หมอผู้นั้นอายุยังไม่มาก ในห้องมีคนบาดเจ็บมากมายเพียงนี้ย่อมต้องวุ่นวายเป็นธรรมดา เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ก็พลันทำตัวไม่ถูกขึ้นมา จึงเอ่ยตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้นว่า “เซี่ยน…เซี่ยนจู่ ข้าพันแผล…ไม่ถูกหรือ…ขอรับ”
รองแม่ทัพที่ยืนอยู่ได้ข้าได้ยินก็โมโหยิ่งจึงถามว่า “ถูกไม่ถูก เจ้าไม่รู้หรือไร”
หมอหนุ่มผู้นั้นตกใจจนมือสั่น “ปกติข้าก็เห็นท่านอาจารย์ทำเช่นนี้…”
“อาจารย์เจ้าหรือ” รองแม่ทัพกวาดตามอง นอกจากหมอหนุ่มผู้นี้แล้วในห้องก็ยังมีอีกหลายคนที่กำลังสาละวนทำแผลอยู่ แม้ตรงนี้จะมีเสียงเอะอะอยู่ แต่เพราะกำลังทำแผลอยู่จึงไม่มีผู้ใดสนใจนัก
“อาจารย์ข้าถูกธนูยิงเมื่อคราวก่อนที่ไปช่วยรักษาทหารบาดเจ็บ ตอนนี้ตายแล้ว…”
เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “อย่าขยับ ข้าจะพันแผลให้เจ้าใหม่ดีหรือไม่”
ทหารผู้บาดเจ็บที่แขนถูกผ้าพันแผลรัดแน่นอยู่นั้นเหงื่อออกเต็มหน้าผากไปหมด เมื่อเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ เขาจึงลืมตอบคำนางไปชั่วขณะ
เจินเมี่ยวคิดว่าเขาไม่เชื่อใจตนจึงเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ผ้าพันแผลนี้รัดแน่นเกินไปอาจทำให้เลือดไหลไม่สะดวก นานวันเข้าก็อาจทำให้เนื้อตายได้”
นางยื่นมือไปกดมืออีกข้างของทหารผู้บาดเจ็บแล้วเอ่ยอธิบายอย่างง่ายๆ ว่า “เจ้าดูสิ หากตรงนี้เลือดมิอาจไหลเวียนได้ นานวันเข้ามันก็จะไร้ความรู้สึกไปใช่หรือไม่”
ทหารที่บาดเจ็บพยักหน้าไปโดยไม่รู้ตัว
เจินเมี่ยวเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนคราหนึ่ง “เช่นนั้นข้าจะช่วยพันแผลให้เจ้าใหม่แล้วกัน”
ทหารผู้บาดเจ็บอึ้งไปเล็กน้อย แล้วพยักหน้ารับอย่างมึนงง
เจินเมี่ยวหันกลับไปเอ่ยกับหมอหนุ่มผู้นั้นว่า “เอากรรไกรกับผ้าพันแผลมาให้ข้าที”
“ขอรับ นี่ขอรับ” หมอหนุ่มคล้ายกลับไปสู่ช่วงเวลาที่อยู่กับอาจารย์เขาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ก็ตอบรับโดยทันทีอย่างไม่รู้ตัว แล้วรีบส่งของให้นางไป
เจินเมี่ยวค่อยๆ แก้ผ้าพันแผลของทหารผู้นั้นออกอย่างเบามือ เมื่อรับผ้าสะอาดผืนใหญ่มาก็พับเป็นรูปสามเหลี่ยม แรกเริ่มนางยังคงลังเลอยู่บ้างแต่ก็ค่อยๆ คล่องมือขึ้น แผลที่นางพันให้นั้นไม่แน่นและไม่หลวมจนเกินไป สุดท้ายยังผูกสายคล้องเพื่อให้เอาแขนห้อยไว้อีกด้วย
ครั้นมองแขนที่พันแผลเสร็จแล้วนั้น นางก็ผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ดียิ่งที่มิได้ลืมเรื่องในอดีตไปจนหมด
นางหันไปถามว่า “จำได้หรือไม่ ต่อไปหากมีคนบาดเจ็บเช่นนี้ก็ให้พันแผลให้เขาด้วยวิธีนี้จะดีที่สุด”
หมอหนุ่มงงงันไปครู่หนึ่ง “ข้า…ข้าลืมดู…ขอรับ”
เขามัวแต่ตกตะลึงที่เซี่ยนจู่ถึงกับลงมือทำเรื่องเช่นนี้ด้วยตนเอง แต่ให้เขาดูใหม่อีกรอบก็คงจำไม่ได้แน่
เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมาแล้วมองไปโดยรอบ ครั้นเห็นแผลของทหารทั้งหลาย แม้พันอย่างลวกๆ แต่ก็มิได้ร้ายแรงเท่าทหารผู้นี้ นางก็ลุกขึ้นเอ่ยกับรองแม่ทัพว่า “พาข้าไปเยี่ยมแม่ทัพเหยาก่อนเถิด”
รองแม่ทัพรีบเก็บสายตาดั่งเห็นผีของตนไว้แล้วผายมือออกไปพลางเอ่ยว่า “เชิญเซี่ยนจู่ทางนี้”
กระทั่งพวกเขาจากไปแล้ว ภายในห้องจึงเกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที
คนที่ไม่รู้ว่าเจินเมี่ยวคือผู้ใดก็รีบถามขึ้นว่า “เซี่ยนจู่เมื่อครู่นี้คือใครหรือ”
มีคนเอ่ยตอบว่า “เจ้าเพิ่งกลับมาคงยังไม่รู้ นางเป็นตัวแทนพระองค์ของหวงโฮ่ว ทั้งยังเป็นฮูหยินของแม่ทัพหลัวอีกด้วย”
ทหารผู้ที่เจินเมี่ยวพันแผลให้ถึงกับอึ้งไปทันที ครู่หนึ่งจึงเอ่ยพึมพำออกมาว่า “ฮูหยินแม่ทัพพันแผลให้ข้าด้วยตัวเองเลยหรือ”
เขาหันไปเอ่ยกับสหายข้างๆ ว่า “เอ้อร์โก่วจื่อ เจ้าหยิกข้าหน่อยเถิด ข้ามิได้ฝันไปใช่หรือไม่”
เอ้อร์โก่วจื่อบาดเจ็บที่ขา กำลังเจ็บจนต้องกัดฟันไว้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงหยิกอย่างแรงโดยไม่เกรงใจสักนิด “เจ็บหรือไม่”
ทหารผู้นั้นร้องโหยหวนขึ้นทันที “เจ็บ!”
“เจ็บก็ดีแล้ว เจ้าช่างมีวาสนาจริงๆ ที่ตัวแทนพระองค์ของหวงโฮ่วผู้ซึ่งเป็นฮูหยินของแม่ทัพเราพันแผลให้ เฮ้อ ข้าบาดเจ็บหนักกว่าเจ้าอีกแต่กลับไม่มีวาสนาเช่นนี้”
ทหารผู้บาดเจ็บถลึงตาโตขึ้น “หุบปาก! มารดามันเถอะ เจ้าหยิกตรงแผลข้าอยู่รู้หรือไม่!”
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะภายในห้องต่างดังขึ้นเป็นระลอก
หมอหลายคนต่างเข้าไปจ้องทหารผู้บาดเจ็บคนนั้น
ผู้ที่ดูสุขุมที่สุดผู้หนึ่งลูบเคราตนแล้วเอ่ยว่า “วิธีพันแผลของฮูหยินท่านแม่ทัพนั้นดูแน่นหนากว่าที่เราเคยทำมาอยู่สักหน่อย”
ในที่สุดหมอหนุ่มผู้นั้นก็หาสติของตนจนเจอ เขาจึงเอ่ยถามว่า “เมื่อครู่ฮูหยินท่านแม่ทัพบอกว่าหากพันแผลแน่นเกินไปจะทำให้เนื้อตาย จริงหรือไม่”
หมอทั้งหลายต่างมองหน้ากัน
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ท่านหมอที่อายุมากที่สุดผู้หนึ่งก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ข้าคิดออกแล้ว เมื่อหลายปีก่อนข้าอยู่ที่ตงหลิง มีทหารผู้หนึ่งได้รับบาดเจ็บที่แขน เดิมมิได้ร้ายแรงอันใด แต่ไม่รู้ทำไมต่อมาแขนของเขาจึงกลายเป็นสีเขียวคล้ำ ต้องตัดแขนจึงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ หรือสาเหตุมาจากการพันแผลแน่นเกินไป”
หมอท่านนี้เข้ามาอยู่ในกองทัพนานแล้ว ก่อนหน้านี้เขาติดตามแม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรไปรบที่ฝั่งตะวันออกมาตลอด ในเรื่องการรักษาผู้บาดเจ็บเขาย่อมต้องมีประสบการณ์มากกว่าหมอหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินหมอผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้ คนทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงไป โดยเฉพาะทหารผู้บาดเจ็บ เขาอยากจะโขกศีรษะคำนับเจินเมี่ยวสักหลายคราจริงๆ
ทหารผู้น้อยเช่นเขา หากพิการไปจริงๆ ก็แค่ให้เงินปลอบใจเล็กน้อยแล้วส่งกลับบ้านเกิด แต่เงินแค่นั้นจะใช้ได้ไปนานเท่าใดกัน แค่คิดก็มองเห็นความยากลำบากปรากฏขึ้นมาแล้ว
หมอผู้มีอายุมากมองหมอหนุ่มแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่พอใจที่ไม่ได้ดั่งใจว่า “เสี่ยวโต้วจื่อ เหตุใดเมื่อถึงไม่เบิ่งตาดูดีๆ เล่า หัวขี้เลื่อยจริงๆ เลย หากอาจารย์เจ้าทราบเข้าคงโกรธจนลุกขึ้นมาจากหลุมศพแน่!”
หมอหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวโต้วจื่อตบศีรษะตนอย่างหงุดหงิด พลันดวงตาก็เป็นประกายขึ้น “ท่านหมอฉิน เราไปขอให้ฮูหยินท่านแม่ทัพสอนให้เถิด”
หมอฉินหน้าบึ้งขึ้นมา “เจ้าเห็นฮูหยินแม่ทัพเป็นใครกัน คนเช่นเราคิดจะเข้าใกล้ก็ทำได้ง่ายๆ งั้นหรือ”
“ไม่มีทาง หากฮูหยินท่านแม่ทัพเป็นคนถือตัว เมื่อครู่คงไม่ยื่นมือเข้าช่วยตั้งแต่แรก ทั้งยังถามข้าว่าจำได้หรือไม่ ข้าคิดว่าฮูหยินคงอยากจะให้ข้าทำให้ถูกต้องเป็นแน่”
แววตาของหมอทั้งหลายพลันเปล่งประกาย
เจินเมี่ยวไปกระโจมอีกหลังหนึ่ง เมื่อเห็นคุณหนูเหยานางก็อดมองอย่างละเอียดมิได้
คุณหนูเหยามีผิวที่คล้ำเล็กน้อยแต่เป็นสีผิวอย่างคนที่มีสุขภาพดี ครั้งนี้นางบาดเจ็บแต่กลับมิได้ดูซีดเซียวนัก ก็เพราะมีผิวเช่นนี้นั่นเอง
คิวยาวเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตเป็นประกาย ในท่าทีอาจกล้าหาญนี้ยังมีความงามชนิดหนึ่งแฝงอยู่ด้วย
จากรูปโฉมของนางนั้นเรียกได้ว่าเป็นสตรีที่ยากจะทำให้คนเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจ อย่างน้อยก็มีเจินเมี่ยวคนหนึ่ง แม้นางจะพอได้เดาว่าคุณหนูเหยามีใจให้กับซื่อจื่อ แต่เมื่อเห็นนางเช่นนี้แล้วกลับมิได้เกิดความรู้สึกโกรธเกลียดอันใดเลย
ขณะที่เจินเมี่ยวกำลังพิจารณาคุณหนูเหยาอยู่ นางได้เพียงแต่อึ้งงันแล้วค่อยย่อกายลงเล็กน้อย “จยาหมิงเซี่ยนจู่ใช่หรือไม่ ขอโปรดอภัยที่เยี่ยกุยบาดเจ็บจึงมิอาจลุกไปต้อนรับได้”
เจินเมี่ยวเพิ่งจะรู้ว่าคุณหนูเหยามีชื่ออันแสนไพเราะว่าเหยาเยี่ยกุย
นางรีบเดินเข้าไปหา มุมปากเคลือบด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพเหยามิจำเป็นต้องมากพิธี ท่านยังบาดเจ็บอยู่แท้ๆ”
สายตาของนางเคลื่อนไปแล้วก็อดตกตะลึงมิได้
หัวไหล่ของเหยาเยี่ยกุยมีโลหิตสดๆ เปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ยังมีแขนที่พันแผลไว้นั้นอีก เลือดยังคงซึมออกไม่หยุด
นิ้วมือยาวแต่ข้อนิ้วมือกลับเห็นชัดยิ่ง มิได้เรียวเนียนอย่างสตรีทั่วไป เพียงมองก็สามารถเห็นรอยปริแตกบนฝ่ามือได้อย่างชัดเจน
นางรีบเอามือซ่อนเก็บไว้ทันทีโดยไม่รู้ตัวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขออภัยด้วย คงมิได้ทำให้เซี่ยนจู่ตกใจแล้วกระมัง”
เจินเมี่ยวพลันเข้าใจความหมายของหลัวเทียนเฉิงขึ้นมา
สตรีเช่นเหยาเยี่ยกุยไม่ว่าส่วนตัวจะรู้สึกกับนางเช่นไร เจ้าจะชอบนางหรือไม่ก็ตาม แต่ในด้านของส่วนรวมเจ้าไม่อาจไม่ชื่นชมนาง
เพราะสตรีนับหมื่นนับพันต่างจับเข็มเย็บปักอยู่ในห้องหอ ถือพู่กันวาดคิ้วเพื่อต่อสู้แย่งชิงอำนาจในเรือนหลัง แต่นางกลับเลือกที่จะถือมีดจับดาบ ปกป้องบ้านเมืองไม่ต่างอันใดกับบุรุษ
“ข้ามิได้ขี้กลัวเพียงนั้น แม่ทัพเหยา แผลบนมือท่านคงเกิดจากความหนาวกระมัง”
เหยาเยี่ยกุยมองนางคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างมิใส่ใจว่า “ชิงเป่ยอากาศหนาว ตั้งแต่เริ่มออกศึกก็นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดจึงกลายเป็นเช่นนี้ ยังดีที่มิเปื่อยเน่า เพียงแต่ไม่น่ามองเท่าใด มิเป็นไรหรอก”
หลังจากเจินเมี่ยวกลับไปแล้วจึงไปค้นยาทาบำรุงมือมา
ยาทาบำรุงมือนี้เจินเมี่ยวลองทำมาจากสูตรบำรุงผิวของเจินไท่เฟย ตอนนั้นนางคิดว่าชิงเป่ยหนาวยิ่งจึงทำไว้หลายขวดใหญ่ แล้วแบ่งใส่ตลับเล็กๆ ได้หลายสิบตลับทีเดียว
นางบอกชิงไต้ว่า “เอาตลับยาบำรุงมือไปให้แม่ทัพเหยาที”
เมื่อเหยาเยี่ยกุยได้รับยาบำรุงมือก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เซี่ยนจู๋ของเราให้นำมามอบแก่แม่ทัพเหยาและนักรบหญิงผู้กล้าหาญทั้งหลายเจ้าค่ะ” ชิงไต้เอ่ยจบก็จากไปทันที
เหยาเยี่ยกุยลูบลายบุปผาที่สลักไว้อย่างประณีตบนตลับนั้นด้วยท่าทีแปลกใจ สุดท้ายจึงเปิดออกดู กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเหมยลอยออกมาทันที
นางป้ายขึ้นมาเล็กน้อยแล้วทาลงบนมือตน ความรู้สึกแห้งและแสบนั้นกลับดีขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ จึงส่งตลับที่เหลือให้กับทหารหญิง “น้ำใจจากเซี่ยนจู่ พวกเจ้าก็เอาไปใช้เถิด ใช้ดีไม่น้อยเลย”
“ท่านแม่ทัพ…” หนึ่งในองครักษ์ทำท่าจะพูดบางอย่าง
“มีอันใด”
“จยาหมิงเซี่ยนจู่เป็นฮูหยินของแม่ทัพหลัว…”
นางต้องเคยได้ยินข่าวลือของแม่ทัพเหยากับแม่ทัพหลัวแน่ แล้วยังจะใจดีเช่นนี้อยู่อีกหรือ ได้ยินว่าสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเก่งเรื่องลอบกัดที่สุด มันน่ากลัวกว่าการต่อสู้กันซึ่งหน้าในสนามรบเสียอีก แม่ทัพควรระวังตัวไว้บ้างจะเป็นการดีที่สุด
เหยาเยี่ยกุยหน้าขรึมขึ้นมา “ข้าเคยบอกแล้วว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือที่คนสร้างขึ้นมา หากพวกเจ้ายังคิดเช่นนี้อยู่อีกก็มิต้องติดตามข้าไปรบแล้ว กลับไปเย็บปักถักร้อยให้หมด”
คนทั้งหลายจึงรีบรับคำทันที
องครักษ์คนสนิทได้แต่ลอบถอนหายใจ พลางเอ่ยในใจว่าหากนางมิได้ยินแม่ทัพเหยาเอ่ยชื่อของแม่ทัพหลัวโดยไม่ตั้งใจขณะหลับฝันในครั้งนั้น พวกนางไหนเลยจะร้อนใจแทนเช่นนี้ แต่ดูสถานการณ์ในตอนนี้แล้วคงได้แต่ปล่อยให้มันเน่าในท้องไปเท่านั้น
สงสารก็แต่แม่ทัพของพวกนางที่อายุยี่สิบกว่าแล้วแต่ยังคงเป็นเพียงสตรีทึนทึก ช่างทำให้คนรู้สึกกลัดกลุ้มจริงๆ!
เจี่ยงต้าหย่ง แม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรเห็นรองแม่ทัพคนสนิทกลับมาก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยนจู่เป็นอย่างไรบ้าง”
รองแม่ทัพกลับมีสีหน้าแปลกๆ
“มีอันใด จยาหมิงเซี่ยนจู่ตกใจมากหรือไม่”
เมื่อเห็นรองแม่ทัพอึกอักก็ขมวดคิ้วถามว่า “หรือตกใจมากเกินไป เรียกหมอไปดูอาการแล้วหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจให้แม่ทัพหลัวมาตำหนิเราได้!”
“มิใช่ขอรับ” รองแม่ทัพกัดฟันเอ่ยออกไปว่า “จยาหมิงเซี่ยนจู่เห็นทหารบาดเจ็บแล้วก็มิได้ตกใจอันใด ทั้งยังพันแผลให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บใหม่ด้วยขอรับ”
“หมอพวกนั้นปล่อยให้นางทำตามใจได้อย่างไร เป็นถึงหมอแต่กลับไม่สนใจความเป็นความตายของทหารที่บาดเจ็บสักนิดทั้งที่เซี่ยนจู่ก็อยู่ด้วยงั้นหรือ พวกเขาเล่า เจ้ามิได้สั่งสอนพวกเขาเลยหรือ”
รองแม่ทัพมิกล้าเงยหน้าขึ้น “ตอนข้าน้อยกลับไปอีกครั้งถึงได้รู้ว่าพวกเขาไปขอพบจยาหมิงเซี่ยนจู่เพื่อให้นางสอนว่าควรพันแผลให้ผู้บาดเจ็บอย่างไรแล้วขอรับ”