู้กับคนอื่น เขาต้องห้ามเธอแน่ ดังนั้นเธอจึงไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้  

 

 

เพราะเธอรู้ดีว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้  

 

 

ทุกคนทานอาหารเช้าเสร็จแล้วอย่างอิ่มหนำสำราญ หลังอาหารเช้าก็พากันมุ่งตรงไปยังสถานที่จัดแฟชั่นโชว์ 

 

 

…    

 

 

หลังจากเฉียวเหลียงบอกเหวินนิ่งว่าลู่หลีอยู่ที่ไหน เธอก็รีบขับรถไปหาลู่หลีทันที แต่… 

 

 

เหวินนิ่งมองดูหั่วอวิ๋นซึ่งยืนขวางทางเธออยู่แล้วขมวดคิ้ว “หั่วอวิ๋นหลีกไปให้พ้นทางฉัน” 

 

 

หั่วอวิ๋นมองเธอด้วยสีหน้านิ่งเฉย “มาที่นี่ทำไม ที่นี่ไม่ต้อนรับเธอ!”  

 

 

“ไม่ใช่ธุระของเธอ ฉันไม่ได้มาหาเธอ ฉันมาหาลู่หลี หลีกไป” น้ำเสียงเหวินนิ่งยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

หั่วอวิ๋นเคยเป็นครูฝึกของเธอตอนที่ยังเรียนอยู่ เธอรู้มาตลอดว่าหั่วอวิ๋นไม่ชอบเธอ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ… การที่ได้พบเธอที่นี่ 

 

 

“ข้ามศพฉันไปก่อน!” หั่วอวิ๋นปล่อยหมัดใส่เหวินนิ่งก่อน 

 

 

เหวินนิ่งหลบหมัดเธอ และกล่าวเสียงเย็นเยือกว่า “หั่วอวิ๋น ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาสู้กับเธอ!” 

 

 

“เชอะ คนทรยศอย่างเธอกล้าพูดกับฉันแบบนี้ได้ยังไง!” หั่วอวิ๋นไม่สนใจสิ่งที่เหวินนิ่งพูด และเริ่มต้นลงมือทำร้ายเธออีก “นายน้อยคงไม่ต้องบาดเจ็บ ถ้าเธอไม่ได้บอกใครว่านายน้อยกับคุณเจ็ดอยู่ที่ไหน!” 

 

 

เหวินนิ่งขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นกันหมัดหั่วอวิ๋น ถามว่า “ใครบาดเจ็บนะ” 

 

 

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง!” หั่วอวิ๋นเตะที่ขาเหวินนิ่ง 

 

 

เหวินนิ่งกระโดดหลบ “หั่วอวิ๋น! ฉันไม่รักษามารยาทกับเธอแล้วนะ ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้!” 

 

 

“ก็เอาสิ!” หั่วอวิ๋นชกเธออีก 

 

 

เหวินนิ่งถูกยั่วโมโหจนโกรธในที่สุด เธออดทนกับหั่วอวิ๋นมามากเมื่อตอนยังอยู่ในโรงเรียน เพราะหล่อนเป็นครูฝึก แต่เดี๋ยวนี้เธอไม่ใช่นักเรียนของหล่อนอีกต่อไปแล้ว! 

 

 

เหวินนิ่งเริ่มลงมือตอบโต้หั่วอวิ๋น เธอกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “หั่วอวิ๋น ฉันขอบอกเธออีกครั้ง ฉันไม่ได้สะกดรอยโทรศัพท์เขา และไม่ได้บอกใครว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน!” 

 

 

“ตอแหล!” หั่วอวิ๋นแยกเขี้ยวใส่เหวินนิ่ง “เธอมันคนทรยศชัดๆ!” 

 

 

“ฉันไม่ได้ทรยศ!” การต่อสู้ของเหวินนิ่งเริ่มดุเดือดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอหรี่ตาลงมองหั่วอวิ๋น “ฉันทำงานให้ตำรวจสากลมาตั้งแต่ต้น! เธอจะเรียกฉันว่าคนทรยศได้ยังไง!” 

 

 

“ช่างเป็นข้อแก้ตัวที่สมบูรณ์แบบจริงๆ!” หั่วอวิ๋นเยาะเย้ย “ฉันมั่นใจว่าเธอคงไม่รู้สินะว่าตัวตนที่แท้จริงของนายน้อยคือใคร!” 

 

 

หญิงสาวทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ที่บริเวณหน้าตึก 

 

 

ลู่หลีซึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เฝ้าดูการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายด้วยสายตาปราศจากความรู้สึก จนเมื่อหั่วอวิ๋นกำลังจะหยิบอาวุธที่ซ่อนไว้ออกมา เขาจึงหรี่ตาลง ตวาดขึ้น “พอได้แล้ว! หยุดเดี๋ยวนี้!” 

 

 

ทั้งเหวินนิ่งและหั่วอวิ๋นหยุดชะงักพร้อมกัน ลู่หลีมองดูทั้งสองคน เขาเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว จ้องหน้าหั่วอวิ๋นด้วยสายตาเย็นชา “งานที่ฉันสั่ง เธอทำเสร็จแล้วหรือยัง” 

 

 

หั่วอวิ๋นเม้มริมฝีปาก หันไปมองเหวินนิ่งอย่างชิงชัง และหมุนตัวเดินจากไป 

 

 

เหวินนิ่งเชิดคางขึ้น ชำเลืองมองหั่วอวิ๋นด้วยสายตารังเกียจ ทำเสียงขึ้นจมูกกล่าวว่า “เธอสู้ฉันไม่ได้หรอก ถ้าไม่พึ่งอาวุธลับนั่น!” 

 

 

เธอสังเกตเห็นว่าหั่วอวิ๋นกำลังจะหยิบอาวุธที่ซ่อนไว้ออกมา แต่ไม่คาดคิดว่าลู่หลีจะหยุดหั่วอวิ๋นเอาไว้…  

 

 

เหวินนิ่งเม้มริมฝีปาก หันหลังกลับมามองหน้าลู่หลี และกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ลู่หลีหันหลังเดินจากไปเสียก่อน เหวินนิ่งมองตามอย่างผิดหวัง แต่ก็รีบตามไปจนทัน “ลู่หลี”  

 

 

ลู่หลีชะงัก แต่แล้วก็ออกเดินนำไป เหวินนิ่งนิ่วหน้า รีบตามไปยืนขวางทางเขาเอาไว้ เธอจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีเข้มกลมโต “ฟังฉันหน่อยได้ไหม”  

 

 

ลู่หลีมองเหวินนิ่งแล้วขมวดคิ้ว “ผมบอกคุณตอนที่คุยโทรศัพท์ครั้งนั้นแล้วใช่ไหมว่าอย่าติดต่อมาอีก” 

 

 

เหวินนิ่งมองเขาด้วยสายตาเศร้า ถามว่า “จริงเหรอ คุณไม่อยากพบฉันอีกจริงๆ เหรอ” 

 

 

ลู่หลีเม้มริมฝีปาก จ้องตาเหวินนิ่ง แล้วยืนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น ดวงตาเหวินนิ่งแดงระเรื่อ แล้วในทันใดนั้นเธอก็ยิ้มออกมาอย่างสมเพชตนเอง มองตาลู่หลี “ความจริงก็ปรากฏออกมาแล้วว่า ความรักของเรา ที่จริงเป็นรักข้างเดียวของฉันแต่เพียงคนเดียว ฉันเคยคิดว่าคุณจะเชื่อมั่นในตัวฉัน ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่คุณก็ไม่เชื่อ และยังปฏิเสธที่จะฟังคำอธิบายของฉันอีกด้วย” 

 

 

เมื่อเห็นเหวินนิ่งร้องไห้ ลู่หลีอยากเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ แต่เขาห้ามตนเองไว้ มองดูเหวินนิ่งและกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เราไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกัน ในเมื่อคุณมาที่นี่แล้ว ขอผมพูดให้ชัดๆ ไปเลยว่า เรา…” 

 

 

“พอได้แล้ว!” เหวินนิ่งขัดขึ้นทันที น้ำตาเธอไหลพราก จ้องมองลู่หลีอย่างเศร้าสลด “ลู่หลี ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นผู้ชายแบบนี้! ไม่เป็นไรหรอกถ้าคุณจะไม่เชื่อใจฉัน แต่นี่คุณ… เอาล่ะ ในเมื่อคุณไม่ต้องการคบกับฉันอีกต่อไป ฉันก็จะทำให้คุณพอใจ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะเป็นศัตรูของคุณ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร…” 

 

 

เหวินนิ่งเบิกตากว้าง จ้องเข้าไปในดวงตาลู่หลีขณะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ชัดถ้อยชัดคำ ลู่หลีเม้มริมฝีปาก “สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดคือสิ่งที่ผมอยากบอกกับคุณ แต่ผมก็พูดไม่ออก ทุกวันนี้ผมเฝ้าแต่คิดว่าผมควรทำยังไง ถ้าคุณเป็นคนปล่อยข้อมูลว่าเราอยู่ที่ไหนจริงๆ ไปจากคุณอย่างนั้นเหรอ ผมคิดอยู่นานมาก แล้วก็พบว่าผมทำอย่างนั้นไม่ได้” 

 

 

เหวินนิ่งจ้องหน้าลู่หลีอย่างตกตะลึง เขากล่าวต่อไปว่า “เฉียวเหลียงพูดถูก ในเมื่อคุณได้กลายเป็นดวงใจของผมไปแล้ว ผมก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้โดยไม่มีคุณ เพราะผมคือคนที่ตายไปแล้วหากต้องเสียคุณไป” 

 

 

เหวินนิ่งถึงกับอึ้งไป เธอเตรียมพร้อมมาแล้วที่จะแยกทางกับลู่หลี แต่ในวินาทีต่อมาเขากลับสารภาพรักกับเธอ! 

 

 

ดวงใจอย่างนั้นหรือ 

 

 

เธอมีความสำคัญต่อเขาถึงเพียงนี้หรือ…  

 

 

นี่เขาเพิ่งพูดว่าเธอเป็นดวงใจของเขาใช่ไหม 

 

 

เหวินนิ่งโอบแขนกอดเอวเขาไว้ อีกครู่ใหญ่ต่อมาเธอก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง…