เหวินนิ่งมองถังซีอย่างแปลกใจ “เซียวโหรว เธอเองเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้วนะ พี่ไม่ได้เป็น ‘ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ’ อย่างที่เธอว่าหรอก เป็นแค่ผู้หญิงห้าวๆ คนหนึ่ง” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า “ส่วนความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ของพี่น่ะ ลู่หลีเป็นคนสอนให้ พี่ได้ยินมาว่าในเรื่องนี้เฉียวเหลียงเก่งกว่าลู่หลีเสียอีก เธอควรจะขอให้เฉียวเหลียงสอนให้นะ”
แล้วเหวินนิ่งก็หลิ่วตาให้เธออย่างซุกซน “พี่คิดว่าเฉียวเหลียงต้องยินดีที่จะสอนศิลปะการต่อสู้ให้เธออย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้แบบประชิดตัว”
ถังซีมองเหวินนิ่งด้วยดวงตาเบิกกว้าง เธอเคยคิดว่าเหวินนิ่งเป็นคนเคร่งขรึม จึงรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินเธอเอ่ยล้อเลียนแบบสองแง่สองง่ามเช่นนี้ และไม่สามารถระงับอาการเขินอายไว้ได้…
เมื่อเห็นถังซีมีท่าทีเขินอาย เหวินนิ่งก็หัวเราะ แล้วตบไหล่ถังซีเบาๆ “จริงแล้วๆ พี่ขอให้เฉียวเหลียงชวนเธอมาคุยด้วย เพื่อขอร้องอะไรเธออย่างหนึ่ง”
“ขอร้องฉันเหรอคะ” ถังซีถามอย่างประหลาดใจ เหวินนิ่งจะขอร้องเรื่องอะไร และดูเหมือนว่าเธอจะต้องการให้ถังซีช่วยจริงๆ ถังซีจึงถามว่า “ฉันจะช่วยอะไรพี่ได้บ้างคะ”
“แฟชั่นโชว์ครั้งแรกของบริษัทเธอจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ใช่ไหม ขอบัตรเชิญให้พี่สักใบได้ไหม พี่อยากไปร่วมงานจริงๆ”
ถังซีทั้งรู้สึกแปลกใจและยินดีที่ได้ยินคำพูดนี้ “ได้แน่นอนค่ะ พี่จะเป็นแขกพิเศษซูเปอร์วีไอพีของฉัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องใช้บัตรเชิญเลยค่ะ ฉันจะพาพี่ไปที่งานด้วยตัวเอง”
เธอไม่คาดคิดว่าเหวินนิ่งจะอยากไปดูแฟชั่นโชว์ของเธอ และมาขอบัตรเชิญจากเธอ เหวินนิ่งเป็นเหมือนตัวแทนของตำรวจสากล และมักจะไปปรากฏตัวอยู่ในข่าวระดับนานาชาติอยู่บ่อยๆ ถ้ามีคนระดับนี้มาสนับสนุนแบรนด์ให้ฟรีๆ เธอย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องยอดขายสินค้าของเดอะควีนอีกต่อไป นอกจากนี้… ดวงตาถังซีฉายแววเจ้าเล่ห์ บริษัทเธอมีชื่อว่าเดอะควีน และเหวินนิ่งก็เปรียบประดุจราชินีองค์หนึ่ง! นี่มันสุดยอดไปเลย!
เหวินนิ่งดีใจที่เห็นท่าทีตอบสนองของถังซี เธอส่งโทรศัพท์มือถือให้ถังซี “ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์มือถือของเธอให้พี่ด้วย… พี่อาจต้องขอให้เธอช่วยหลายเรื่อง นอกจากเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก”
ถังซีเข้าใจทันทีว่าเหวินนิ่งหมายถึงอะไร เธอใช้โทรศัพท์ของเหวินนิ่งโทรเข้าโทรศัพท์ของตัวเอง พลางยิ้มให้ “ได้เลยค่ะ ฉันเองก็อยากจะใช้เวลากับพี่ให้มากกว่านี้”
เหวินนิ่งพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวไปก่อน เจอกันพรุ่งนี้”
ถังซีพยักหน้ารับ
หลังจากออกไปส่งเหวินนิ่ง ถังซีก็กลับมาที่โต๊ะ อาหารวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เฉียวเหลียงเลื่อนเก้าอี้ให้ถังซีนั่ง “ทานอาหารเช้ากันเถอะ”
“ใช่ ทานอาหารกันก่อนตอนที่ยังร้อนๆ อยู่” เฮ่อหว่านโจวกล่าว “โหรวโหรว ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงเรียกเธอไปคุยด้วย เธอสองคนดูเหมือนคุยกันถูกคอ มีความสุขเชียว”
“ใช่ค่ะ พี่เหวินนิ่งอยากไปดูแฟชั่นโชว์ของฉัน ซึ่งจะเป็นการรับรองความนิยมในตลาดทวีปอเมริกาเหนือของบริษัทฉันได้เลย” ถังซีกล่าวพลางยิ้มกว้าง “ฉันก็ต้องยิ้มอย่างมีความสุขเป็นธรรมดา”
“ตลาดในทวีปอเมริกาเหนืองั้นเหรอ” หนิงเหยี่ยนมองถังซีพลางขมวดคิ้ว “เธอเพิ่งจะเล่าว่าหล่อนเป็นตำรวจสากลระดับสูงหรืออะไรประมาณนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่เป็นนางแบบด้วยหรือไง”
เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นลูบผมถังซี ขณะที่ถังซีกัดแซนด์วิชและดื่มนมอึกใหญ่ พร้อมกับมองหน้าหนิงเหยี่ยน “พี่เหวินนิ่งมีชื่อเสียงมากในอเมริกาเหนือ เธอปรากฏตัวในข่าวอยู่บ่อยๆ ดังยิ่งกว่านางแบบเสียอีก และเธอก็มีแฟนๆ ติดตามเยอะมาก ลองไปดูในอินเทอร์เน็ตได้เลยค่ะ มีคนตั้งแฟนคลับให้เธอเลยนะ ฉันยังไม่เคยเห็นตำรวจคนไหนมีแฟนคลับเลยนอกจากเธอ เธอเลิศมากจริงๆ”
“โอ ฉันจำเธอได้แล้ว” เฮ่อหว่านอีมองหน้าถังซีแล้วกล่าวว่า “เหวินนิ่งดังมากในเมือง A ด้วยนะ แต่เธอไม่ค่อยออกงานสังคม คนชอบเชิญเธอไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ แต่เธอก็ไม่เคยไป คนส่วนมากอยากเอาใจเธอกันทั้งนั้น ทั้งที่ไม่เคยได้พบเธอด้วยซ้ำ มีผู้หญิงหลายคนเลยที่ประจบเอาใจเธอต่อหน้า พอลับหลังก็นินทาว่าร้าย”
ถังซีเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก คงเป็นเรื่องธรรมดา เธอยังจำได้ว่าเมื่อตอนแรกๆ ที่เธอกลายเป็นเซียวโหรว ผู้คนมากมายยกยอเซียวจิ้นหนิงเสียเลิศลอยอยู่บนฟ้า และกดขี่เหยียดหยามเธอ อย่างไรก็ดี เมื่อธาตุแท้ของเซียวจิ้นหนิงถูกเปิดโปงออกมา บรรดาผู้คนที่คอยสนับสนุนเซียวจิ้นหนิงให้กดขี่เหยียดหยามเธอ ก็เริ่มหันมาประจบเอาใจเธอกันทุกคน
วงสังคมก็เป็นแบบนี้ เธอไม่ถือโทษพวกเขาหรอก แล้วก็ไม่ขอคบหาเป็นเพื่อนด้วยเช่นกัน
“ดูเหมือนเหวินนิ่งจะเป็นเพื่อนกับมู่ซิงนะ” เฮ่อหว่านอีมองไปทางเซียวจิ่ง “จิ่งรู้จักเธอไหม”
เซียวจิ่งยักไหล่ “ไม่รู้จัก แต่ไม่แน่ใจว่าเธออาจรู้จักพี่เหยาหรือเปล่า”
เซียวเหยาประสบความสำเร็จอย่างสูงในหน้าที่การงาน มียศทางทหารอยู่ในระดับเดียวกับผู้บังคับการระดับสูงของตำรวจสากล ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจถ้าสองคนนี้จะรู้จักกัน นอกจากนี้ เซียวเหยายังต้องเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจต่อต้านการก่อการร้ายระดับนานาชาติอยู่บ่อยๆ ทั้งสองน่าจะมีโอกาสได้พบกันอยู่แล้ว
แต่เซียวเหยาก็ไม่ค่อยรู้จักทหารอาชีพที่ไหนเป็นการส่วนตัว นอกจากสมาชิกบางคนในครอบครัวที่รับราชการทหาร!
“มู่คุนโทรมาหาฉันเมื่อวาน บอกว่าจะมาให้กำลังใจญาติตัวน้อยของเขา” จู่ๆ เฮ่อหว่านโจวก็เอ่ยขึ้น
ถังซีเลิกคิ้วมองเฮ่อหว่านโจว “จริงเหรอคะ เขาบอกแบบนั้นเหรอคะ”
เธอมีเบอร์โทรศัพท์หยางมู่คุน และอีกฝ่ายก็มีเบอร์ของเธอ ทำไมหยางมู่คุนถึงไม่โทรมาหาเธอโดยตรง แต่กลับโทรไปบอกเฮ่อหว่านโจวว่าเขาจะมาปารีส เพื่อมาให้กำลังใจเธอ
“อย่าไปเชื่อคำพูดเขามาก ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย” เซียวจิ่งตักซุปให้ถังซี เขาส่งถ้วยซุปให้เธอ แล้วกล่าวว่า “มู่คุนยังอยู่ในช่วงเข้ารับการฝึกนรกของคุณลุงอยู่ เขาไม่มีโอกาสได้โผล่หัวมาดูแฟชั่นโชว์หรอก”
เฮ่อหว่านโจวยักไหล่ “ฉันพูดจริง เขาโทรหาฉันก็เพราะกลัวโดนดักฟังถ้าโทรหาพวกนาย ตอนนี้พ่อเขากำลังไล่ล่าตามหาเขาไปทุกที่” เฮ่อหว่านโจวกล่าวพลางลูบคางตนเอง “เรื่องนี้เป็นความผิดของเซียวเหยา ถ้าเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้ ลุงของพวกนายก็คงจะไม่เคี่ยวเข็ญลูกชายตัวเองหนักอย่างนี้หรอก”
“หยางมู่หวากับหยางมู่เฟิงก็ได้เป็นนายทหารกันไปหมดแล้ว ฉันสงสัยจริงๆ ว่าทำไมคุณลุงถึงตั้งหน้าตั้งตาเคี่ยวเข็ญลูกๆ อีกสามคนให้เป็นทหารกันทั้งหมด ลูกชายทั้งสี่คนกับลูกสาวอีกหนึ่งคนต้องเป็นทหารกันหมด จำเป็นอะไรขนาดนั้น” เซียวจิ่งส่ายศีรษะไปมา
เฉียวเหลียงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “นายควรจะดีใจ ที่เขาเป็นลุงของนาย ไม่ได้เป็นพ่อ”
เซียวจิ่งทำท่าขนลุกขนพอง “โอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็นรกล่ะ!”
ถังซีเลิกคิ้วขึ้น “ฉันคิดว่าการเป็นทหารก็ไม่ได้แย่นะ ดูอย่างพี่เหยาสิ เขาเก่งกาจเรื่องศิลปะการต่อสู้มาก และยังรักษาคำมั่นสัญญาได้เป็นอย่างดี ถึงแม้เขาจะมีธุระยุ่งอยู่เสมอ แต่เขาก็ยังเป็นคนที่เราเชื่อถือไว้วางใจได้”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้วนิ่วหน้า แสดงอาการไม่พอใจขึ้นมาทันที เขามองหน้าถังซีถามตรงๆ ว่า “คุณหมายความว่าผมไม่น่าเชื่อถือไว้วางใจงั้นเหรอ”