ตอนที่ 447 ให้ฉันไปงานด้วยได้ไหม

ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง

ถังซีมองเฮ่อหว่านโจว แล้วถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ว่า “รีบพุ่งเข้าไปเลยเหรอคะ” 

 

 

“ใช่สิ! รีบพุ่งเข้าไปเลย แสดงตัวว่าเธอเป็นเจ้าของผู้ชายคนนี้ และเตือนแม่สาวคนนั้นให้อยู่ห่างๆ จากคนรักของเธอ! ไม่อย่างนั้น เธอจะ…” เฮ่อหว่านโจวยิ้มเจ้าเล่ห์ และกระซิบกับเธอว่า “ไม่อย่างนั้น เธอจะฆ่าตัวตาย!” 

 

 

ถังซีถึงกับพูดไม่ออก จ้องหน้าเฮ่อหว่านโจวอย่างอดไม่ได้ “พี่เฮ่อคะ นี่พี่พยายามจะช่วยฉันหรือจะแกล้งฉันกันแน่” 

 

 

เธอไม่อยากเชื่อว่าเฮ่อหว่านโจวจะคิดวางแผนการอะไรได้งี่เง่าขนาดนี้! ยังโชคดีที่พี่เหวินนิ่งไม่ได้เป็นศัตรูคู่แข่งทางความรักของเธอ ไม่เช่นนั้นชีวิตรักของเธอคงจะพังพินาศลงด้วยแผนการของเฮ่อหว่านโจวแน่ๆ! 

 

 

เฮ่อหว่านอีกลอกตาใส่พี่ชาย เธอส่ายศีรษะอย่างไม่รู้จะช่วยยังไง แล้วบอกถังซีว่า “โหรวโหรว อย่าไปฟังเขา เขาแค่ล้อเธอเล่นน่ะ อย่าไปถือคำพูดเขาเป็นจริงเป็นจังเลย” 

 

 

ถังซียิ้มให้ “ฉันรู้ค่ะว่าพี่เฮ่อล้อฉันเล่น อันที่จริงฉันรู้จักผู้หญิงคนนั้น” 

 

 

“จริงเหรอ” หนิงเหยี่ยนเลิกคิ้ว 

 

 

เฮ่อหว่านโจวมีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมา ถังซีพยักหน้า “จริงค่ะ เธอชื่อเหวินนิ่ง เป็นลูกสาวผู้บัญชาการกองทัพที่เมือง A ตัวเธอเองเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงขององค์การตำรวจสากล เธอเป็นคนเก่งมากๆ” 

 

 

หนิงเหยี่ยนเลิกคิ้วอีก เขาหันไปมองคนทั้งสองที่มุมห้อง ทำเสียงเดาะลิ้น “เฉียวเหลียงช่างกล้ามากที่ติดต่อคบหากับคนแบบนี้” 

 

 

ถังซีงงกับคำพูดของเขา “…ฮึ” 

 

 

เซียวจิ่งซึ่งเฝ้าสังเกตเหวินนิ่งมาตลอดด้วยความสงสัย ร้องออกมาเสียงดังว่า “อา… ฉันจำได้แล้วว่าเธอคือใคร!” 

 

 

คนอื่นๆ หันไปมองเขาเป็นตาเดียว ส่วนตัวเขาหันไปมองถังซี ถามว่า “เธอเป็นคนรักของลู่หลีใช่ไหม” 

 

 

เขาจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้มาหาลู่หลีหลายครั้ง ทุกครั้งที่เขาเห็นผู้หญิงคนนี้อยู่กับลู่หลี ลู่หลีมักมีอาการใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่เขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงขององค์การตำรวจสากล สุดยอดไปเลย! 

 

 

เขาต้องยอมรับว่าชื่นชมลู่หลีจริงๆ เขารู้ดีว่าลู่หลีกำลังปฏิบัติภารกิจอะไรอยู่ แล้วยังมามีแฟนเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจสากลอีก นี่มันยิ่งกว่าสุดยอดเสียอีก! 

 

 

“ทำไมคนรักของลู่หลีถึงมาหาเฉียวเหลียง” เฮ่อหว่านโจวเลิกคิ้วอย่างสงสัย พวกเขารู้ดีว่าลู่หลีคือหุ้นส่วนทางธุรกิจของเฉียวเหลียง 

 

 

ไม่น่าแปลกหรือที่คนรักของลู่หลีมาหาเฉียวเหลียง 

 

 

เฮ่อหว่านโจวมองดูถังซีด้วยความสงสัยใคร่รู้  

 

 

ถังซีไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เธอจะนำเรื่องส่วนตัวของลู่หลีมาพูดให้ใครฟังไม่ได้อย่างแน่นอน จึงได้แต่ยิ้ม แล้วนั่งนิ่งเก็บปากเก็บคำ พี่เหวินนิ่งอาจมาอธิบายให้เฉียวเหลียงฟังก่อน ถ้าเธอเล่าความจริงให้คนอื่นๆ ฟัง อาจทำให้เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นได้ เธอจึงควรเงียบเอาไว้ 

 

 

เมื่อเห็นว่าถังซีไม่ปริปากเล่าความจริงให้ฟังอย่างแน่นอน เฮ่อหว่านโจวจึงล้มเลิกความสนใจ หันไปซักถามหนิงเหยี่ยนเกี่ยวกับข่าวอื้อฉาวแทน 

 

 

“แล้วเรื่องผู้กำกับหวังเป็นยังไง นายตอบโต้เขาไปบ้างหรือยัง อีกไม่นานก็จะถึงงานเทศกาลภาพยนตร์เวนีซแล้วนะ ฉันได้ยินมาว่าเขาจะส่งหนังเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์ครั้งนี้ด้วย ถ้านายไม่ลงมือจัดการกับเขาเร็วๆ นี้ ก็อาจสายเกินไปที่จะแก้แค้นนะ” 

 

 

หนิงเหยี่ยนเลิกคิ้ว มองไปทางเฮ่อหว่านโจว “ไม่ต้องรีบ ตอนนี้คนพวกนั้นคงกำลังระวังตัวกันเต็มที่ คงไม่หลงกลเดินมาติดกับดักฉันง่ายๆ เพราะฉะนั้นเราใจเย็นๆ กันไปก่อน เมื่อถึงเวลา มันจะเอาคอมาพาดเขียงเอง” 

 

 

ส่วนทางมุมห้องอีกด้านหนึ่ง เหวินนิ่งมองเฉียวเหลียงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฉันขอโทษด้วยค่ะ ฉันทำไปแบบนั้นเพราะต้องการมั่นใจว่าลู่หลีจะปลอดภัย ฉันไม่มีเจตนาจะลักลอบสืบข้อมูลจากคุณหรือตั้งใจจะทำร้ายคุณเลย ฉันโทรไปก็เพื่อจะเตือนให้คุณรีบออกไปจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด” 

 

 

เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว “คุณควรไปอธิบายให้ลู่หลีฟัง” 

 

 

เหวินนิ่งจ้องหน้าเขา เฉียวเหลียงจึงจ้องกลับ แล้วกล่าวเสียงราบเรียบว่า “ถ้าคุณมาที่นี่เพียงเพื่ออธิบายให้ผมฟัง ขอบอกว่าไม่จำเป็นเลย ผมมีสติดีกว่าลู่หลี คุณก็รู้ ผู้ชมจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนกว่าเสมอ” 

 

 

เหวินนิ่งเข้าใจในสิ่งที่เฉียวเหลียงกล่าว เขาไว้ใจเธอ เธอมองเฉียวเหลียงด้วยสายตาขอบคุณ และโน้มศีรษะลง “ขอบคุณมากค่ะที่คุณไว้วางใจฉัน ฉันคิดว่าน่าจะได้อธิบายให้เพื่อนเขาฟังก่อน ที่จะไปอธิบายให้ตัวเขาฟัง” 

 

 

เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว เหวินนิ่งจึงอธิบายต่อว่า “เพราะคุณสองคนไปเจอกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสากลตอนที่ฉันโทรไปพอดี แล้วคุณก็ยังพบว่าฉันแอบติดเครื่องจับสัญญาณไว้ในโทรศัพท์ของลู่หลี ฉันคิดว่าคุณก็คงเข้าใจฉันผิดเหมือนกัน ฉันจึงอยากปรับความเข้าใจกับคุณก่อน ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม… ฉันไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกคุณต้องมาถูกทำลายลงเพราะฉัน” 

 

 

เมื่อเธอได้รู้จักกับพวกเขาเป็นครั้งแรกนั้น ทั้งสองคนเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันอยู่แล้ว เธอรู้ดีว่ามิตรภาพของทั้งสองมีความมั่นคงเพียงใด เธอจึงมาหาเฉียวเหลียงก่อน เธอไม่ต้องการให้เฉียวเหลียงกลายเป็นกำแพงขวางกั้นระหว่างเธอและลู่หลี อีกทั้งยังไม่ต้องการให้เขาเข้าใจเธอผิด 

 

 

เพราะถึงอย่างไร ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของเฉียวเหลียง เธอจึงได้มีโอกาสอยู่กับลู่หลี  

 

 

เฉียวเหลียงมองเธอ แล้วหันไปมองถังซี “ผมไม่มีวันเข้าใจคุณผิด” 

 

 

เหวินนิ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หากเมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเฉียวเหลียงกำลังมองไปที่คนอื่น เธอมองตามสายตาเขา และได้เห็นถังซีซึ่งกำลังพูดคุยอย่างมีความสุขกับเพื่อนๆ เหวินนิ่งจึงยิ้มออกมา “ฉันได้ยินว่าแฟชั่นโชว์ครั้งแรกของบริษัทเสื้อผ้าของเซียวโหรวจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้หรือคะ” 

 

 

เฉียวเหลียงถอนสายตากลับมามองเหวินนิ่ง ซึ่งถามเขาว่า “ให้ฉันไปชมแฟชั่นโชว์ด้วยได้ไหม” 

 

 

“คุณถามลองเธอเองดีกว่า” เฉียวเหลียงมองหน้าเหวินนิ่ง “ผมจะไปเรียกเธอมาคุยด้วย” 

 

 

เหวินนิ่งมองหน้าเฉียวเหลียงด้วยสายตาประหลาดใจ กำลังจะเอ่ยปากบอกว่า “ไม่เป็นไร” แต่เฉียวเหลียงเดินเข้าไปหาถังซีเสียก่อน เหวินนิ่งจึงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ในความเป็นจริงแล้วเธอยังไม่เคยพูดคุยกับเซียวโหรวเลยด้วยซ้ำ เคยพบกันแค่เพียงสองครั้ง จะเป็นการหยาบคายหรือเปล่าที่จู่ๆ จะไปบอกว่าอยากจะไปชมแฟชั่นโชว์ของเซียวโหรว 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวเหลียง ถังซีก็มีสีหน้าประหลาดใจ เธอยกนิ้วชี้ที่ปลายจมูกตัวเอง ถามว่า “ฉันหรือคะ” 

 

 

เฉียวเหลียงดึงเก้าอี้ออกมานั่ง พยักหน้าบอกว่า “ใช่” 

 

 

ถังซีกะพริบตาปริบๆ แล้วเดินเข้าไปหาเหวินนิ่ง เหวินนิ่งยิ้มให้ เธอจึงได้แต่ยิ้มตอบ “พี่เหวินนิ่ง ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ” 

 

 

เหวินนิ่งพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ นานมากแล้ว นี่เป็นการเสียมารยาทหรือเปล่าคะ ที่จู่ๆ ก็มาขอคุยด้วยอย่างนี้” 

 

 

“ไม่ค่ะ ไม่เลย ฉันดีใจที่ได้คุยกับพี่” ถังซีโบกมือไปมา 

 

 

เหวินนิ่งมองถังซีด้วยสายตาประหลาดใจ จนถังซีรู้สึกเขินอาย ทำไมเธอจึงรู้สึกตื่นเต้นง่ายดายอย่างนี้ ช่างน่าอายจริงๆ … 

 

 

“อันที่จริง พี่น่ะเป็นไอดอลของฉันเลยนะคะ และพี่กับพี่ลู่ก็เป็นคู่รักที่เหมาะสมกันที่สุด ฉันตั้งใจมาตลอดว่าอยากเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในอาชีพอย่างพี่ ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ฉันก็จะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างเฉียวเหลียง พี่รู้ไหมคะว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันได้เห็นพี่ ฉันสาบานกับตัวเองว่าจะต้องเป็นอย่างพี่ให้ได้ และฉันก็อยากมีโอกาสได้คุยกับพี่ เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการเรียนศิลปะการต่อสู้ด้วยค่ะ”